โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ฝัน .....

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับอย่างสนิท และคนเราควรนอนวันละแปดชั่วโมง นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินมาโดยตลอด และเคยเข้าใจว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น เราควรนอนให้เต็มอิ่มเพื่อที่จะได้ตื่นมาแล้วสดชื่น

หลังจากที่ผมฝึกปฏิบัติด้วยการรู้สึกตัวล้วนๆ ทำไมความเห็นความเข้าใจที่เกิดกับผมล้วนขัดแย้งกับชาวบ้านเค้าเกือบหมด ถ้าเราใช้ชีวิตในเมือง มีใครทำได้บ้าง นอนเต็มอิ่มทุกวัน ตื่นมาสดชื่นทุกวัน มีใครควบคุมการนอนของตัวเองได้บ้างหลังจากหลับไปแล้วให้มันหลับสนิท บางผลการวิจัยบอกว่า ดื่มน้ำอุ่นซิ ดื่มน้ำผึ้งก่อนนอนซิ อย่าดื่มนมนะมันใช้พลังงานในการย่อยตอนนอน ของหน้างานมันใช้ได้ที่ไหน

ความเข้าใจที่เกิดกับผมตอนนี้คือเรื่อง ความฝันและการนอน ผมไม่เชื่อเลยว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และไม่เชื่ออย่างแท้จริงด้วยว่าต้องนอนวันละแปดชั่วโมง เนื่องจากผมต้องตื่นไปส่งหนังสือพิมพ์ตอนตีสอง ผมจึงควรเข้านอนหัวค่ำ นอนให้เต็มอิ่มจะได้ฟิตตอนตื่น ตามหลักการควรเป็นอย่างนั้น แต่หน้างานมันไม่เป็นอย่างนั้น กว่าจะนอนก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม ผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่จะนอน จะเพลียไหมนี่

ตั้งใจนอนให้หลับยิ่งเป็นไปได้ยาก ตอนแรกผมไม่เข้าใจเลย มันเคยเป็นอย่างนี้ช่วงหนึ่งตอนอารมณ์รูปนาม คือนอนไม่หลับ มันรู้สึกตัวชัดไปหมด ขยับร่างกายนิดเดียวก็ตื่น แต่สุดท้ายมันจะหลับลง ถ้าคนไม่รู้จักความรู้สึกตัว ผมขอบอกให้รู้ไว้ว่า นี่ไม่ใช่การนอนไม่หลับแบบคนฟุ้งซ่าน มีเรื่องให้คิดวิตกกังวล อันนั้นมันทรมานใจ ความคิดไม่ได้ฟุ้งซ่าน ความรู้สึกตัวชัดๆต่างหากที่ฟุ้งเต็มไปหมด

เวลาที่เราฝึกความรู้สึกตัวมากๆเข้านี่ สิ่งหนึ่งที่จะเกิดอย่างแน่นอนคือ ความตื่นตัว มันไม่ยอมหลับ ร่างกายมันตื่นชัดอยู่ตลอด บางวันทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน พอล้มตัวลงนอนกลับไม่ยอมหลับทั้งๆที่เพลียมากๆ ช่วงแรกๆผมเป็นกังวลว่า แล้วมันจะไปมีแรงทำงานได้อย่างไรตอนกลางคืนถ้านอนไม่เต็มอิ่ม คุณเคยถูกปลุกกลางดึกไหมสภาวะสลึมสลืออย่างนั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างยิ่ง

พอมันไม่หลับย่อมไม่ฝัน ผมไม่ทราบว่ามีกี่คนที่อ่านบทความนี้ แล้วฝึกตัวเองมาจนถึงจุดนี้ แต่ใครก็ตามที่มาถึงจุดนี้คุณจะรู้เองว่า ความคิดคุณจะไม่เป็นภาพ มันจะคิดเป็นเพียงคำพูดในหัวอย่างเดียวเป็นหลัก กลับไปที่เบสิคนิดนึงนะครับ ความคิดคนเรามีเพียงแค่สองแบบใหญ่ๆ คือคิดเป็นเสียง กับคิดเป็นภาพ

ช่วงหลังผมค่อนข้างมีปัญหาในชั้นเรียน เพราะความคิดปรุงแต่งไม่ทำงาน เวลาที่ครูให้งานในชั้นให้แต่งเรื่องราว ความคิดผมไม่ไป มันไม่มีอารมณ์ร่วมในการทำของพวกนี้ บางครั้งให้แต่งจดหมายรัก ให้สร้างเรื่องบางอย่างขึ้นมา สมองผมว่างเปล่าจริงๆ ผมไม่สามารถเขียนเรื่องโกหกเมคขึ้นมาได้ และผมไม่มีความเห็นใดใดกับหัวข้อสนทนาในชั้น ผมไม่มีความเห็นถูกผิด สมองผมหยุดให้ค่ากับการวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ของสังคมมนุษย์ ผมเพียงมองเห็นเรื่องราว แล้วสมองก็ไม่ทำงาน มันหยุดดื้อๆ และผมรู้สึกเสียเวลาอย่างยิ่งกับการเอาเวลามานั่งจิตนาการเรื่องราวต่างๆถกเถียงเกี่ยวกับมันอยู่ในห้องแคบๆนี่

