คำถามนี้คงคาใจใครหลายๆคนเป็นอย่างมาก เวลาที่เรามีปัญหาในการฝึกฝน เราต้องการผู้ที่รู้จริงๆ มาช่วยตอบปัญหาให้ใช่ไหมครับ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครรู้จริง ใครรู้ไม่จริง ทุกวันนี้มันคลุมเคลืออย่างมาก เพราะลักษณะของธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ การรู้ได้เฉพาะตัว สำหรับธรรมะใครๆอ่านหนังสือออกก็นำมาพูดได้ แต่พูดได้แล้วทำได้กลับเป็นอะไรที่เป็นคนละเรื่อง คนบางคนไม่พูดแต่ทำด้วยซ้ำ
คนส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตชอบเข้าหาผู้ที่พูดฟังดูมีเหตุผล มีข้อมูลอ้างอิง และเป็นผู้ที่ได้รับการศรัทธาเป็นจำนวนมากจากคนอื่นๆอยู่แล้ว แต่โดยส่วนตัว ผมไม่เข้าหาใครผมถนัดการหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะแต่แรกเดิมทีที่ผมเริ่มฝึกผมมีคำถามมากอย่างเช่นคนทั่วๆไป แต่บุคคลที่ผมเข้าไปขอคำแนะนำส่วนใหญ่ไม่พูดกับผม พวกเค้าเดินหนี เมื่อพวกเค้าพูดด้วยผมก็ฟังไม่เข้าใจว่าเค้าพูดอะไร ผมจึงตั้งใจว่า ในเมื่อมันวุ่นวายนัก งั้นผมจะหาทางไปของผมเอง
เมื่อผมพัฒนาตัวเองขึ้นผมจึงเข้าใจ เมื่อก่อนนั้นผมเพียงถาม ถามไปอย่างนั้น พอได้คำตอบเรื่องนี้ก็ไปถามต่อเรื่องนั้น ผมไม่ได้ฝึกเลย ผมชินกับการถามคำถามอาจารย์ในห้องเรียน เช่นเดียวกับธรรมผมเพียงต้องการคำตอบจากคนอื่นเพื่อมาตอบปัญหาตัวเอง และผมเคยเชื่อว่าคำตอบจะทำให้เราเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ถ้าเป็นวิชาความรู้ที่เราเรียนกันมามันอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ธรรมไม่เหมือนกัน ต่อให้คุณได้คำตอบถ้าคุณไม่ได้เป็นคุณก็จะไม่เข้าใจ
กลับมาที่ว่า เราจะถามใครเมื่อเรามีปัญหาเพราะเราไม่รู้เลยว่าใครรู้จริง คำตอบที่ผมจะบอกพวกคุณคือ ไม่ต้องถามใครทั้งนั้น เพราะว่า
หนึ่ง คุณไม่มีทางเข้าใจคำตอบ ต่อให้คุณถามคนที่รู้จริงก็ตาม
สอง คุณจะตีความคำตอบเอาเองว่าคุณเข้าใจ ผมไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอยๆนะครับ ผมเคยคุยกับพระอาวุโสศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงพ่อเทียนท่านหนึ่ง ท่านกล่าวว่าคนที่มาฟังธรรมจากท่าน มักรับคำว่าครับๆ ค่ะๆ เข้าใจครับ เข้าใจค่ะ แต่ไม่ค่อยมีคนเข้าใจหรอกว่าจริงๆท่านหมายถึงอะไร และพวกเค้าก็นำไปปฏิบัตผิดๆถูกๆ
สาม เมื่อคุณสงสัยและหาคำตอบได้เองคุณก็หมดคำถามไม่ต้องหาคนตอบให้แล้ว
ผมเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า การฝึกด้วยกรรมวิธีรู้สึกตัว ความรู้จะหลั่งไหลมาเอง มันรู้ขึ้นเองจริงๆ รู้ทุกเรื่องที่คุณสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง และมันเป็นความรู้เพื่อตัวคุณเองจริงๆ คุณใช้ความรู้นั้นๆได้จริง แต่คุณต้องฝึกแบบจริงๆจังๆ และมันจะค่อยรู้ตามลำดับไม่ใช่รู้มันทีเดียวทุกเรื่องจากต้นจนจบ แต่มันก้มีข้อเสียในตัวมันเอง คือคุณจะกลายเป็นคนที่ไม่สนใจจะอ่านตำรา คุณจะไม่เชื่อถือในอะไรเลย คุณจะหมดความเคารพในคำกล่าวของคนรุ่นก่อนที่ว่าตามๆกันมา คนทั่วไปจะมองคุณว่าเป็นคนแปลกๆ คิดอ่านไม่เหมือนชาวบ้าน
ผมเคยถูกพระจีนคนหนึ่งถามว่า ในเมื่อผมไม่สนใจนรกสวรรค์และการไปเกิดชาติหน้าผมจะฝึกปฏิบัติไปเพื่ออะไร ผมเพียงยิ้มแล้วบอกว่า มันมีประโยชน์กับชีวิตชั้นแค่นั้นล่ะ สิ่งหนึ่งที่ง่ายมากๆในการดูว่า คนคนนั้นเข้าถึงธรรมจริงหรือไม่ก็คือ เค้าทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ เรามักได้ยินคำกล่าวว่า โลกนี้เป็นดั่งมายา ใครๆก็พูดได้แต่ ถ้าคุณสังเกตดีดี จะมีเพียงไม่กี่คนที่ตอบสนองโลกนี้อย่างที่มันเป็นมายาจริงๆ เค้าทำอย่างที่เค้าพูดจริงๆ คนพวกนี้ไม่แคร์อะไรเลย
อีกคำถามก็คือ ทำไมคนเราเข้าใจธรรมช้าเร็วต่างกัน ผมไม่มีทัศนะเกี่ยวกับบุญบารมีชาติปางก่อน ผมไม่เชื่อถือของพวกนี้ สิ่งที่ผมสังเกตได้ถึงความช้าเร็วที่ต่างกันคือ ความเด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อ ความตั้งใจ ความกระหายในการเข้าใจตัวเอง ความต้องการเอาชนะให้ได้ และการเข้าใจระดับความละเอียดของความทุกข์ ผู้ที่มีความทุกข์มักจะเข้าใจธรรมได้เร็วแต่เมื่อทุกข์จางคลายไป พวกเค้าก็เริ่มหยุดฝึกและกลายเป็นพวกงั้นๆในสายตาของผม
