โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ลำดับอารมณ์ ..... level up

ผมได้ย้อนกลับมาอ่านสิ่งที่หลวงพ่อเทียนเขียนเรื่องลำดับอารมณ์วิปัสสนาด้วยลายมือของท่านเอง มันเป็นความแตกต่างอย่างที่สุดของการสอนธรรมของหลวงพ่อเทียนกับอาจารย์กรรมฐานท่านอื่นๆที่ผมรู้จัก เพราะท่านบอกขั้นตอนแต่ละขั้นไว้อย่างชัดเจน สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นอีกคือ ผู้ที่เดินตามคำสอนของท่านจะพบสิ่งที่ท่านบอกไว้ตามลำดับขั้นตอนไม่ผิดเพี้ยนเลย และในบทความนี้ผมจะแตกรายละเอียดออกมาทั้งหมด ตามความเข้าใจที่ผมประสบพบเห็น ยกเว้นเพียงในระดับสูงสุดที่ยังไม่สามารถแจกแจงได้

นี่คือสิ่งหลวงพ่อเทียนเขียนไว้

- อาการเกิดดับ
-----------------------
- กุศลทาง กายวาจาใจ รวมกัน
- กุศลทางใจ
- กุศลทางวาจา
- กุศลทางกาย
- อกุศลทาง กายวาจาใจ รวมกัน
- อกุศลทางใจ
- อกุศลทางวาจา
- อกุศลทางกาย
-----------------------
- อวิชาสาวะ
- ภวาสาวะ
- กามาสาวะ
- ปัญญาขันธ
- สมาธิขันธ
- ศีลขันธ
-----------------------
- กรรม
- อุปาทาน
- ตัณหา
- กิเลส
-----------------------
- วิญญาณ
- สังขาร
- สัญญา
- เวทนา
- โทสะ
- โมหะ
- โลภะ
- อาการ
- ปรมัตถ์
- วัตถุ
-----------------------
- รูปนาม

................................................................................

ผมได้ทดลองเขียนเป็นแผนภาพเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ จากการฟังคำบรรยายของหลวงพ่อเทียนจากซีดี ท่านพูดแบบรวดเดียวจบ จากต้นไปหาปลาย ซึ่งหลายๆอย่างฟังแล้วไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร เช่นขันธสี่ ขันธสาม ขันธสอง ขันธเดียว มันมีบางอย่างที่ทับซ้อนกันตามความเข้าใจของคนที่มีความรู้จากตำรา ว่ามันอยู่ช่วงไหนระยะไหน ส่วนหนึ่งเพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวจึงใช้คำพูดต่างกัน แต่ถ้าเดินตามกันมาจะเข้าใจของพวกนี้ได้เอง ผมได้เทียบเอาไว้ในแผนภาพดังข้างล่างนี้

ถ้าใครก็ตามที่ฝึกตามแนวทางหลวงพ่อเทียนอยู่ เมื่ออ่านจากแผนภาพด้านล่างนี้แล้ว ท่านจะทราบว่าการเลเวลอัพ ไม่สามารถกระโดดข้ามขั้นได้ และของพวกนี้ไม่สามารถพูดโกหกกันได้ว่ามาถึงสภาวะนั้นสภาวะนี้แล้ว เนื่องจากผู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าจะฟังออกทันที ว่าคุณโกหกหรือไม่ ส่วนเค้าจะตอบสนองต่อคำพูดนั้นๆอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อีกประการหนึ่งคือ ผู้สอนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าในความเป็นจริงไม่มีขั้นแบ่งอะไรทั้งนั้น อันนี้จริงในแง่การไม่ยึดติดต่อสมมต แต่ถ้าใครก็ตามที่เดินตามทางหลวงพ่อเทียน แล้วสภาวะของเค้าเปลี่ยนจากเดิมเป็นขั้นเป็นตอน คนพวกนี้จะสามารถไล่ลำดับอารมณ์ในแต่ละขั้นได้อย่างแน่นอนและมันต้องเป็นทุกคน เพราะมันมีความแตกต่างของอารมณ์วิปัสสนาในแต่ละช่วง แล้วถ้ามาเทียบกับของคนอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันจะพบว่ามันเหมือนกันอีกด้วย แต่การจะเทียบและมองขั้นออกจะต้องเดินมาถึงที่ระดับศีลปรมัตถ์ก่อนเป็นอย่างน้อยไม่อย่างนั้นจะมองไม่ออก เพราะว่าอารมณ์ของโสดาบันกับสกิทาคามีและอนาคามีนั้นไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยู่ที่โสดาบันคุณไม่สามารถเปรียบเทียบกับอะไรได้นอกจากปุถุชนที่ไม่ได้ฝึก ถ้าคุณอยู่ที่สกิทาคามีคุณจะเปรียบเทียบระดับได้ชัดเจนจากโสดาบันและปุถุชน ถ้าคุณอยู่ที่อนาคามีคุณจะรู้ว่าอะไรคือความต่างของสกิทาคามีโสดาบันและปุถุชน มันจะเห็นระดับอารมณ์เป็นชั้นๆอย่างนั้นเลย

และคำพูดที่ผมใช้เกี่ยวกับอริยบุคคลต่างๆนี้ มิได้มีจุดประสงค์อวดอ้าง เพียงแต่เป็นการนำคำสอนของหลวงพ่อเทียนและตำรามาเทียบเคียงกันตามความเข้าใจส่วนตัวเท่านั้น ทุกวันนี้การสอนธรรมนั้นกระจัดกระจายไปตามสายต่างๆและไร้ระบบที่ชัดเจน มันคล้ายจะพูดได้เลยว่าฝึกๆไปส่งเดชอย่าไปคาดหวังอะไร วันดีคืนดีถ้าตั้งใจจริงมันจะเกิดขึ้นเอง ผมไม่เห็นด้วยเลย




นำมาทำเป็นตารางให้ดูง่ายๆ





เทียบกับขั้นของอริยบุคคล อุปสรรค และวิธีเทคนิคผ่าน
การที่คนเราไปติดอยู่ที่ขั้นไหนนานๆ เพราะมันไม่รู้เทคนิควิธีฝึกที่ถูกต้องนั้นเอง





ขันธต่างๆ ที่ท่านเรียกชื่อเอง





ความเข้าใจที่จะเกิดในแต่ละขั้น





เมื่อนำมารวมกันจะเห็นว่า คำสอนมีการซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ถ้าแยกอออกมาเป็นเลเยอร์จะเข้าใจได้ง่ายมาก





การไล่ลำดับอารมณ์ลักษณะนี้แตกต่างจากการไล่ลำดับตามตำรา ตัวอย่างเช่น ญาณ 16 คุณจะพบว่ามันไม่เรียงจากหนึ่งไปสอง จากสองไปสามเสมอไปในแต่ละคน แต่มันกระโดดข้ามไปข้ามมาได้(ตามความเข้าใจของตัวเอง) มันคล้ายๆกับการเก็บหน่วยกิต เก็บตัวไหนก่อนก็ได้ เก็บหมดมันก็จบหลักสูตรอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผู้บรรลุธรรมคงเดินเตะฝุ่นกันเกลื่อนกระมัง นั่นเพราะตัวหนังสือจากตำราไม่ได้สื่อถึงปรมัตถ์แต่มันสื่อถึงชื่อเรียกปรมัตถ์ เมื่อเรารู้ชื่อเรียกก่อนเราจะจับมันไปลงกับปรมัตถ์ตัวไหนก็ได้ตามความหลงผิด

การสอนของหลวงพ่อเทียนจึงเป็นอะไรที่แปลกมาก สำหรับคนที่เรียนหนังสือมาตามระบบการศึกษาอย่างผม แม้ผมรู้ว่าเค้าพูดอะไร แต่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร มันเป็นคำพูดง่ายๆศัพท์แสงต่างๆก็คล้ายเคยได้ยินจากตำรามาบ้าง แต่ไปเปิดหาแหล่งข้อมูลอ้างอิงจากไหนไม่สามารถเจอได้เลย ถึงเจอก็ไม่ใช่เพราะมันไม่ได้เป็น แม้แต่ตัวคำสอนของท่านเองก็ไม่บอกไว้ชัดๆว่าคืออะไร เช่น ศีลปรมัตถ์ จินตญาณ ต้นกำเนิดของความคิด วิปลาส ขันธสี่สามสองหนึ่ง

