11/04/2010
เมื่อเข้าใจคำกล่าวว่า "อาตมาไม่ได้ทำอะไรเลย" ความรู้สึกตัวจะตัดทุกอย่างนอกจากตัวมันเองออกไปทั้งหมด นอกจากความรู้สึกตัวล้วนแล้วผมไม่รู้อะไรเลย การทำชั่วด้วยกายถูกตัดออกก่อนเป็นตัวแรก
03/04/2010
คิดนอกกรอบ ดูเหมือนจะเป็นอะไรยากเย็นอย่างหนักกว่าที่จะคิดออกมาได้ และกำลังเป็นกระแสของการทำอะไรใหม่ๆในยุคนี้ ถ้าเราทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นล่ะ ใช่แล้วผมพูดว่าทำไม่ใช่คิด ทำนอกกรอบ ถ้าผมไม่ขับรถนิสัยไร้มารยาทบนท้องถนนเหมือนคนส่วนใหญ่ ถ้าผมไม่ผ่อนรถไม่ซื้อบ้าน ถ้าผมไม่ออกไปทำงานหาเงิน ถ้าผมไม่คิดมีลูกเมีย ถ้าผมไม่คิดจะบวช แบบนี้เป็นการคิดแล้วทำนอกกรอบหรือเปล่า
30/03/2010
ผมหาวิธีทำให้ทุกหน้าในบล็อคสามารถใส่ความเห็นได้ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ มีใครพอทราบวิธีบ้างครับ อย่างไรก็ตามผมชักเริ่มเข้าใจการเข้าไปแก้ไขหน้าตาของบล็อคมากขึ้น หลังจากทดลองเปลี่ยนหน้าตามันทุกวัน
23/03/2010
วันนี้วันเกิดคุณพ่อผม คุณย่าและคุณปู่มาหาถึงที่บ้าน พวกเค้านัดจะไปกินข้าวกลางวันด้วยกันซักมื้อแถวอยุธยา ก่อนจะไปคุณพ่อผมบอกว่าจะไปถวายยา จีวร และรองเท้าแตะที่วัดปลายนาซักหน่อย พอไปถึงหลวงพ่อท่านก็สอนให้ยกมือสร้างจังหวะ คุณย่าและคุณปู่ที่ติดรถไปด้วย เลยต้องนั่งฝึกยกมือสร้างจังหวะติดร่างแหไปด้วย หลังจากกลับมา คุณพ่อถามคุณปู่ว่าเข้าใจที่พระสอนไหม คุณปู่พูดสั้นๆว่า เข้าไม่ถึง ส่วนคุณย่าบอกว่า ตอนนั้นนั่งนึกในใจให้ยกมือรู้สึกตัวทำไมวะ คุณพ่อเลยอธิบายว่า เพราะโดยมากคนเราทำอะไรไม่รู้สึกตัว มันถึงเดี๋ยวโกรธเดี๋ยวดี พอคนเรารู้สึกตัวมันจะไปรั้งอารมณ์พวกนี้ไว้ นิสัยผมเปลี่ยนไปมากเลยนะ คุณย่าดูตั้งใจฟังมาก แล้วถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ไม่น่าเชื่อเลย แค่ยกมืออยู่แค่นี้นะมันเปลี่ยนคนเราได้จริงๆหรือ ผมได้แต่ยิ้มและฟังลูกสอนแม่ไปตลอดทาง
Intro
หลังจากเรียนมหาวิทยาลัยที่อินน์บรูคได้สองปี ผมก็ตัดสินใจดร็อปเรียนสิบเดือน อ่านประสบการณ์ช่วงนั้นตรงนี้ครับ เพื่อเอาเวลามาฝึกปฏิบัติธรรมที่เมืองไทย เมื่อกลับไปที่อินน์สบรูคอีกครั้ง อยู่ได้ห้าเดือนผมก็ตัดสินใจเลิกเรียนโดยเด็ดขาด เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการไปมหาวิทยาลัยอีกต่อไป ผมสังเกตคนจำนวนมากในยุโรปและพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะการศึกษาสูง มีเงินมาก เชื้อชาติอะไร ไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต พวกเค้าดิ้นรนกับชีวิตอยู่ตลอดเวลา ผมเคยไปเวียนนา เวนิซ มิวนิค สวิซเซอร์แลนด์ เมื่อคุณเดินตามท้องถนนจะเห็นผู้คนทำสีหน้าวิตกกังวลอะไรบางอย่างเสมอไปลองดูเองได้ ตอนที่ผมอยู่เมืองไทย คนไทยอยากมาที่นี่ เป็นเมืองในฝันต้องมาเยือนซักครั้ง ผมสังเกตกรุ๊ปทัวร์มากมาย พวกเค้ายิ้มแย้มมีความสุขกับสถานที่ ผมเรียนสถาปัตยกรรมก็จริง แต่เวลาที่ผมไปต่างเมือง สิ่งที่ผมสนใจและสังเกตกลับเป็นผู้คน สีหน้าของพวกเค้า และการใช้ชีวิต