พวกคุณลองสังเกตดีดีทุกวันนี้เราจ่ายเงินแต่ละอย่างเพื่อซื้ออะไร
คุณจ่ายค่าตั๋วหนัง คุณจ่ายค่าน้ำดื่ม คุณจ่ายค่าฟิตเนส คุณจ่ายค่ารีสอร์ท คุณจ่ายหนี้ คุณจ่ายค่าบ้าน คุณบริจาค คุณส่งเสีย คุณไปเที่ยวกลางคืน ผมจะไม่นั่งร่ายตัวอย่างยาวยืด เอาเป็นว่าทุกอย่างที่คุณนึกออก คุณทำไปเพื่อซื้อความรู้สึกให้ตัวเองในรูปแบบต่างๆ
ถ้าความรู้สึกตัวคุณอิ่มตัวอยู่ตลอด คุณจะตัดรายจ่ายจากชีวิตไปได้มากเลยครับ
ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ
..........................................................................................................................................................................
Whom should I ask?
When we have a problem about meditation, we want someone, who can give an answer. The question is How can we know who is a real one who isn't. Now a day many people talk or teach Dharma, but the dharma has a spacial character that you can't refuse. It is a personal knowing. It means someone are saying about something, that they don't actually understand what thay are talking about. One can talk and one can do it very different.
Many people, who have problem, go to a famous teacher or a person, who speaks logically, and has a reliable source. But for me I don't do like that. And I never open any books to look for an answer. I always discover an answer from my practice.
When I started meditation five years ago, I had many questions like other beginners. I went to many monks, but nobody talked with me, they even didn't see me and went away. Someone said to me and gave me an answer, which I could not understand. After that I felt complicated and made a decision. I would not ask other people any more. I would find answer by myself.
After I meditated and understood few things. I recognized I only asked someone for an answer, then I asked another new question for a new answer that never end. Dharma isn't so. You can understand it when you are. Understanding from any meditation books or any persons is ridiculous.
back to the question Whom should you ask a question? My answer is YOU.
because :
- you can't understand an answer from a real one.
- you will think that you understand his answer, but actually not.
I confirm by the meditation with the awareness of the physical feeling method you get every understanding about your life automatically. Every knowing that you know is only for you. You can use it all the time you want. You will understand yourself step by step. BUT this meitation method has a negetive side. It makes you don't believe anything, don't care any books, don't respect for any hearsay. Many people will see you like a strange person.
Once I was asked by a chinese monk "why do I meditate when I don't trust paradise, hell and next life". I smiled and told him "it just useful for my life". He was speechless. It is very easy to know who understand dharma. He/She does what he/she says. Have you heard the sentence? "Our life is an illusion". Only wise persons react the life as the illusion. These persons don't care anything.
Another question is why do someone understand dharma fast someone slow? I observe it depends on hardihood, attention, enthusiasm, self-restraint and suffering.
Have you thought? you pay for dinner, ticket, fitness, debt, water, electricity, etc. whatever you can think. You pay it for your better feeling. If your feeling is full you can save much money.
Have a nice feeling !