ครูผู้สอนจึงเป็นตัวสำคัญอย่างมากในการเช็คระยะความเข้าใจของศิษย์ เนื่องจากไปหาคำตอบจากที่ไหนไม่ได้ ศิษย์จึงต้องหาคำตอบจากการฝึกเท่านั้น เมื่อศิษย์ถูกถามแล้วสามารถตอบคำถามได้ จึงเป็นตัวเช็คที่ใช้ได้ตัวหนึ่ง และคำตอบนี้จะเหมือนกันกับทุกคนที่ผ่านก้าวข้ามจุดนั้นๆไปแล้ว อีกทั้งคำตอบลักษณะนี้จะโกหกไม่ได้อีกด้วย นั่นเพราะว่าทันทีที่ศิษย์ทราบคำตอบ พฤติกรรมการกระทำบางอย่างของศิษย์จะเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งสังเกตกันได้ง่ายๆ ว่าตอบจากการจำคำใครมา คำตอบแบบนี้จึงไม่ใช่การรู้แต่ตอบจากการเป็น

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะเขียนไว้เพราะคิดว่าเนื้อหานั้นคาบเกี่ยวกัน คือ การใช้สังโยชน์เป็นตัววัดระดับความเป็นอริยบุคคล ผมไม่ทราบว่าสังโยชน์แต่ละขั้นมีอะไรบ้างเพราะไม่เคยจำได้ มีเพียงอันเดียวที่จำได้แม่นคือ อนาคามีละกามารมณ์ได้ เมื่อผมสังเกตคนอื่นที่ได้สนทนาเกี่ยวกับสภาวะธรรมให้ฟัง คนหลายคนเข้าใจว่า เมื่อไม่มีอาการโกรธเกิดขึ้นเลยหรือไม่มีความต้องการทางเพศเกิดขึ้นเลย เป็นระยะเวลานานจนถึงในขณะที่พูดนั้น ตนสามารถละสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว

สิ่งที่เคยเกิดกับผมและผมสามารถพูดยืนยันได้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย

การที่สิ่งที่เคยแล้วไม่เกิดอีกเลย เป็นอาการที่เรียกว่า ปีติ หรือคุณอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครมารบกวนกระทบกระทั่งคุณ สิ่งเหล่านี้จึงไม่แสดงตัวออกมา แต่ถ้ามีสิ่งที่กระทบคุณแบบจังจังหน้างานคุณจะรู้สึกถึงความพ่ายแพ้และความเข้าใจผิดของตัวเอง ต่อมาผมได้ค้นพบว่าวิธีการละของพวกนี้ที่ถูกต้องไม่ใช่การที่ของพวกนี้ไม่เกิดอีกเลย แต่เป็นการที่มันเกิดขึ้นตามปรกติแล้วเราสามารถเอาชนะมันได้ทุกครั้ง และเวลาในการเอาชนะเร็วขึ้นเรื่อยๆ อันนี้วัดกันเป็นวินาทีหรือเสี้ยววินาทีนะครับ ยกตัวอย่างเช่นการจะชนะกามได้ เราจะต้องพัวพันคลุกคลีอยู่กับมันจนเข้าใจตัวจริงของมัน แต่ไม่ใช่คลุกคลีแบบลงไปเสพมัน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นจะเอาอะไรมาฝึก และมันไม่ใช่ลักษณะของการเสพกามแบบอิ่มหมีพีมันจนเบื่อแล้วมันจะเบื่อไปทั้งชีวิต การละราคะได้แบบหมดจดชนิดที่เท้าเหยียบประตูอนาคามีไม่ใช่แบบนั้น

มีช่วงที่กามเล่นงานผมอย่างหนัก เห็นผู้หญิงไม่ได้เลยไม่ว่าใครก็ตาม ผมอยากจะวิ่งไปดูดคอเหมือนผีดูดเลือด อวัยวะเพศจะแข็งตัวทันที เปิดหนังโป๊นั่งดูไป แต่ไม่ช่วยตัวเองครับใจมันแข็งกว่าความต้องการ ตอนอยุ่คนเดียวนี่ล่ะทีอันตรายที่สุดเพราะจะเสพยังไงก็ไม่มีใครรู้ แต่มันอายครับว่าจะแพ้ตัวเอง อยากดูหนังโป๊เอ้าเปิดเลย อยากดูดูไป แต่ไม่มีการช่วยตัวเองนะบอกไว้ก่อนเลย มันฝึกอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันรู้วิธีเองว่าเราผ่านตัวนี้ได้ด้วยวิธีไหน แล้วเมื่อรู้วิธีจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของแรงขับทางเพศอีกต่อไป

เหมือนกับการที่คุณจะผ่านการรัดร้อยของขันธ์ห้า ขันธ์ห้าต้องโจมตีคุณแบบเต็มเหนี่ยวแล้วคุณสามารถทะลวงผ่านมาได้ ประสบการณ์พวกนี้มีอยู่จริงนะครับผมขอเป็นคนหนึ่งที่รับรองให้ แล้วคุณจะไม่แพ้ขันธ์ห้าอีกเลย มันไม่ใช่ว่านั่งๆนอนๆชิลๆ แล้วบอกไม่มีอะไรจะต้องทำต้องละ นี่มันเป็นคนละเรื่องกันเลยพวกนี้เจอหน้างานจอดแน่ผมมั่นใจ

การที่คุณจะผ่านตัวไหนได้ ตัวนั้นจะต้องเล่นคุณอย่างหนักหน่วงแล้วคุณสามารถชนะให้เห็นกันจะจะ ไม่ใช่เค้าไม่ได้ขึ้นสังเวียนแล้วคุณประกาศเอาเองว่าคุณชนะเพราะคู่ต่อสู้ไม่มาขึ้นชก



ขอให้วันนี้ของทุกท่านสวยงามต่อไปครับ

วิปลาส

เป็นโชคดีอีกครั้งที่ได้คุยกับพระท่านเดิม ผมนับถือเค้าเป็นอาจารย์เพราะเค้ารู้ลำดับอารมณ์ผมและกระตุ้นผมถูกจุดมาโดยตลอด เมื่อได้คุยกันคราวนี้เค้าทักว่า ระยะนี้เธอจะเห็นผิดเป็นชอบ ผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไรยังไง เค้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่เค้ายังไม่เข้าใจอาการตัวนี้ เค้าเหยียบมด ฆ่าสัตว์ แต่ไม่ใช่การพยายามฆ่า แล้วเค้าไม่มีความสนใจไม่แคร์ มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตไม่ละเอียดไม่ระวังไม่สำรวมตัว พอเค้าเอ่ยแค่นี้ผมรู้ทันที ใช่เลยมันกำลังเกิดขึ้นกับผม แต่กับผมไม่ใช่เกี่ยวกับการทำลายชีวิตสัตว์ แต่เป็นเรื่องนิสัยบางอย่างของผมเริ่มเปลี่ยนไป ผมเริ่มเก็บข้าวของไม่เป็นระเบียบ ทั้งที่เมื่อก่อนห้องจะสะอาดเรียบร้อย เวลาทำความสะอาดก็ทำให้มันจบจบไป ผมเริ่มถอดรองเท้าไม่เรียง ผมเริ่มโหลดหนังโป๊มาดูยังไงผมก็ไม่ช่วยตัวเองอยู่แล้ว ผมเริ่มฝึกบ้างไม่ฝึกบ้างเพราะยังไงมันก็รู้สึกตัวเกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว ผมเริ่มนอนหลับรวดเดียวถึงเช้าไม่ตื่นระหว่างคืนอีก

