โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ทิฐิ

เมื่อผมฝึกไปถึงระดับหนึ่งที่พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันจะมีความสามารถหนึ่งที่เกิดขึ้นเอง ผมไม่ทราบว่ามันจะเกิดขึ้นกับทุกคนหรือไม่
แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็นทุกคน มันคือความสามารถในการอ่านคน เมื่อมีคนพูดหรือแสดงธรรมะให้ฟัง มันจะรู้ทันทีว่า คนคนนี้รู้หรือเข้าใจอยู่ที่ระดับไหน หรือตัวเค้าทำได้อย่างที่เค้าสอนคนอื่นหรือไม่

บ่อยครั้งผมนั่งฟังคนพูดเรื่องธรรมะ เรื่องอารมณ์วิปัสสนา เค้าพูดได้ดีมาก ไม่มีข้อผิดพลาดเลยมันน่าฟัง แต่ผมกลับรู้ว่าเค้าไม่ได้มีสภาวะถึงจุดที่เค้าพูด มันเป็นเพียงการจำคำพูดคนอื่นมาเท่านั้น เมื่อผมเห็นคนนั่งสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรม ผมจะทราบทันทีว่า คนคนนี้ทำมันแบบมีสติหรือไม่ เข้าใจสติหรือยัง หรือใครเดินแบบได้อารมณ์ปฏิบัติ ใครเดินใครยกมือไปอย่างนั้นเอง ฟังดูเหมือนเป็นความสามารถที่ดี แต่มันไม่ดีตรงที่เมื่อความสามารถแบบนี้เกิดขึ้น คุณจะติคนอื่นในใจ คุณจะไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่รู้ไม่จริงแล้วเที่ยวสอนคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้เป็น หรือคนที่เอาแต่พูดโดยจำคำคนอื่นมา มันจะสร้างความขัดใจ แต่คนที่มาถึงจุดนี้จะไม่แสดงออกด้วยท่าทาง มันจะเป็นข้างในใจ เหมือนกับตัวเองเป็นผู้พิพากษาตัดสินถูกผิดให้กับโลกแห่งธรรม

อาการอย่างนั้นไม่ดีเลย แม้ธรรมที่ตัวเองรู้จะถูกต้องกว่า สูงกว่า เข้าใจจริงมากกว่า แต่ใจกลับขุ่นมัวสกปรกแบ่งแยกโลกเป็นถูกและผิด นั่นก็คือผมเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว มันเป็นความมืดสีเทา ตอนที่เกิดกับผม ผมไม่เข้าใจตัวนี้เลย แต่ผมแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงเปลี่ยนไป ทำไมมีนิสัยแบบนี้ขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ เพราะผมแทบจะเป็นศัตรูกับคนทุกคนที่รู้ไม่จริง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลย มันก็คือคนเกือบจะทั้งแผ่นดิน แล้วผมจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ที่เข้าไม่ได้เลยกับคนอื่นแบบนี้ มองคนอื่นขาด แต่อ่านตัวเองไม่ขาดเป็นความอับอายที่สุดในชีวิต ความรู้สึกกายล้วนๆได้ช่วยดึงผมกลับมา

เมื่อมันเริ่มหันกลับมามองตัวเอง มันจึงได้ตระหนักว่า เราฝึกตัวเองให้ไม่ทุกข์ ไม่ได้มีหน้าที่เปลี่ยนแปลงโลก โลกดีขึ้นแต่ตัวเราเองไม่สบายใจเป็นทุกข์เพราะต้องเที่ยวป่าวประกาศไม่รู้จบจะมีประโยชน์อะไร เรื่องธรรมไม่ใช่ของที่จะใช้คำพูดอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย ต่อให้เดินมาทางเดียวกัน แต่ถ้าระดับสภาวะจิตไม่เท่ากัน ก็เกิดการขัดแย้งในใจได้ การที่เที่ยวป่าวประกาศว่า เธอต้องมาเป็นอย่างชั้นนี่ เธอถึงจะถูกเพราะชั้นมีความหวังดีมีเมตตาและเดินมาก่อน แม้จะถูกจริง ก็ยังเป็นคนที่ติดอยู่กับความดีติดเมตตาติดหวังดี ถ้าคนคนนั้นเค้าไม่ฟังไม่เห็นด้วย ความทุกข์จะดีดกลับใส่ตัวผู้สอนทันที

ปัญหาง่ายๆที่มองไม่ออกก็คือ มันรู้มากเกินไป มันติดจินตญาณ เพราะความรู้ที่มันทะลักออกมาในขั้นนี้มากและลึกซึ้งเกินธรรมดา
ในขั้นวิปัสสนูนั้น เราจะอยากสอนคนอื่นมันติดสอน แต่ขั้นจินตญาณมันไม่ได้อยากสอนใครแต่มันติดความถูกต้อง

ผมเข้าใจว่านี่คือ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนากระเด็นออกมาจากประเทศอินเดีย เพราะคนที่มาถึงจุดนี้จะสอนคนโดยไม่หวังอะไรเลย ไม่หวังว่าคุณจะฟังหรือไม่ และถ้าสภาพแวดล้อมมันวุ่นวายถกเถียงมากนักนัก เค้าก็แค่นิ่งเงียบและเดินจากไป โดยไม่หวังให้คุณชายตามองด้วยซ้ำไป

นับตั้งแต่เข้าใจเรื่องนี้ผมสามารถอยู่ร่วมได้กับคนทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะรู้เข้าใจธรรมแค่ไหน คุณจะสอนคนอื่นสอนผมอย่างไรเพราะนิสัยช่างพูดหรือหน้าที่หัวโขนมันต้องสอน สภาวะใจผมสบายมาก ผมตั้งใจฟังได้ไม่มีปัญหาเลย เพราะท้ายที่สุดผู้เข้าถึงธรรม ไม่ได้แสดงออกผ่านทางช่องปาก แต่ถ่ายทอดให้ประจักษ์ด้วยการแสดงออก และปัญญาที่แหลมคม ซึ่งมันแทบจะโกหกไม่ได้เลย



ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป