ผมขอทางวัดเก็บอารมณ์ จริงๆผมแค่อยากรู้ว่า ข้อดีข้อเสียของมันเป็นอย่างไร อาจารย์บางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี เอาตัวเองกระโดดลงไปทดสอบดีกว่าจะมานั่งฟังคนอื่น ผมจะตัดสินเองว่า มันดีหรือไม่
ผมพบว่ามันดี มันดีสำหรับคนที่เอาจริง และเข้าใจในระดับหนึ่ง หมายถึงพวกที่แสวงหาคำตอบต่อการปฏิบัติ มันจะไม่ดีสำหรับคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เหลาะแหละ อยากจะเอา อยากจะเป็น และพวกติดคำสอนของอาจารย์คนอื่นๆ เพราะมันจะตีกันมั่วไปหมด
ในระหว่างเก็บอารมณ์นั้น ไม่ต้องช่วยงานวัดอะไรทั้งสิ้น ห้ามพูดคุยกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง มันก็มีเรื่องตลกตรงที่ คนที่ไม่รู้ว่าเราเก็บอารมณ์ จะเข้ามาพูดคุย ถามทาง ขอข้อมูลทางวัด ส่วนใหญ่มีอาการงง ถามแล้วไม่ตอบต้องตะโกนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เรียกแล้วไม่หัน ใช้ให้ทำงานแล้วเมินเฉย ผมจบลงด้วยการเดินหนี โดยส่วนตัวผมชอบการเก็บอารมณ์ เพราะถ้าเทียบกับการไม่เก็บอารมณ์ ผมฝึกแบบเข้ารูปแบบได้วันละ 13 ชั่วโมง ถ้าปรกติเต็มที่จะอยู่ประมาณ 9 ชั่วโมง
การเก็บอารมณ์มีผลอย่างมากเรื่องความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนี้สำคัญมากมาก มันมีทั้งสภาวะที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้น และตัวที่ไม่ดีนี่เองที่มันจะช่วยเรา แทนที่เราจะปฏิเสธมันหนีมัน ถ้าเราผ่านมันได้ เข้าใจมันได้ ชนมันตรงๆ คุณจะรู้ตัวเลยว่า ไม่แน่เท่าไหร่หรอก กระจอก อย่างที่ผมเจอมาก็คือ ผมติดความไม่เข้าใจบางอย่าง ซึ่งหาทางออกไม่เจอ มันสงสัยอะไรซักอย่าง เกี่ยวกับการเดินทางไปต่อ ความคิดหาทางออกให้ไม่ได้ ลองทุกอย่างเท่าที่นึกออก วนไปวนมาเหมือนปลาว่ายในอ่าง
สุดท้ายเหลืออด บอกออกไปในใจว่า
นี่ไอ้เจ้าความคิด ถ้าแน่จริงเหมือนที่คิด ก็ออกมาทำเอง ไอ้ความคิดเฮงซวย มัวแต่พูดพล่าม สอนนั่นสอนนี่อยู่ได้ แนะนำให้ทำแต่ละอย่างไม่ได้เรื่อง หุบปากแล้วนั่งดูเฉยๆ เรื่องนี้เกินความสามารถของแก ไม่ต้องมาสะเออะ คนที่เหนื่อยทำตามแกบอกนี่ชั้นนะเว้ย คนที่รับความผิดพลาดตามที่แกบอกก็ชั้นนะเฟ้ย เงียบซะ โง่แล้วยังไม่เจียม แกมันรู้ได้เท่าที่แกรู้นั่นแหละ มากเกินนั้นไม่ต้องมาเสนอหน้า
ได้ผลแฮะ มันเงียบไปประมาณ 2-3 วินาที ถ้าเป็นคน คงจะงงงง อยู่ดีดีมาว่าให้ขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นความคิดนั่นล่ะที่ว่าตัวมันเอง
มันเหมือนกับจะเกิดเรื่องอะไรในใจบางอย่างที่ทำให้ติดขัด อึดอัดใจอยู่ แต่ตอนนั้นเกิดความท้อแท้สับสนขึ้นในใจ แล้วมันก็เริ่มคิดขึ้นมาอีก ว่าคงไปต่อจากจุดนี้ไม่ได้แล้ว รู้มากขนาดนี้ ฝึกมามากขนาดนี้ แต่คงไปไม่ไหวแล้ว ทางไหนไปต่อกันแน่นะ อย่างไหนถูกต้องกันแน่ ใครก็ได้เดินมาบอกทีเถอะว่าชั้นจะหลุดจากตัวนี้ยังไง แต่ถึงมีใครโผล่มาชั้นจะถามอะไรเค้าดี ชั้นสงสัยก็จริง แต่สงสัยอะไรล่ะ ชั้นติดอะไรอยู่นะ แล้วมันก็นึกไปว่า พระพุทธเจ้า หลวงพ่อเทียน อริยบุคคลทั้งหมด ต้องเคยผ่านสภาพจิตใจท้อแท้อย่างนี้เหมือนกันแน่ สองคนแรกยิ่งไม่มีคนแนะนำด้วย พวกเค้าผ่านไปได้ยังไงกัน ผมไม่รู้ ผมคิดไม่ออก ผมเดาไม่ออก แต่ผมเชื่อว่าคนพวกนั้นก็ต้องเคยไม่รู้แบบนี้เหมือนกันแน่ๆ