ที่ทำไปทั้งหมดนี่มีสาเหตุจากการที่สภาวะจิตมันหลุดจากการครอบงำ มันจึงจะทำหรือจะไม่ทำอะไรก็ได้ ยังไงชีวิตมันก็ไม่ทุกข์ มันเหมือนมีคำพูดในหัวตลอดว่า อะไรยังไงก็ได้ ไม่ทุกข์ร้อนกับอะไรเลย ยังไงใจก็ไม่ทุกข์ประคองกายให้สบายๆไว้

ห้องหับไม่ต้องจัดมาก ยังไงชีวิตชั้นก็อยู่ได้โดยไม่ทุกข์ เดินจงกรมจะเหยียบมดแมลงสักตัวก็ไม่เห็นเป็นอะไร ชั้นไม่ทุกข์ซะอย่าง ความรู้สึกตัวมันไม่เปลี่ยนเลยไม่ว่าจะฆ่าสัตว์หรือไม่ ตอนนี้สภาวะมันหวนกลับลงมาที่ตัวเอง มันดูแลใจตัวเองไม่ให้ทุกข์ได้แล้ว แต่ว่าผมไม่ทันได้พิจารณาถึงเลยว่า ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สภาวะแบบพระพุทธเจ้า มันเป็นสภาวะแบบพรหม เพราะมันไม่สนใจอะไรเลย มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเองโดดๆ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับใคร หิวก็กินง่วงก็นอน ชีวิตแบบนี้ไม่มีทุกข์ก็จริง แต่มันไม่มีประโยชน์กับคนอื่นหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆเลย

แต่พระพุทธเจ้าคือสิ่งที่ไปเกินจากนั้น มันเป็นต้นแบบของความดีงามทั้งปวง มันเป็นชีวิตที่มีคุณภาพต่อสิ่งอื่นๆรอบตัว ไม่ใช่ว่าเราไม่ทุกข์ก็จบภารกิจแล้วนั่นมันเห็นแก่ตัวเกินไป ตรงนี้เองที่เป็นข้อแตกต่างของอนาคามีกับอรหันต์ มันต้องมีสิ่งดีงามในทุกอิริยาบถด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ การพูดและทะลวงไปถึงการคิด

การกระทำและคำพูดยังโกหกได้ แต่ความคิดนั้นไม่มีใครรู้เลย เราจะรู้ตัวเองดีเท่านั้นว่าเรากำลังคิดดีหรือชั่ว จะทำยังไงให้ชีวิตนี้คิดแต่เรื่องเป็นกุศล บางคนบอกว่าความคิดควบคุมไม่ได้มันก็ถูก แต่สำหรับผู้ผ่านการเข้าใจต้นกำเนิดของความคิดมาแล้วจะรู้ว่ามันเป็นไปได้ เพียงแต่ต้องเอากันแบบสุดทางไปเลยเท่านั้น

หลวงพ่อเทียนบอกว่า วิปลาส ให้ทวนอารมณ์ เมื่อก่อนนี้ผมยังเข้าใจคำว่าอารมณ์ไม่แตกฉาน แต่พอมาถึงจุดนี้ผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร พอเข้าใจมันจะไปโยงกับเรื่อง ลักษณะกรรมฐานแบบสมถะ และลักษณะกรรมฐานแบบวิปัสสนา มันเข้าใจไปหมดเลยรวดเดียว มันจึงเหลือแต่การฝึกที่เป็นวิปัสสนาล้วนๆ ไม่มีสมถะอีกแล้ว

สำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านผมจะเขียนแนบเอาไว้ซักนิดว่า วิปัสสนา ในความหมายของหลวงพ่อเทียนตามที่ผมเข้าใจ และมั่นใจอย่างมากว่าไม่มีทางผิด แม้ท่านจะไม่สามารถยืนยันให้ได้เพราะจากไปแล้ว ความรู้สึกตัวล้วนๆ นั่นเองที่เป็นตัววิปัสสนา มิน่าทำไมทั้งชีวิตหลวงพ่อเทียนพูดอยู่เรื่องเดียว ให้รู้สึกตัว อะไรอะไรก็รู้สึกตัว ตัวเดียวนี่เองคือตัวอริยสัจ คือตัวสติสัมปชัญญะ คือตัวธรรม คือตัวศีลสมาธิปัญญา คือตัวบุญกุศล คือตัวมรรค คือตัวอริยบุคคล คือตัวพุทธะ ทุกอย่างมาลงรวมกันอยู่ตรงนี้เอง

มันไม่เหมือนกับคำว่าวิปัสสนาที่สำนักอื่นๆหรือตำราสอนกันที่ต้องมานั่งพิจารณาอะไร รู้แบบนั้นมันยังมีความสงสัยในสิ่งที่รู้ แต่พอมารู้วิปัสสนาแบบนี้ จบสิ้นความสงสัย ตลอดชีวิตนี้ผมจะไม่ถามใครในเรื่องนี้อีกเลย

เมื่อผมถามพระท่านนั้นว่า ทำไมเมื่อหลวงพี่บอกว่า จิตผมมันมาอยู่สูงแล้ว แต่ผมไม่รู้สึกสูงต่ำอะไรเลย และทำไมผมยังมีอาการง่วงอยู่อีก ผมไม่ทุกข์กับอาการง่วงก็จริง แต่มันไม่สดชื่น เค้าบอกว่าหลวงพี่ไม่สามารถให้คำตอบได้แล้ว เพราะตัวหลวงพี่เองหรือครูของหลวงพี่เองก็อยู่จุดเดียวกันนี่ ตัวหลวงพี่อยู่ที่ระยะนี้มาสามสี่ปีแล้ว ส่วนอาจารย์ของหลวงพี่อยู่ตรงนี้มาสิบปีแล้ว แม้แต่คำตอบจากหลวงพ่อคำเขียนต่อจุดนี้หลวงพี่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้แล้ว ว่าการจะผ่านตรงนี้ไปทำอย่างไร ถ้าเราผ่านตรงนี้ได้กลับมาบอกหลวงพี่ด้วยนะเพราะหลวงพี่ปัญญาน้อย (เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ผมได้ยินตัวเจ๋งๆพูดถ่อมตัว มันเป็นคำพูดที่ไม่มีอารมณ์ในน้ำเสียง)

ผมฟังแล้วแปลกใจมากทีเดียวที่รู้ว่า ตัวเซียนๆถูกเด็ดปีกอยู่ตรงนี้นี่เอง มิน่าหลวงพ่อเทียนถึงบอกว่าอารมณ์ตัวสุดท้ายนี่หนักที่สุด ยังโชคดีอยู่บ้างที่ผมมีคนเตือนจึงพอแก้ไขบางส่วนได้




ถ้าผ่านได้ผมจะมาเขียนต่อครับ

วิปัสสนู จินตญาณ

อุปสรรคขัดขวางการเดินทางของนักปฏิบัติ ผู้ที่กำลังติดโดยมากจะไม่รู้ ผมจะเขียนจากประสบการณ์ที่มันเกิดกับผมและที่ผมได้พบเห็น


วิปัสสนู

เป็นอาการที่มาพร้อมกับการเข้าใจธรรมเบื้องต้น เรียกรวมๆว่า รู้รูปนาม ความรู้ในช่วงนี้วนเวียนอยู่ที่ ไตรลักษณ์ สมมติ ความรู้สึกตัว (จริงๆขั้นนี้ยังไม่ใช่ความรู้สึกตัวแท้ๆ แต่เป็นความรู้สึกของอารมณ์ แต่พวกเค้าจะเรียกมันรวมๆว่าความรู้สึกตัว)จากการสังเกตคนที่ติดอยู่ตรงนี้จะมีอาการสองประเภทที่เห็นได้ชัด