เมื่อผมถามพวกเค้าว่า เฮ้ ชีวิตพวกคุณเป็นยังไง พวกเค้ามักตอบเหมือนกันว่า ดี ทุกอย่างลงตัว ชั้นแฮปปี้กับชีวิตของชั้น แต่เมื่อผมอยู่กับพวกเค้าสังเกตสีหน้าพฤติกรรมของพวกเค้า ผมกลับพบว่า พวกเค้าเหนื่อย อ่อนล้า และมีปัญหาไม่หยุดหย่อน ในสายตามผมชีวิตพวกเค้าไม่โอเค ผมมาเรียนที่นี่ เพราะผมแสวงหาความเก่งกาจ และชีวิตที่ดี แต่ผมกลับได้พบว่า ความเก่งกาจไม่ช่วยอะไรในเรื่องของชีวิตที่มีความสุข เพื่อนของผมเรียนจบก่อนผม เค้าได้งานเป็นล่ามแปลในบริษัทวิศวกรรมเก่าแก่แห่งหนึ่ง แต่เค้ามักกลับมาหอด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ทำกับข้าว ดูทีวี หัวเราะ หยอกล้อเพื่อนๆ และเข้าห้องนอน พอวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไปเล่นสกี ตอนเย็นปาร์ตี้ ชีวิตวนซ้ำๆแบบนี้เค้าอาจรู้สึกดี แต่ชีวิตแบบนี้ผมไม่เอา ผมไม่รู้ว่าชีวิตของผมมันจะหน้าตาแบบไหน แต่ผมรู้ว่าแบบไหนที่ผมไม่เอา
ผมสังเกตว่าชีวิตของเด็กมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ถูกสอนมาเพื่อให้เข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างที่บริษัทหรือสำนักงานที่ไหนซักแห่ง และชีวิตของพวกเราต้องขึ้นอยู่กับมัน พวกเราต้องสู้เพื่อที่จะได้อะไรบางอย่างมาไว้ในมือ อาจจะตะกายไปจนถึงเจ้าของบริษัทในวัยกลางคน แล้วเมื่อผมสังเกตเจ้าของกิจการทั้งหลายพวกเค้ามีเงิน ลูกน้อง แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าผมอยากมีชีวิตแบบนี้ พวกเค้าภาระเยอะเกินไปและไม่มีเวลาให้ตัวเอง ใครใครก็ทำได้ มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น เพราะผมโชคดีที่ผมได้มากินนอนอยู่บ้านของหมอดูที่เก่งมากๆคนหนึ่ง ผมไม่ทราบว่าเค้าแม่นหรือไม่ แต่คนส่วนใหญ่ที่มาพูดเหมือนกันว่าแม่นมาก ผมไม่สนใจตัวหมอดูมากเท่ากับคนที่มาหา มีคนทุกประเภทที่คุณจะสามารถนึกออก ตั้งแต่โคตรรวย ดารานักแสดง นักการเมือง นักธุรกิจ ผู้คุมเรือนจำ ทหารตำรวจ เจ้าของรีสอร์ทโรงแรม นักเรียนนักศึกษา พ่อค้าแม่ค้า ผู้พิพากษา แอร์โฮสเตท คนขายทอง เจ้าของร้านอาหารดังๆ หมอ พยาบาล
พวกเค้ามาหาหมอดูทำไม เพราะว่าพวกเค้ามีความทุกข์ คนที่ชีวิตนี้ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเลยเค้าจะมาหาหมอดูเพราะปัญหาความรัก หรือไม่ก็ทุกข์เรื่องลูก นักการเมืองมาหาหมอดูไม่ใช่ว่า เค้ามาให้ช่วยหาวิธีทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เค้ามาหาว่าจะเข้าหาผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ายังไงเพื่อจะได้ยกตัวเองให้สูงขึ้น ดารามาเพื่อหาว่าจะทำยังไงให้ได้งาน นักธุรกิจส่วนใหญ่หาวิธีแก้ทางโหราศาสตร์เพราะกำลังจะเจ๊งหรือร่อแร่เต็มกลืน นักเรียนนักศึกษามาถามว่าปีนี้จะเรียนจบไหม จะได้งานทำไหม จะได้ไปเรียนต่อเมืองนอกไหม วัยรุ่นสาวๆส่วนใหญ่ดีใจที่จะมีแฟนเป็นเด็กนักเรียนนอก การศึกษาสูง