แต่ว่า ถ้าชั้นไม่รู้อยู่อย่างนี้ แล้วชั้นไม่ยอมแพ้ไอ้สภาพอึดอัดไร้ทางไปที่สิ้นหวังอย่างนี้ล่ะ ถึงไม่รู้ชั้นก็จะสู้ต่อ สู้มันด้วยความรู้สึกตัวล้วนๆอยู่แค่นี้ล่ะ ไปต่อจากนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ชั้นจะไม่กลัวความสิ้นหวังท้อแท้สับปะรังเคนี่ ชั้นไม่ไปต่อจากตรงนี้ก็ได้ แต่ชั้นจะไม่ถอยกลับ และชั้นจะไม่มีวันเลิก เอาละไปด้วยกันความรู้สึกตัวชั้นจะไปกับนาย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นเราจะไปด้วยกัน
อยู่ดีดีความรู้สึกก็ตื่นขึ้นทั้งตัว เป็นความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาอย่างชัดเจนแบบที่ไม่เคยชัดเท่านี้มาก่อน มันรู้สึกตื่นตัวตื่นใจ เหมือนกับฟ้าจรดดิน มันเป็นการพัฒนาขึ้นอีกครั้งของการู้สึกตัว เหมือนมันรอจังหวะอะไรซักอย่างอยู่แล้ว รอสภาวะที่เหมาะสมที่มันจะระเบิดออกมา พอไปกระตุ้น มันถูกปั๊บ มันทะยานออกมาเหมือนฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงแล้วเมฆหมอกกระจายหายไปหมด กลายเป็นท้องฟ้า ที่สว่างไม่มีอะไรเลย ผมได้เข้าใจความหมายของคำว่าตื่น ว่ามันเป็นแบบไหน มันพร้อมจะเจอปัญหาทุกชนิด และมันรู้ด้วยว่า ไม่ว่ามายังไงก็จัดการได้ จิตใจตอนนั้นมันกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และพร้อมกล้าได้กล้าเสีย เดินเข้าไปในถ้ำที่ไม่รู้ปลายทางว่าแสงอยู่ตรงไหน แต่ตัวคนเดินนี่สิสว่างอยู่ทั้งตัว ทางออกไม่ใช่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆซักหน่อย ทางออกอยู่กับชั้นมาตลอดตั้งแต่เริ่มเดินทางเข้าถ้ำแล้ว
ความดีงามทั้งหมดของมนุษย์สถิตอยู่ทั้งหมดตรงนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ความกล้าหาญ ความไม่ท้อถอย ความเมตตา ความคิดในด้านดี ความสร้างสรรค์ ความอ่อนโยน ทุกอย่างมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งเดียวเท่านั้น คือความรู้สึกตัวล้วนๆที่ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ผมแทบจะคุกเข่ากราบตัวเองลงไปที่ดินตอนนั้นเลยว่า ทำไมคนเราถึงมีสิ่งที่ดีงามขนาดนี้อยู่ในตัว สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยมนุษยชาติได้
พอมันตื่นขนาดนั้น ทิศทางของความคิดเปลี่ยนไปทันที่ มันเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความไม่ย่อท้ออุปสรรค และเข้าใจหนทางวิธีเดินทางไปต่อทันที นี่คือ ต้นตอของความคิด ไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน อริยบุคคลทั้งหมดต้องรู้ ต้องเข้าใจ กลไกตรงนี้ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้