แบบที่หนึ่ง พูดสอนคนอื่นในสิ่งที่รู้
แบบที่สอง พูดเล่าสภาวะตัวเองให้คนอื่นฟัง

ตอนที่มันเกิดกับผม ผมกำลังอยู่ต่างประเทศความรู้มันวนเวียนในหัวซ้ำไปซ้ำมาตลอด มันอึดอัดในใจอย่างมากเพราะอยากจะป่าวประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า ธรรมะคืออะไร เราเก่งแค่ไหน แต่ผมไม่ได้พูดธรรมให้คนอื่นฟังเลยเพราะพูดภาษายังไม่แข็ง คนที่จะฟังผมมีเพียงคุณแม่และน้องสาว แต่เค้าก็ไม่สนสิ่งที่ผมพูดซักนิดเดียว ผมเพ้อเจ้ออะไร จะไม่กราบไหว้พระ จะไม่สวดมนต์อีกต่อไป โสดาบันบ้าบออะไร ยิ่งอยากสอนคนอื่นผมยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นทุกที ในหัวมีภาพตัวเองยืนแสดงธรรมสอนชาวต่างชาติตลอด คิดหาเทคนิควิธีสอนชาวประชาอยู่ไม่ได้ขาด จะสอนจะพูดแบบไหนดีนะ แต่ในชีวิตจริงมีแต่พวกหน้าโง่เดินเหินเต็มแผ่นดิน ทำไมไม่ยอมมาฟังผมบรรยายธรรม ผมเป็นบ้าอย่างนั้นประมาณสี่ห้าดือน มันค่อยๆหลุดเรื่องการพูดการสอนคนเพราะผมไม่มีลูกศิษย์มานั่งฟังสิ่งที่ผมพล่าม ถ้ามีผมหายนะแน่

ความรู้ของวิปัสสนูไม่ใช่ความรู้ที่ผิดนะครับ มันถูกเลยล่ะเป็นความเข้าใจที่เถียงไม่ได้ คนที่ติดความรู้ตรงนี้เค้ารู้เค้าเข้าใจมันจริงๆนะครับ แต่มันติดตรงที่ มันพยายามจะสอนคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองรู้ขึ้นมา ความรู้พวกนี้ไม่ได้มาจากการอ่านตำรา หรือฟังมาจากคนอื่น มันรู้ขึ้นเองครับ เรื่องสมุทัย เรื่องปัจจุบัน เรื่องพระ เรื่องบวช เรื่องศาสนาพุทธ เรื่องสมมติ พวกนี้ล้วนรู้ขึ้นเองทั้งสิ้น และเพราะการที่มันเข้าใจขึ้นเองนี่เองที่เป็นปัญหา คือมันอยากจะประกาศธรรมช่วยเหลือผู้คน มันติดความดี อยากให้คนอื่นมารู้เหมือนเรา เข้าใจเหมือนเรา แต่คนพวกนี้จะไม่บอกวิธีฝึกเพื่อให้คนอื่นรู้ แต่จะบอกเลยว่าตัวเองรู้อะไร คนที่ศึกษาจากตำรามามากแล้วพยายามสอนคนอื่นถึงสิ่งที่ตัวเองรู้ อาการอย่างนั้นไม่ใช่วิปัสสนูครับ ความรู้ของวิปัสสนูมีลักษณะเฉพาะตรงที่ รู้ขึ้นเอง ฉีกตำรา ตรงข้ามกับความเชื่อถือของคนส่วนใหญ่ และอยากสอนคนอื่นใจจะขาด แม้ได้สอนไปแล้ว ความอยากสอนจะไม่ลดลง สามารถพูดซ้ำๆได้โดยไม่เบื่อหน่าย

คนที่ติดวิปัสสนูจะพูดวนๆซ้ำๆเรื่องเดิม แต่ถ้าจี้ลงลึกถามนอกเหนือสิ่งที่พูดจะจนแต้มตอบไม่ได้ และจะพยายามพูดวกกลับมาเรื่องที่ตัวเองรู้ ผมเองได้เห็นคนเป็นวิปัสสนูตัวเป็นๆ (นอกจากตัวเอง) ตอนที่ดร็อปเรียนกลับไปเมืองไทย คนแรกเป็นพระสูงอายุ คนที่สองเป็นภิกษุณีจากเมืองจีน

คนแรกมาถึงยืนองอาจมองหน้าผม ผมนั่งสร้างจังหวะอยู่ มาถึงชวนผมคุยทั้งๆที่ผมกำลังฝึก ผมเสียเวลาฝึกเพื่อมาฟังหมอนั่นประมาณสี่สิบห้านาที เค้าพูดไปจะร้องไห้ไป พักเดียวอารมณ์เปลี่ยนกลายเป็นโอหัง สลับไปสลับมา หมอนั่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด ผมจึงกราบสามครั้งแล้วลุกออกมา จากนั้นผมสังเกตเห็นเค้าจะพุ่งเข้าหาทุกคนไม่ว่าโยมหรือพระด้วยกัน เมื่อเค้าเริ่มต้นจะคุยกับผม ผมยิ้มชวนคุยเปลี่ยนเรื่องแล้วหลบฉากอยู่ครั้งสองครั้ง จากนั้นหมอนี่ไม่พุ่งเข้าหาผมอีกเลย

คนที่สองออกแนวหวานคงเพราะเป็นผู้หญิง เหมือนเดิมผมนั่งฝึกสร้างจังหวะอยู่แล้วมาชวนคุย คือพอคนมันจับความรู้สึกตัวได้มันจะมองกันอออกครับ เค้าพยายามพูดกับผมแต่ด้วยความที่ภาษาอังกฤษห่วยพอกันทั้งคู่ ผมจับใจความได้ว่า เค้ารู้สึกตัวชัดไปหมด จากนั้นเปิดสมุดจดบันทึกเรื่องการปฏิบัติเป็นภาษาจีนยาวเป็นหน้าๆให้ผมดู เค้าหยิบจับอะไรเป็นสติไปหมด ผมบอกว่าให้รู้สึกตัวเอาไว้ ไม่ต้องสนว่าเข้าใจอะไร เค้าเล่าอะไรต่ออะไรให้ผมฟังต่อไปที่ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมบอกซ้ำว่าให้รู้สึกตัวเอาไว้ ซักพักเค้าเริ่มยัวะบอกว่าทำไมผมไม่ฟังสิ่งที่เค้ากำลังพูด พูดขัดจังหวะอยู่นั่นล่ะ ถึงขนาดโทรหาล่ามคนไทยเพื่อแปลให้ผมเข้าใจว่าเค้าจะบอกอะไรผม ซักพักยืนอมยิ้มเล่นหูเล่นตาบิดไปมา ทำหน้าเหมือนตัวการ์ตูนเด็กอารมณ์ดี ผมคิดในใจยัยนี่เทวดาตัวตลกประทับทรง เช้าตรู่วันต่อมาคนอื่นๆนั่งฝึกรวมกันในศาลาอยู่ดีดีเค้าร้องไห้โฮออกมาดังลั่น จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง

ผมแปลกใจเหมือนกันทำไมพฤติรรมเหล่านี้ไม่เกิดกับผม ผมได้คุยกับพระที่สอนผม เค้าเล่าให้ฟังว่า วิปัสสนูจะมีปัญหาอย่างมากโดยเฉพาะเมื่อเกิดกับพระและจะแก้ยากมาก เพราะเมื่อพระที่เป็นวิปัสสนูสอนโยม โยมไม่กล้าลุกหนีต้องนั่งฟังอย่างเดียว โยมโดยส่วนใหญ่เชื่อถือและเคารพพระ จึงเข้าทางของวิปัสสนู และพระนั้นไม่ได้ใช้ชีวิตแบบฆราวาสเรื่องกระทบกระทั้งมีไม่มาก ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเองติดวิปัสสนูหรือไม่ ให้สังเกตตัวเองว่า คุณมีความคิดวนเวียนที่จะสอนคนอื่นซ้ำไปซ้ำมาหรือไม่ พูดแต่เรื่องเดิมๆหรือไม่ คนที่ติดวิปัสสนูจะไม่สอนคนอื่นตามสถานการณ์ แต่จะสอนเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้