ผมไม่ค่อยสนคำทำนายแต่สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไร รวยแค่ไหนหรือคุณจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขจากใคร คุณจะหนีความทุกข์ไม่พ้น แล้วทำไมผมจะต้องไปนั่งดิ้นรนเสียเวลาเรียนจนจบ เพื่อสิ่งที่ใช้ไม่ได้ผลกับชีวิตด้วย ตัวอย่างมีให้เห็นรอบตัวมากขนาดนี้
ทุกคนที่รู้เรื่องว่าผมจะเลิกเรียน พูดอยู่นั่นว่าเลิกทำไมเรียนให้จบก่อน อนาคตเชียวนะ ผมทราบว่าพวกเค้าหวังดี แต่พวกเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การศึกษามันนำไปสู่อะไรพวกเค้าได้แต่หวังว่ามันจะนำไปสู่สิ่งดีดี ที่บ้านหมอดูนี้มีเด็กจบนอกหลายคนมาที่นี่ พวกเค้าหางานทำไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทางบ้านมีฐานะดี จึงเปิดกิจการเองสุดท้ายก็ไปไม่ค่อยรอดหรือไม่ก็ทรงตัว มีปัญหาสารพัดเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ผมไม่เห็นว่าการศึกษามันจะช่วยอะไรได้ นี่ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ แต่มันคือความจริงที่กำลังเกิดขึ้น การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรชีวิตเท่าไหร่
คนภายนอกมองว่าเด็กไปเรียนนอกจบนอกต้องเก่ง หัวดี มีภาษี ได้ภาษา แต่ผมไม่เห็นอย่างนั้น ผมมองพวกเค้าธรรมดามาก ทุกวันนี้ผมมองเด็กพม่าที่มาเป็นคนใช้ที่บ้านด้วยความชื่นชม เค้าไม่มีความรู้แต่ส่งเงินกลับบ้านให้พ่อแม่เกือบทั้งหมดของเงินเดือน ผมชื่นชมคนเก็บขยะซาเล็ง ผมสนใจคนทาสีขอบถนน มีงานหลายๆแบบที่ผมไม่เคยนึกถึงเลย ผมไม่เห็นพวกมีอาชีพดีดีทางสังคมในสายตา เพราะพวกเค้ามาที่นี่เพื่อดูดวงจนตรอกและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และคำถามที่แทบทุกอาชีพจะต้องถามคือ เมื่อไหร่จะรวย ถ้าพวกเค้าได้พักที่นี่ซักสองสามวัน เค้าจะได้เจอตัวรวยเป็นๆ พวกเค้ามีความทุกข์อยู่ดี คุณจะอยากรวยไปทำไม
ผมยังไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร เพราะผมเป็นแค่คนที่เลิกเรียนกลางคัน แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกกลัวอนาคตเลย เมื่อผมไปธนาคารขอเปิดบัญชี ผมไม่ทราบจริงๆว่าผมควรจะกรอกว่าผมมีอาชีพอะไร เพราะผมไปนอนวัด กินข้าววัด ช่วยงานวัด และไม่มีเงินเดือน แต่ผมค่อนข้างโชคดีตรงที่ พ่อ แม่ น้องผม เค้าเก่งกว่าผม พวกเค้าหาเงินเก่ง มีเงินเก็บ ผมไม่ต้องดูแลใคร ไม่ต้องส่งเสียใคร เอาตัวเองให้รอดพวกเค้าก็รู้สึกดีแล้ว ผมจึงสามารถใช้ชีวิตร่อนเร่แบบนี้ได้