นี่คือวิธีควบคุมความคิด คนเราสามารถควบคุมความคิดได้อย่างแน่นอน ผมเป็นคนหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้ จะให้มันคิดไปทางไหน มันมีหางเสือ เอาไว้บังคับได้อยู่ เพียงต้องรู้จักหางเสือตัวนี้เท่านั้น นี่คือวิธีใช้ความคิดกับชีวิตอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุดของมนุษย์ ที่ว่าคนเราใช้สมองเพียง 10% อีก 90% นั้นสถิตอยู่ตรงนี้เอง นี่คือต้นตอของความคิดตัวที่หนึ่ง
ต้นตอของความคิดตัวที่สอง คือ ความรู้สึกตัวที่แนบแน่นชัดเจนต่อเนื่องเต็มอิ่ม เพราะจุดนั้น ความคิดจะไม่ทำงานโดยตัวของมันเอง หรือมันคิดไม่ได้ เหมือนกับ คนเรากลืนน้ำลายกับหายใจพร้อมกันไม่ได้นั่นเอง ความคิดของคนเราคิดมาตลอด เพราะความรู้สึกตัวมันขาดๆเกินๆ มันไม่อิ่ม ถ้าเมื่อไหร่มันอิ่ม ความคิดจะเลิกโหยหา มันจะเลิกดิ้นรน และขัดแย้งในตัวมันเอง มันจะหยุดคิด คนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเพราะมันไม่เห็นไม่รู้จักความรู้สึกตัวนี่เอง
และมันคือทางเข้าแห่งการไปอยู่เหนือความคิด
แล้วอยู่ดีดีมันก็เข้าใจเรื่อง อวิชาสาวะ กามาสาวะ ภวาสาวะ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา มันทำงานอย่างนี้เอง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจเรื่องที่เคยติดขัดอึดอัดใจทั้งหมดโดยการตระหนักเพียงอึดใจเดียว เพราะ เราไม่ทันความคิด เพราะความอยากในการไปต่อ เพราะการยึดติด ในคำสอนของตถาคต ของหลวงพ่อเทียน ของพระอริยบุคคล และความเชื่อของตัวเอง จึงทำให้เราละเลยหลงลืม สภาวะที่เกิดหน้างานจริงๆ มันไปติดอยู่กับคำพูดของคนอื่น จึงดิ้นรนไปตามคำสอนนั้นๆ ทั้งๆที่ ธรรม ไม่ใช่ตัวคำสอน คำบอกเรื่องวิธี แต่เป็นตัวที่เรากำลังเผชิญสดสดอยู่นี่ต่างหาก การที่จิตจะหลุดพ้นจากคำสอนทั้งหมด อยู่ที่ ความรู้สึกตัวเพรียวๆ เพียงตัวเดียวเท่านั้น มันเป็นศีลปรมัตถ์โดยตัวมันเอง จิตเป็นอิสระจากคำสอนธรรมของผู้อื่น ปัญญาที่เกิดจากการตื่นได้กำเนิดขึ้นเพื่อทะลวงฝ่าจุดนี้ไปได้แล้ว
ปัญหา และ คำตอบทั้งหมด จบลงด้วยคำว่า รู้สึกตัวล้วนๆ
พอเข้าใจมาถึงตรงนี้ ก็รู้ตัวเองเลยว่า ความเข้าใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว มันไกลเกินไปจากความเข้าใจของคนทั่วไป มันไกลเกินไปจากผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน คนเราสามารถควบคุมความคิดได้ วิธีควบคุมความคิดอยู่ที่ความรู้สึกตัวล้วนๆ นอกจากนั้นที่ยิ่งไปกว่า คนเรายังควบคุมความรู้สึกตัวได้ด้วย ด้วยการเห็นความรู้สึกตัวล้วนๆแบบนี้อย่างต่อเนื่องไร้ช่องโหว่ มันไปไกลจาก กฎไตรลักษณ์เต็มที่แล้ว
ในหนึ่งช่วงชีวิตของคน สิ่งนี้ไม่ติดอยู่กับรูป สิ่งนี้เที่ยง และสิ่งนี้บังคับบัญชาได้ ขอให้เข้าใจวิธีถือหางเสือไว้แค่นั้น
หลังจากนั้นตัวเบา เบาแขนเบาขา ใจปลอดโปร่งอยู่ตลอด เป็นประมาณสองวัน แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่เอาแล้ว ไม่สนแล้ว อยากเกิดก็เกิดไป อันนั้นยังไม่ใช่ล้วนๆที่แท้จริง เป็นเพียงบททดสอบของผู้ที่ติดในความอยาก มันต้องรู้สึกตัวล้วนๆ อันเป็นพื้นฐานง่ายๆ ธรรมดาๆ แบบนี้ต่างหาก รู้สึกแล้วไม่มีอะไรพิเศษ มันไม่เคยเปลี่ยนไปกับความเบา ความหนัก มันไม่เปลี่ยนไปตามอาการของจิตเลย มันไม่เปลี่ยนไปตามอายุ มันเป็นปรกติโดยตัวของมันเอง