บางคนหลุดจากวิปัสสนูแต่ก็ไปต่อไม่ได้ ผมเห็นพระติดอยู่ตรงนี้เยอะเลย และพระที่ผมพบเห็นส่วนใหญ่ในสายหลวงพ่อเทียนจะมาคาอยู่ตรงนี้ มันจะติด ญาณ ปิติ แบบต่างๆ ความเข้าใจจะมาคาอยู่ตรงเรื่องไตรลักษณ์และความว่างของใจ ตอนที่ผมไปอยู่วัดใหม่ๆพระหลายคนหมั่นไส้ผมมาก ผมเรียกพระว่าพี่ ถูกมองเป็นเด็กนอกไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ ไม่เข้าหาพระ ไม่เคยเดินไปขอคำแนะนำ ผมฝึกของผมคนเดียวไม่พูดจากับใคร ผมค่อนข้างเบื่อหน่ายกับคนพวกนี้ เพราะเค้าจะคอยพูดกระแทกอยู่เสมอว่า ผมเพ่งจ้องเกินไป ผมฝึกหนักมากเกินไป ต้องทำสบายๆแบบอาตมานี่ เหนื่อยก็หยุดพัก ผมไม่เคยฟังและแสดงออกด้วยการโหมฝึกให้หนักขึ้น สิบเดือนที่อยู่นั่นผมไม่เคยหยุดพัก กำลังไม่เคยตกมีแต่ฝึกมากขึ้นๆ พอย่างเข้าเดือนที่ห้าพวกพระเหล่านั้นคงเอือมระอาผมเต็มทนที่ไม่ฟังคำแนะนำของพวกเค้า สุดท้ายก็หยุดเตือน มีเพียงพระที่อยู่เกินจากผมไปที่มองออกและเมตตาสอนให้ เค้าเพียงตั้งข้อสงสัยว่า เธอผ่านวิปัสสนูมาได้ยังไงโดยไม่มีคนแนะนำ พอผมบอกว่าไม่มีคนฟังสิ่งที่ผมพูดเลย เค้าจึงยิ้มแล้วบอกว่าโชคดีจริงๆ

ถ้าคุณศึกษาคำสอนหลวงพ่อเทียนคุณจะพบว่า ท่านจัดเรื่องการเข้าใจไตรลักษณ์ไว้ที่ระยะเกือบต้นสุดของการเข้าใจธรรมะ คือยังอยู่ในระยะรูปนามอยู่เลย ซึ่งต่างจากครูบาอาจารย์สายอื่นๆที่จัดความเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ไว้ปลายสุด คือเมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่จีรังเที่ยงแท้เมื่อไหร่คือเห็นธรรม จิตจะปล่อยวางไม่ทุกข์ สำหรับผมนี่คือคำสอนที่เลอะเทอะที่สุดอันหนึ่ง จิตไม่มีทางปล่อยโดยตัวจิตเอง ถ้าลองสังเกตจากความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ที่สอนคนอื่นเรื่อง ไตรลักษณ์ ทำไมเมื่อมีเรื่องกระทู้เดือด ตัวผู้ที่เคยสอนคนอื่นปาวๆจึงโดดร่วมวงด้วยอารมณ์เสมอ นั่นเพราะ ไตรลักษณ์ ผ่านโทสะโมหะโลภะยังไม่ได้นั่นเอง แค่หญ้าปากคอกยังผ่านไม่ได้คำสอนแบบนี้จะไปอยู่ปลายสุดได้อย่างไร

ตอนที่ผมอยู่ในระยะการเข้าใจไตรลักษณ์ ผมรู้อยู่เต็มอกเรื่องการไม่จีรังของอารมณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้รู้อย่างนั้นเมื่อมีอารมณ์แรงๆเกิดขึ้น ผมกลับผ่านไม่ได้ ไอ้ตัว "ตั้งอยู่" นี่ล่ะปัญหา ผมเคยคิดว่าผมยังฝึกไม่ดีพอ ไม่หนักพอ ผมโหมฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับยอมหยุดเรียนเพื่อเอาเวลามาฝึก ลงทะเบียนให้น้อยที่สุดเพื่อที่ผมจะได้มีเวลาฝึกเต็มที่ มันก็ยังผ่านไม่ได้มันยังติดโทสะโมหะโลภะ ต่อให้มันตั้งอยู่แค่วูบเดียวก็เถอะ ผมแสวงหาความเพอเฟ็กท์ ที่สุดของทุกข์ต้องเพอเฟ็กท์ มันต้องไม่ใช่การมานั่งปลอบใจตัวเองว่า มันแค่ตั้งอยู่ชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ดับ ผมไม่ได้ฝึกอย่างหนักเพื่อมานั่งบอกตัวเองว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง จงทำใจยอมรับเถอะ ความไม่ทุกข์ต้องเป็นสภาวะที่ไม่ทุกข์กันจริงๆ ไม่ใช่มาโกหกตัวเอง บอกสภาวะที่มันทุกข์ว่ามันไม่ทุกข์

นี่คือข้อชี้ที่สำคัญที่สุด คนที่ติดวิปัสสนูจงถามตัวเองว่า ในเมื่อคุณรู้นั่นรู้นี้มากขนาดนี้ ทำไมคุณผ่านโทสะโมหะโลภะไม่ได้ ถ้าคุณไม่เฉลียวใจตรงนี้คุณจะผ่านวิปัสสนูไม่ได้ครับ ตราบใดที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองติดอารมณ์วิปัสสนูจะแก้ได้ยากมาก




จินตญาณ

ตัวนี้จะเกิดหลังจากเข้าใจศีลปรมัตถ์ สำหรับผมตัวนี้ไม่เท่าไหร่เพราะมีพระมาบอกใบ้ให้ เมื่อก่อนผมเคยเข้าใจว่าจินตญาณคืออาการที่ติดในญาณ มันจะสว่างทั้งตัวโล่งสบายไปหมด และผมเคยเข้าใจว่า ความสว่างโล่งโปร่งของใจคือศีลที่แท้จริง พอประสบแล้วอยากจะพบเจออีก แต่เปล่าเลยอันนั้นเป็นเพียงปิติไม่ใช่จินตญาณไม่ใช่ศีล

หลังจากที่ผมเข้าใจเรื่องศีลปรมัตถ์ ผมคิดว่าผมติดวิปัสสนูอีกรอบ เพราะความคิดวนเวียนอยู่กับความรู้ ที่พึ่งรู้ขึ้นใหม่ตลอดเวลา มันคิดซ้ำไปซ้ำมากลัวว่าจะลืม แม้ว่าจะรู้แล้วมันก็ยังคิดอยู่อย่างนั้น มันคิดไล่ลำดับอารมณ์ตั้งแต่รูปนาม ไตรลักษณ์ สมมติ คิดย้อนไปย้อนมา บวกกับธรรมะชุดใหญ่ที่ทะลักออกมายิ่งกว่าความรู้ในขั้นรูปนาม ธรรมะทะลักออกมาไม่หยุด มันหยุดคิดหยุดรู้ธรรมะไม่ได้ ผมเป็นอยู่สามวัน มันคิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้เหมือนคนบ้า วันสุดท้ายพระคนเดิมทำทีเดินมาคุยด้วยผมรู้อยู่แล้วเค้าแกล้งชวนคุยสอบอารมณ์ ผมไม่รอช้าซัดเลยว่า ศีลคือ "....." ใช่ไหมครับ เค้ายิ้มแล้วบอกว่าใช่ ปัญญาดีแฮะ ผมจึงบอกเค้าว่า ผมติดวิปัสสนูอีกรอบครับ มันกลับมาอีก ความคิดคิดทวนสิ่งที่รู้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด ผมหยุดอาการนี่ไม่ได้ แต่แปลกจากเดิมนิดหน่อยตรงที่ผมไม่ได้อยากสอนใคร เค้าทำท่าแปลกใจเดินมาจับมือผมบีบแล้วบอกว่า ดีใจด้วยนะ มาถึงครึ่งทางจนได้ เป็นพระได้ซะทีนะเรา ผมงงไม่เข้าใจ หมอนี่กำลังพูดถึงอะไร

จากนั้นเค้าตั้งคำถามผมยอะแยะ เหมือนชี้ทางให้กระรอก ให้ผมตอบคำถามที่ผมถามขึ้นเอง จนผมเข้าใจและพูดออกมาเองว่า ผมอยู่ในระยะของจินตญาณ พอผมรู้ว่าเจ้านี่คือจินตญาณ ผมติดอาการแบบนั้นอีกสองวัน แล้วไม่มีอาการอย่างนั้นอีกเลย ตัวพระท่านนั้นบอกว่าเค้าติดอาการอย่างนี้อยู่หกเดือน ตอนที่เกิดกับเค้าเค้าก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะความคิดมันจะคิดซ้ำๆอยู่นั่นในเรื่องซ้ำๆ รู้แล้วรู้อีก เค้าแปลกใจว่าทำไมผมถึงหลุดได้เร็ว แต่เมื่อผมนึกย้อนดูมันไม่ใช่ว่าผมเก่ง เพียงแต่ผมรู้ว่าผมติดผมจึงออกได้ง่าย คนที่หลุดออกมาได้ช้าเพราะเค้าไม่รู้ว่าเค้าติดอยู่

พอผมหลุดผมจึงรู้ว่าทำไมหลวงพ่อเทียนบอกว่า วิปัสสนูและจินตญาณให้แก้เหมือนกัน คือแก้ที่วิธีทำ "ให้มาอยู่กับกาย อย่าไปอยู่กับใจ"

ผมแปลกใจตรงที่ผมกระโดดไปเร็วกว่าคนอื่นมาก คงเพราะว่าวันๆผมไม่พูดคุยกับใคร ผมฝึกอย่างหนักทุกวันไม่ต่ำกว่าเก้าชั่วโมงต่อวัน เพียงสี่เดือนต่อจากนั้น ความเข้าใจก็กระโดดไปเรื่องต้นกำเนิดของความคิด ตอนนั้นผมก็มีปัญหาสับสนในความเข้าใจอีก ระหว่าง สมมติฐานของความคิด อันเป็นความรู้พื้นฐานในขั้นรูปนาม กับต้นกำเนิดของความคิด

ในระยะรูปนาม สมมติฐานของความคิด มาจากความจำมันคิดถึงสิ่งที่จำ ถ้าจำไม่ได้ก็คิดไม่ได้ ความคิดเทียบเคียงกับสิ่งที่จำได้มาปรุงเป็นสังขาร แต่พอมาถึงจุดนี้ความเข้าใจดีดตีกลับหมดสยบความรู้เดิม ผมกำลังจะนอนหลับโทรศัพท์ผมดัง พระโทรมาหมอนี่รู้ได้ยังไงถึงโทรมาถูกจังหวะแบบนี้ ผมพูดทันทีว่า ต้นกำเนิดของความคิดคือ "....." นี่ครับ ผมไม่เข้าใจเลยมันมาลงแบบนี้ได้ยังไง เค้าบอกว่า เก่งมากเลยนะมาถึงจุดนี้จนได้ ผมไม่ได้สนใจคำชมเพราะผมกำลังสับสนกับความรู้เดิม ความรู้เก่ามันขวางความรู้ใหม่เอาไว้ ผมจึงอัดคำถามอย่างเดียว เค้าจึงได้บอกว่ามันเป็นความรู้คนละขั้นกันแล้วล่ะ อีกนิดเดียวเราก็มาอยู่จุดเดียวกันแล้ว พูดไม่นานแล้วเค้าก็วางไป



เมื่อผมเข้าใจเรื่องต้นกำเนิดของความคิด ผมจึงรู้ว่าวิปัสสนูและจินตญาณเกิดมาจากอะไร มันเข้าใจจริงๆนะครับ นั่นเพราะว่าความรู้สึกตัวยังไม่เข้มแข็งพอจะตัดความคิดออกโดยตัวมันเอง คนติดจินตญาณจึงติดตัวความคิดที่คิดเกี่ยวกับธรรมะ แต่หาใช่ตัวธรรมแท้ไม่


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

เทคนิคการฝึก .... secret technique

ในทัศนะของผม ธรรมะ ที่สอนกันอยู่ในทุกวันนี้ ถ้าจัดตามลำดับอารมณ์กรรมฐานตามสายหลวงพ่อเทียน คือระดับที่อยู่ในระยะของ รูป นาม ระยะนี้สภาวะจะไปสุดตรง การเข้าสัมผัสความว่างของใจ และ ความเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ แต่จะไม่สามารถไปต่อจากจุดนี้ได้อีก ผมติดจุดนี้อยู่สี่ปี

ขั้นถัดมาจากรูปนาม คือการเข้าใจ เรื่องศีลปรมัตถ์ ถ้าเรียกตามตำราคือระยะสกิทาคามีตามความเข้าใจของผม และผมมีความเห็นจากการทบทวนตัวเอง เห็นความผิดพลาดหลายจุดหลายครั้งว่า การที่ใครซักคนจะเริ่มสอนหรือแนะนำ ธรรม ให้คนอื่น เค้าผู้นั้นควรจะผ่านการเข้าใจเรื่อง ศีลปรมัตถ์ ให้แจ่มแจ้งเสียก่อนเป็นอย่างน้อย มิฉะนั้นแล้วเราจะพาผู้ที่เดินตามเราไปตันตรงจุดที่เรากำลังหันหน้าหันหลังอยู่ หากแต่ผู้สอนจะไม่ทราบว่าทางนั้นไปต่อไม่ได้แล้ว ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า ลักษณะอย่างหนึ่งของผู้ที่ยังติดอยู่ในอารมณ์รูปนาม คือ ไม่สามารถผ่าน กาลามสูตรที่ว่า อย่าเชื่อโดยตรึกตรองตามอาการ คนเหล่านี้จะติดความคิดที่ละเอียดลงไปอีกขั้นหนึ่ง คือ เราใกล้จะถึงแล้วเราใกล้จะจบอีกไม่ไกลแล้ว เพราะสภาวะหลายๆอย่างมันแสดงตัวออกมาให้เห็นว่า นี่คือสิ่งวิเศษของมนุษย์ บวกกับการตีความเอาตามความเห็นตัวเองต่อคำพูดคำคมต่างๆที่เคยได้ยินว่ามันลงตัวเปี๊ยบเลย ระยะนี้จึงเรียกได้เลยว่า พายเรืออยู่ในอ่าง แต่ไม่หยุดพาย เพราะอ่างมันใหญ่เกินไปที่จะรู้สังเกตว่ามันพายมาที่เดิม คราวใดที่ผมนึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ผมขำปนสมน้ำหน้าตัวเองและรู้สึกผิดต่อคำพูดคำสอนตัวเอง

ระยะรูปนามก็หมือนกับ เด็กที่เรียนชั้นมัธยมที่เก่งมากซักคน พวกเค้ารู้แจ้งเห็นจริง สิ่งที่พวกเค้าพูดไม่ผิดเลย เพียงแต่มันเก่งในระดับมัธยม เมื่อไหร่ที่เค้าคนนั้นก้าวข้ามมาสู่ระยะศีลปรมัตถ์ เค้าจะเหมือนกับการเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย เค้าจะสำเนียกเองทันทีว่า เรายังอยู่อีกไกลยิ่งนัก มีสิ่งอื่นๆให้ต้องรู้รอบจบครบอีกมหาศาลเลย จากรั้วแคบๆที่มองว่าประตูอยู่ตรงไหนใกล้ๆตัวนี่เอง จะกลายเป็นไม่มีรั้วอะไรอีกแล้ว มันกว้างเกินไป มีเพียงทางที่จะรู้ได้เองว่าต้องเดินไปทางนี้ ทัศนะประเภทเราใกล้จบกิจแล้วจะถูกทำลายตรงนี้

ตอนที่ผมเข้ามาสู่ตรงนี้ มีพระมาเตือนแล้วว่า คนที่เข้าใจจุดนี้มีน้อยคนแม้แต่พระสงฆ์ในสายหลวงพ่อเทียนเองก็มีไม่มาก และเธอไม่สามารถสอนใครให้มาถึงจุดนี้ด้วยการมานั่งแจกแจงพูดคุยได้อีกแล้ว มันเป็นคนละอย่างกับระยะ รูป นาม มันเป็นความรู้คนละขั้น เมื่อกระโดดมาแล้วจะเดินกลับไม่ได้อีก แต่ด้วยความดื้อรั้นและไม่เชื่ออะไรของผม ผมไม่เชื่อว่าคนเราจะพูดจะสอนกันไม่รู้เรื่อง แต่มันพิสูจน์แล้วว่าผมพลาดจริงๆที่ไม่เชื่อคำเตือนของพระท่านนั้น ผมพูดมาตลอดปีกว่าเกี่ยวกับเรื่องศีลปรมัตถ์ ไม่มีใครเข้าใจเลยแม้แต่คนที่ตามผมมาได้ใกล้ที่สุดก็ไม่เข้าใจ