ในมุมมองของผม คนไทยยังแพ้ชาวตะวันตกอยู่ด้วยเหตุผลสำคัญไม่กี่ข้อและหนึ่งในนั้น คือเรามีทัศนะคติว่า เราเป็นรองเค้า และเค้าตอกย้ำมันด้วยการแสดงออกให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น เราต้องไปเมืองนอกเพื่อเรียนจากเค้า เราต้องซื้อของของเค้ามาใช้ เราชื่นชมประเทศของพวกเค้า และเราอยากจะเป็นแบบเค้า เราต้องออกแบบรีสอร์ทโรงแรมอย่างดีหรูหราเพื่อต้อนรับเอาเงินจากพวกเค้า เราต้องฝึกตัวเองเรื่องภาษาอย่างหนัก เกือบทุกบริษัทจะต้องมีช่องให้กรอกตอนสมัครงานถึงภาษาที่สอง ต้องการคนที่ใช้ภาษาอื่นได้คล่องแคล่ว เพื่ออะไรเพื่อให้เค้ายอมรับเราและดูดเงินจากเค้ามาสู่เรา ทุกวันนีคนไทยแข่งกันเองเพื่อของแบบนี้ ผมเคยถามตัวเองว่า ทำไมชีวิตผมจะต้องดิ้นรนเพื่อไปหาเค้า เรียนภาษาของพวกเค้า ทำวีซ่า เสียค่าเทอม ทำไมพวกเค้าไม่ดิ้นรนมาหาเราเอง
เวลาที่ผมเปิดแมกกาซีน ผมมักจะเห็นโฆษณา ไทยแลนด์เมืองสวรรค์มีภาพชาวต่างชาติวิ่งร่าเริงกระโดดบนหาดทราย นอนให้นวดน้ำมันในสปา กินอาหารท่าทางอร่อยหรูๆ มีคนไทยเป็นฉากหลังพนมมือไหว้ยิ้มอย่างนอบน้อม พวกเค้าแสดงออกเหมือนเทวดาในขณะที่คนไทยเป็นข้าบริวาร
แต่ถ้าคุณคลุกคลีอยู่กับชาวต่างชาติจริงๆ คุณจะรู้ว่าพวกเค้าไม่เห็นพิเศษพิสดารตรงไหน เมื่อครั้งผมยังเข้าออกมหาวิทยาลัยอินน์สบรูค ผมทำงานเกือบทุกชิ้นได้ดีกว่าพวกเค้าด้วยซ้ำ พวกเค้าจำเวลาผิดได้เหมือนคุณ พวกเค้าทำงานพลาดได้เหมือนคุณ เมื่อผิดพวกเค้าพูดแก้ตัวเหมือนคุณ และของพวกนี้เป็นตัวช่วยอีกอย่างว่า ทำไมผมจะไม่เรียนอีกต่อไป คุณอาจจะรู้อยู่แล้วว่าทำไม บริษัทรถยนต์เมอเซเดสยิ่งใหญ่ ทำไมนาซ่านั้นเท่ ทำไมไมโครซอฟ กูเกิล นั้นทำกำไรมหาศาล คนหลายคนอยากทำงานในที่แบบนั้น คำตอบคือ การบุกเบิกและการพัฒนาไม่หยุด
ในทัศนคติของผม เราไม่มีทางแซงหน้าหรือตามเค้าทัน เมื่อเราวิ่งไปถึงจุดของเค้า เค้าก็ไปอยู่จุดอื่นแล้ว ในมุมมองของผมคนไทยมีจุดแข็งแต่เราทิ้งจุดแข็งของเราไปวิ่งตามสิ่งที่เราไม่แข็งจริง มีบางอย่างเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติอย่างมาก พวกเค้าสนใจแต่ไม่เข้าใจมัน พวกเค้าตามหลังเราประมาณยี่สิบปี พวกเค้าทดลองเกี่ยวกับสมองแต่ยังไม่รู้ว่า ต้นกำเนิดของความคิดคืออะไร พวกเค้าตั้งใจอย่างมาก เพียงแต่ยังไม่รู้วิธี และวิธีนั้นคือสิ่งที่เราเรียกกันว่า เจริญสติ
แม้เราจะนำเค้าอยู่ในเรื่องนี้ มันก็ยังอ่อนมากสำหรับคนไทย เพราะคนส่วนใหญ่ที่กำลังสอนคนอื่นภาวนาไม่ได้รู้จริงเกี่ยวกับมัน พวกเค้าคิดว่ารู้ ตอบได้ทุกคำถามแต่กลับเอาตัวไม่รอด และพวกเรากำลังทะเลาะกันเองบนพื้นฐานของการเอาตัวไม่รอดนั้น คนไทยขาดการพัฒนาและความกล้าหาญในการบุกเบิก เมื่อมีใครทำอะไรใหม่ๆออกมามักถูกคนรอบข้างดักคอว่าไม่ได้ผลหรอก มันอาจจะดีนะแต่....ผมว่า...
ผมไปวัดบางแห่งเห็นเจ้าอาวาสนั่งเต๊ะพูดจาไม่รู้สึกตัวมีคนนั่งพนมมือฟังด้วยความนบนอบ ผมได้แต่ลุกเดินหนีออกไป ผมไม่เห็นแสงสว่างของการสอนคนหากผู้สอนยังสอนตัวเองไม่ได้ ผมตั้งใจแล้วว่าชีวิตผมจะไปทางนี้ ผมจะเป็นครูที่ไม่วิ่งตามอะไรอีกแล้วและอาวุธที่ผมจะใช้คือ ความรู้สึกตัว