และเมื่อความรู้สึกตัวมันตื่นอยู่ตลอดในขณะที่กำลังนอนหลับ ผมก็ได้ค้นพบว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุด ไม่ใช่การนอนหลับอย่างเต็มที่ แต่คือการตื่นอย่างเต็มที่ในขณะนอนหลับต่างหาก มองภายนอกเป็นการนอนนิ่งๆแต่สภาพร่างกายภายในตื่นตลอดเหมือนนักมวยที่เตรียมฟาดหมัด นี่ซิถึงจะเป็นการพักผ่อนแบบเหนือชั้น บางคืนผมหลับแบบไร้สติเพียงครึ่งชั่วโมง พอรู้สึกตัวขึ้นมา มันก็ไม่หหลับอีกเลย ผมทดลองว่ามันจะเพลียไหม ไม่ต้องนอนหลับมันเลย พอตีสองออกไปวาดลวยลายส่งหนังสือพิมพ์ มันก็ไม่เพลียเลย สติตรึกตรองสิ่งต่างๆทำงานเหมือนเดิม ความคิดไม่ล้าสักนิด มันเหนื่อยหอบปรกติเพราะวิ่งเข้าออกอาคารหลายหลัง แต่ไม่ง่วงหาวอยากหลับหรือรู้สึกเบื่องาน แปลกมากเพราะผมแทบจะไม่ได้หลับเลย มันเป็นอย่างนี้มาเป็นอาทิตย์

เมื่อร่างกายเรานอนหลับแต่สภาพความรู้สึกตัวตื่นอยู่มันฝันไม่ได้ครับ กลไกมันทำงานไม่ได้เหมือนเฟืองที่ขัดราง เพราะความฝันถูกผูกอยู่กับกลไกความคิดลักษณะเป็นภาพ ความรู้สึกตัวขั้นนี้มันไปฆ่าสัญญา ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวเล่าลือที่ว่า ผู้เจริญสติมาถึงจุดหนึ่งจะไม่ฝัน ถ้าฝันก็สั้นมากแล้วตื่นทันที

เวลาที่เราฝันมันเปลืองพลังงานมาก เพราะอารมณ์ทำงานตามความคิด ความฝันคือความคิด เมื่อมีความคิดอารมณ์จึงทำงานทันที ต่อให้ไม่รู้สึกตัวอารมณ์มันก็ทำงานแบบนั้นอยู่ คนตื่นมาจึงรู้สึกเหนื่อย บางทีกลัวไปกับเรื่องที่ฝัน และนั่นคือเหตุผลของการหลับไม่สนิท มันฝันนั่นเอง

คนเราปอดแหกไปเอง ว่าจะนอนไม่พอ ทุกวันนี้ผมรู้สึกสนุกกับการไม่ต้องหลับ เวลาที่เรานอนแบบไม่รู้สึกตัว ตื่นมาจะปวดเมื่อยเพราะมันไปนิ่งแช่กับท่าเดิมๆนานเกินไป แต่ถ้าเรานอนหลับแบบตื่นพอมันจะเมื่อย มันก็พลิกตัวขยับไปมา ตื่นมามันจึงไม่ขบเมื่อย มันเป็นความสบายแบบประหลาดๆ มันคล้ายๆกับร่างกายมันปรับสัญญาใหม่ มันไม่กลัวการอดนอน

ทุกวันนี้ผมเหมือนอยู่ในโลกที่มีความเห็นไม่เหมือนชาวบ้านอยู่ตลอด แต่มันไม่เดือดร้อนอะไรในเมื่อไม่สนใจจะเถียง มันไม่ได้ติดวิปัสสนูนี่ เหมือนมีเพียงผมคนเดียวที่ใช้ความรุ้ความเข้าใจแบบนี้ได้ ต่อให้ผมรู้และเข้าใจชัดเจนแค่ไหน ก็ให้คนอื่นไม่ได้ จะสอนออกมาด้วยคำพูดก็ยากเต็มที จะให้สอนอะไรผมไม่มีอะไรจะสอน ผมบอกได้เพียงว่าผมพบเจออะไร และทำอย่างไรจึงจะพบเจอมัน และผมสนใจจะพูดกับคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือคนประเภทเดียวกับผม คนที่แน่พอที่จะทิ้งทุกอย่าง เพื่อจะได้เข้าใจอะไรบางอย่างที่คุณไม่รู้ว่าคืออะไร เค้าคนนั้นต้องหลงรักมันจริงๆและบ้าบิ่นพอที่จะไม่สนกระแสสังคมส่วนใหญ่ ผมสนใจคนโง่ที่ลงมือทำ มากกว่าคนฉลาดที่เอาแต่พูดมากและถกเถียง ในมุมมองมองของผม คนประเภทแรกต่างหากที่ฉลาด

ผมไม่ทราบว่าจะเรียกมันว่า ธรรม ดีไหม เพราะมันห่างไกลเกินไปแล้ว กับเรื่องไตรลักษณ์ เรื่องกิเลส เรื่องสมถะ วิปัสสนา เรื่องความขัดแย้งในการปฏิบัติ หรือเรื่องอะไรที่คนพูดกันอยู่ในเว็บ สิ่งที่ผมเข้าใจมันเป็นเรื่อง กลไกการทำงานของชีวิตล้วนๆเลย และวิธีนำกลไกนั้นมาใช้ โดยลงไปที่ความรู้สึกตัวกับความคิดเพียงประการเดียว ผมหมดความสนใจกับเรื่องพวกนี้ มันคล้ายๆกับว่าพอคุณเชี่ยวเรื่องอะไรซักอย่างจริงๆ คุณก็ไม่สามารถทนอยู่กับความท้าทายแบบเดิมๆได้อีก มันไม่สนุกอีกแล้ว มันไม่ถอยหลังอีกมันก้าวไปข้างหน้าอย่างเดียว

ผมไม่ทราบว่าจุดต่อไปจะเจออะไรอีกแต่เห็นลางเลือนว่า จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลยนอกจาก การตั้งอยู่ของสติสัมปชัญญะ


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