ผมนั่งหาคำตอบมาโดยตลอด ทำไมกับเรื่องง่ายๆแบบนี้ถึงไม่เข้าใจ และคำตอบที่พบไม่ใช่อะไรอื่น มันคือการไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น ผมเองไม่แปลกใจเพราะผมเองเคยเป็นมาก่อนและเป็นหนักกว่าพวกเค้าเสียอีก ผมยังพบอีกด้วยว่า การสอนที่ถูกต้องในระยะศีลปรมัตถ์ ไม่ใช่การบอกว่า ศีลปรมัตถ์คืออะไร แต่ต้องเป็นการบอกวิธีฝึกเท่านั้น ซึ่งมันจะเหมือนกับขับรถบนทางโค้งหักศอกแบบไม่ลดความเร็ว ขับมาตรงๆอยู่ดีดีต้องเลี้ยวหักขึ้นเนินชันสูงเร่งกำลังอย่างนั้นเลย (เรียกว่า drift ละมั้ง) เพราะทิศทางการฝึกจะเปลี่ยนจากการมานั่งดูใจดูจิต มาอยู่กับการเคลื่อนไหวของกายล้วนๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าความพยายามในหนึ่งปีที่ผ่านมาจะสูญค่าเสียทีเดียว เพราะเริ่มมีคนเข้าใจ แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่เค้าเคารพ เค้าก็จากมาด้วยความเคารพ เพราะรู้ว่าทางมันไปต่อไม่ได้ ทางมันสวนแนวกันอยู่ เรื่องสายการฝึกเป็นอะไรที่ขัดกันอย่างนี้เอง



ในบทความต่อจากนี้ผมจะเขียนเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆที่ผมเคยใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้นพบเองประยุกต์เอง มันอาจขัดแย้งกับคำแนะนำของอาจารย์ท่านอื่นๆในบางอย่าง ผมเคยทำตามขั้นตอนของอาจารย์ท่านต่างๆและพบว่าผมไม่สามารถทะลวงปัญหาที่ผมเจอได้ด้วยวิธีตามพวกเค้าเหล่านั้น โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าเทคนิคการฝึกนี้เป็นส่วนสำคัญมากส่วนหนึ่ง ของพวกนี้เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นเฉพาะตัว จึงอาจจะใช้ไม่ได้ผลต่อทุกคน แต่ใช้ได้ผลกับผม จึงคาดว่ามันจะช่วยทำให้ผู้ฝึกประหยัดเวลาในการลองผิดลองถูก


เทคนิคในการยกมือสร้างจังหวะ

ประการที่หนึ่ง : อย่าเร่งจังหวะให้เร็ว ให้สร้างจังหวะช้าๆแต่ไม่ใช่สโลว์โมชั่น เพราะการเคลื่อนไหวที่ช้าจะสัมผัสความรู้สึกตัวของการเคลื่อนไหวได้ชัดเจนมากกว่า

ประการที่สอง : จังหวะการยกมือสร้างจังหวะควรจะสม่ำเสมอคงที่ตลอด ไม่ใช่เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว เพราะนี่เป็นการฝึกสติ ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยหรือง่วงนอนขณะฝึกก็ตาม ต้องยกมือเป็นจังหวะสม่ำเสมอเท่าเดิมไม่แปรเปลี่ยนตามอารมณ์ความเบื่อหน่าย หรือนิวรณ์ตัวต่างๆ

ประการที่สาม : ให้เคลื่อนมือเบาๆ เมื่อคุณยกมือแต่ละตำแหน่ง ให้เคลื่อนมือในลักษณะใบไผ่ปลิวลม ให้พลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวดั่งลมอ่อน

ประการที่สี่ : ให้รู้สึกทั้งตัวไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่มือเคลื่อนอย่างเดียว กระพริบตา กลืนน้ำลาย หายใจเข้าออก มือข้างที่ยังไม่ได้เคลื่อน หัวเข่า เท้า ให้รู้สึกสังเกตสิ่งที่เคลื่อนและไม่เคลื่อนตลอดเวลา

ประการที่ห้า : เมื่อเริ่มรู้สึกว่าปวดเหมื่อยขาเหน็บกินให้เปลี่ยนท่าทันที อย่านั่งทนทรมาน ถ้านั่งขวาทับซ้ายให้เปลี่ยนเป็นซ้ายทับขวา ถ้าเหมื่อยอีกให้เปลี่ยนเป็นพับเพียบข้างซ้าย และถ้ายังเมื่อยต่อไปอีกให้เปลี่ยนเป็นพับเพียบข้างขวา ถ้าไม่รู้จะเปลี่ยนไปนั่งท่าไหนแล้วให้ลุกขึ้นเดินจงกรม



เทคนิคในการเดินจงกรม

ประการที่หนึ่ง : อย่าเดินเร็วเร่งจังหวะ เพราะมันจะสะสมจนกลายเป็นความเหนื่อยและแปรสภาพเป็นง่วง
ประการที่สอง : จังหวะควรสม่ำเสมอเพราะนี่คือการฝึกสติ
ประการที่สาม : จงรู้สึกทั้งตัวทุกส่วน อย่าเพ่งจ้องส่วนใดส่วนหนึ่ง
ประการที่สี่ : จงฝึกเดินในทุกที่ ที่มีที่ให้เดิน
ประการที่ห้า : เมื่อเดินเอามือไขว้หลังให้หมั่นกำมือ แบมือเป็นจังหวะเอาไว้
ประการที่หก : การหมุนตัวกลับควรหยุดชะงักเว้นจังหวะซักครู่จึงเริ่มเดินต่อ เพื่อให้การเดินทุกเที่ยวมีความตั้งใจรวมอยู่ด้วย
ประการที่เจ็ด : เดินสบายๆเหมือนคนปรกติเดิน อย่าเดินแบบ ยก ย่าง เหยียบบวกคำภาวนา เพราะนี่เป็นการฝึกเดินเพื่อใช้ในชีวิตปรกติของมนุษย์



และต่อไปนี้คือแก้ปัญหาในรูปแบบต่างๆ

ความอ่อนแอ ..... ให้แก้ด้วยการ ฝึกจนกว่าจะสลบ ถ้าไม่สลบอย่าหยุดฝึก (คุณจะไม่มีทางสลบ ผมไม่เคยสลบขณะฝึกซักครั้ง)
ความง่วง ..... ให้แก้ด้วยการเคลื่อนไหวเบาๆ แต่ต้องชัดเจนแนบแน่นในความเบานั้น (ง่วงเพราะอารมณ์กรรมฐาน)
ความเบื่อ ..... ให้แก้ด้วยการรู้เท่าทันความเบื่อ แล้วอย่ายอมแพ้ ให้ฝืนความเบื่อหน่าย
ความฟุ้งซ่าน ..... ให้แก้ด้วยการอย่าห้ามความคิด จงปล่อยให้คิดระยะหนึ่ง แต่ให้ไปแก้ตรงความอยากจะสงบแทน
ปวดหัว ..... ให้แก้ด้วยการคิดอะไรก็ได้ ต้องแก้ด้วยคิดดีชั่วอะไรก็ได้ปล่อยคิดสบายๆ
นอนไม่หลับ ..... ให้แก้ด้วยการไม่ต้องนอน ให้ลุกขึ้นมาฝึกต่อไป ไม่ต้องกลัวการนอนไม่พอ
วิปัสสนู ..... ให้แก้ด้วยการเน้นลงไปที่ความรู้สึกกาย (ในกรณีที่รู้ตัวว่าติด)
จินตญาณ ..... ให้แก้ด้วยการเน้นลงไปที่ความรู้สึกกายล้วนๆ (ในกรณีที่รู้ตัวว่าติด)
ราคะ ..... ให้แก้ด้วยการเห็นแจ้งในส่วนประกอบของราคะ ต้องให้ความรู้สึกกายล้วนๆแสดงตัวชัดกว่า อารมณ์กาม
กลัว ..... ให้แก้เหมือน ราคะ