มันต้องของแบบนี้ซิถึงจะเรียกว่า ธรรม ของที่รู้แล้วเป็นอยู่อย่างนี้สิ ความเข้าใจที่เกินเลยขอบเขตของมนุษย์ทั่วไปอย่างนี้ต่างหากที่ผมเคยแสวงหา สิ่งแบบนี้สิถึงจะไม่มีสอนที่ยุโรป มันเกินความสามารถจะเข้าใจด้วยความคิดของมนุษย์ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุยถกเถียงกับใครเกี่ยวกับธรรมะ รู้แล้วพูดไม่ได้ ความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์เยอะเต็มไปหมด แต่พอพูดออกมาเหลือเพียงคำว่า “รู้สึกตัวเอาไว้นะ”
หลังจากเก็บอารมณ์แล้ว เจ้าหน้าที่ทางวัดถามผมว่า มีอะไรจะถามหลวงพ่อไหม ปรกติต้องมีการสอบอารมณ์ ผมบอกไม่มีคำถาม เจ้าหน้าที่เข้าใจไปว่า เก็บแล้วไม่รู้อะไร ไม่เจออะไรเลยหรือ แบบนี้เก็บไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมได้แต่ยิ้ม ผมมีคำตอบแล้วจะให้ไปหาคำตอบที่ไหนอีก
สุดท้ายนี้ฝากไว้ให้กับคนที่ ถามเรื่องการขอให้ผมสอนนะครับ ผมขอตอบเลยว่า ตราบใดที่ไม่ถึงที่สุด ผมจะไม่สอนใครแบบจริงจัง อาจจะพอแนะนำได้บ้าง แต่ประเภทเปิดอบรม ตั้งสำนัก นัดกันไปเป็นหมู่คณะ สร้างความสนิทสนนคุ้นเคย ผมไม่ทำ เพราะจากที่ผมสังเกต คนที่ทำของพวกนี้ ถ้าไม่ใช่พวกตัวเด็ดๆไปเลย จะเป็นพวกที่ยังติดอยู่ในขั้นวิปัสสนูแทบทั้งสิ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า คนที่มาไกลจริงๆ จะไม่ถกเถียงธรรมะ แม้ฟังของที่ไม่จริงเค้าก็จะตั้งใจฟังเงียบๆ และมุ่งแต่ฝึกฝนตัวเองเท่านั้น มีความเด็ดเดี่ยวสูง วิธีรองรับคำพูดของคนประเภทนี้คือ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
สิ่งที่ผมเขียนขึ้นไม่ใช่ต้องการหาลูกศิษย์ หาแนวร่วมขบวนการ หรือประกาศความแน่ หรือ พยายามลบคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆที่สอนในทิศทางต่างกัน ซึ่งผมมีความเห็นว่า แนวทางปฏิบัติที่ต่างกัน จะนำไปสู่จุดจบที่ต่างกัน ทุกทางมีจุดจบของมัน แต่ตรงไหนล่ะ มันอยู่เหนือความคิดได้อย่างแท้จริงไหม เพราะตั้งแต่เริ่มแรกปฏิบัติผมสนใจแค่สิ่งนี้เท่านั้น เรื่องทุกข์ไม่ทุกข์เป็นเรื่องรองลงมา
ผมเขียนเพื่อคนที่สนใจเรื่องของความรู้สึกตัวเท่านั้น โดยบอกเล่าประสบการณ์ต่อการพิสูจน์คำสอนต่อพระบ้านนอกไม่รู้หนังสือ ที่ผมเคยคิดในใจเมื่อห้าปีก่อนว่าขี้โม้ ผมไตร่ตรองดีแล้วว่าบทความที่เขียนขึ้นนี้ มันอาจจะเป็นกำลังใจให้ใครที่กำลังพิสูจน์เฉกเช่นกันอยู่ แต่กำลังประสบปัญหาไร้ทางไป ผมยืนยันได้เลยว่า การหลุดจากปัญหามีอยู่จริง มันยากก็จริงคนที่จะเอาชนะมันต้องแน่มากๆ คือต้องทุ่มเท หรือหลงรักมันจริงๆ และอย่าปฏิเสธความเป็นจริงที่ปรากฏตรงหน้า สิ่งที่ทำขึ้นสร้างขึ้นจะตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ทั้งหมด ในหนึ่งช่วงชีวิตมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เป็นไปกับกฏไตรลักษณ์ สิ่งนั้นคือ ควมรู้สึกตัวล้วนๆ
ขอวันนี้ของท่านสวยงามต่อไป