While I was studying at university Innsbruck in the second years, I decided to pause my study ten months in order to I have time for practice meditation intensively in Thailand, then I went back to Austria. Five months later I made an important decision again. I didn't go to the university anymore. I gave up to learn from books, internet or professors and take a good grade. I observed many people in europe, who has much money or high education in different nations. They are not happy and never enough. They always fight for their lifes. If you walk on a street or into a bus, you will see many people with worrying faces.
In my opinion universities produce graduates into an office or firm system, and our lifes depend on it. We must fight for something that we think they are important for future. But what I found when I saw back to the past. I did hardly many things which were not necessary for now. I observe many owners. They have money and employee, but no time for self because of their responsibilities. I don't want to live like this way.
It sounds crazy but do you know? many thai people strongly believe or worry what a fortuneteller tells them. I am in luck I live in a cool fotuneteller's office. I don't care how smart she is, but I am very very interesting for her client. Almost career as you can image come here in order to get her advice for their life problems.
One who doesn't have problem about money in his/her life comes here because of the problem about love or children. Politician comes here to ask how to get more power. Star comes here to get job with magic method. Businessman comes here because of economy crisis. Student comes here to check his/her chance for graduation,and asks about partner.
When people have problem, which they can't solve it by themselves they come here for a magic. They come here again and agin. Even rich or high graduates are as cornered as poor or nongrauates. When any big problem happen, the both have suffering on life. This is real situation on this earth. I give up to go to university, because It doesn't help my life happy at the end.
Anyone who knew I gave up my studying told: hey! don't do like that Just do it for my future. But I trust my instinct more than their warning. I don't know what exactly does the education bring to me at the end, but I know I don't like the way of life to learn and work without ending.