คงเป็นประโยชน์กับใครได้บ้าง
ไม่สงวนสิทธิ์ในการนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข ตามสถานการณ์ครับ

ขอให้รู้สึกตัวไว้ประการเดียวเท่านั้น มันจะลงไปแก้ที่รากของทุกตัว

การเห็นแจ้ง

การรู้แจ้งเห็นจริงในความหมายที่คนส่วนใหญ่พูดกัน คือเห็นทุกอย่างไม่จีรังยั่งยืน ไม่ควรยึดถือต่อความไม่เที่ยงแท้นั้น การถือเอาสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นตัวเรานั้นคือ ต้นความทุกข์ของมนุษย์ แต่ในมุมมองของผมลักษณะการเข้าใจระดับนั้นคือ การเข้าใจโดยความคิด นั่นไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริง

ที่ผมกล่าวอย่านั้นเพราะว่า ในเมื่อคนสามารถอ่านหนังสือออก สามารถยอมรับความเป็นจริงของโลกว่ามันเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเค้าไม่สามารถแหวกกระแสของความทุกข์ออกมาได้ล่ะ คุณลองสังเกตการใช้ชีวิตของคนที่กล่าวคำพูดแบบนี้ออกมาดูเอาเอง ลองดูว่าเค้าปฏิบัติต่อโลกนี้อย่างที่ไม่ควรยึดถือจริงหรือไม่

เมื่อมาถึงจุดนี้ผมกล้าพูดแล้วว่า ศาสตร์ความรู้อื่นๆนั้น เราเรียนเพื่อที่จะให้รู้ก่อนจากนั้นเราจึงบอกต่อมาว่าเราเป็น ในขณะที่การศึกษาธรรมต่างตรงที่ มันคือการเป็น เราต้องเป็นก่อน จากนั้นเราจึงเห็นในสิ่งที่เป็น เมื่อเห็นในสิ่งที่เป็นเราจึงรู้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในระดับการพัฒนาตนเองในช่วงไหนก็ตาม คุณต้องเห็นของจริงจากสิ่งที่คุณกำลังเป็น ไม่ใช่การทำมันให้เป็นจากความรู้ที่คุณมี

เมื่อใครซักคนรู้ธรรมะมาจากตำราหรือพวกเค้าฟังมาจากครูบาอาจารย์ พวกเค้าก็จะพยายามบอกตัวเองหรือทำตัวเองให้เข้าใจว่า สิ่งทั้งปวงนั้นยึดถือไม่ได้ พวกเค้าไม่ได้เห็นความจริงของตัวเองที่กำลังเป็นอยู่ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม คนที่พูดว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดถือ แต่กลับยึดถือต่อตัวบุคคล ยึดถือต่อความรู้ที่ได้อ่านได้ฟังมา เราสอนคนอื่นว่าอย่ายึดถือสิ่งใดในขณะที่เรากลับยึดถือสิ่งที่เราสอนเสียเอง

ซึ่งมันต่างจากการพูดออกมาจากสิ่งที่เป็น เพราะคนที่พูดจากสิ่งที่เป็นจะพูดจากสิ่งที่ปรากฏต่อตัวเค้าและไม่ถกเถียงกับผู้ใด และโดยมากเค้ามักจะพูดเมื่อถูกถามเท่านั้น ตรงนี้ท่านทั้งหลายต้องอ่านดีดีนะครับมันมีความละเอียดซ่อนอยู่ กาลามสูตรกล่าวว่า อย่าเชื่อตรึกตรองตามอาการ ถูกต้องทีเดียวเพราะแม้แต่สิ่งที่เป็นก็เชื่อถือไม่ได้ที่มันเชื่อไม่ได้เพราะ สิ่งที่ทำให้เชื่อหรือไม่เชื่อคือ ตัวความคิด ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้คุณจะหลุดจากวิปัสสนูหรือแม้กระทั่งจินตญาณ

เมื่อมีอาการหรือสภาวะธรรมใดปรากฏขึ้น สิ่งที่ทำงานควบคู่อย่างละเอียดติดตามสภาวะอยู่เสมอ คือ ความคิด เราจะเข้าไปอยู่ในความคิดที่ละเอียดกว่า ความคิดจะสั้นและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ มันหมายความว่า เมื่อมีสภาวะอะไรซักอย่างเกิดกับคุณ ความคิดที่ละเอียดกว่าสภาวะนั้นๆจะบอกคุณอย่างรวดเร็ว มันจะหลอกคุณ ว่าคุณกำลังรู้หรือกำลังเป็นอะไร

ทริคหนึ่งที่ผมจับได้ก็คือ ความรู้สึกตัวล้วนๆนั้นไม่มีคำอธิบาย เมื่อคุณเข้าไปปะทะอยู่กับมัน คุณจะพูดอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้เลย ไม่มีคำคำไหนที่จะบอกได้ว่า คุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่ทั้งๆที่มันชัดเจนอยู่ทั้งตัว ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เพราะว่ามันไร้การปรุงแต่ง มันเข้าไปถึงสภาพที่ไร้การแต้มสี มันจึงเหลือแต่ความไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกตัวล้วนๆเอง

มันต่างจากความรู้สึกประเภทโกรธ เมื่อความรู้สึกโกรธเกิดขึ้นใครใครก็รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าโกรธ หรือง่วง ซึม เหม่อ กำหนัด ความรู้สึกแบบนี้เจ้าของความรู้สึกจะรู้เองว่า ตัวเองกำลังเป็นอะไรและตอบสนองไปตามความรู้สึกนั้น แต่ความรู้สึกตัวล้วนๆไม่ใช่ เมื่อเข้าไปสัมผัสมัน จะไม่รู้อะไรเลยทำอะไรตอบโต้ไม่ได้เลย เพียงปล่อยให้มันเป็นไปอย่านั้นเพราะไม่รู้จะต้องไปตอบสนองอะไรมัน มันจึงเป็นสภาวะที่อธิบายด้วยสมมติตลกๆว่า รู้แต่ไม่รู้อะไร เป็นแต่ไม่ได้เป็นอะไร

ความรู้สึกตัวล้วนๆนั้นก็อยู่ในความรู้สึกตัวทุกประเภทนั่นเอง เพียงแต่มันแสดงตัวไม่ได้เพราะความคิดมันคอยบดบังล่อหลอกเอาไว้ แทนที่จะเข้าไปถึงความล้วน แต่เรามักถูกสกัดดาวรุ่งให้อยู่แค่การแปลค่าความล้วนมาเป็นความรู้ เมื่อคุณรู้ว่าคุณกำลังเป็นอะไรอยู่ นั่นไม่ใช่ความรู้สึกตัวล้วนๆแล้ว การเห็นแจ้งก็คือ เห็นความรู้สึกตัวที่เป็นโดยไม่มีความคิดกำกับ เห็นตัวเองอย่างที่มันเป็นโดยธรรมชาติแท้ของมันจริงๆ ให้มันแจ้งชัดเจนอยู่เสมอ การสอนของพวกนี้จึงไม่ใช่การมานั่งอธิบายสภาวะว่ามันเป็นอัตตาหรืออนัตตา มันไปพ้นจากการแบ่งเป็นสองข้าง มันก็ไม่เชิงว่าตั้งอยู่ตรงกลางเพียงแต่สมมติขยับเข้าไปใกล้มันมากกว่าเมื่ออธิบายในมุมนั้น มันพูดไม่ได้ใส่ความเห็นปรุงแต่งต่อสิ่งนี้ไม่ได้ การสอนของพวกนี้ตามที่ผมเข้าใจจึงเป็นการบอกวิธีที่ถูกต้องในการเข้ามาเจอ



ขอให้รู้สึกตัวเอาไว้ครับ