การรู้แจ้งเห็นจริงในความหมายที่คนส่วนใหญ่พูดกัน คือเห็นทุกอย่างไม่จีรังยั่งยืน ไม่ควรยึดถือต่อความไม่เที่ยงแท้นั้น การถือเอาสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นตัวเรานั้นคือ ต้นความทุกข์ของมนุษย์ แต่ในมุมมองของผมลักษณะการเข้าใจระดับนั้นคือ การเข้าใจโดยความคิด นั่นไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริง
ที่ผมกล่าวอย่านั้นเพราะว่า ในเมื่อคนสามารถอ่านหนังสือออก สามารถยอมรับความเป็นจริงของโลกว่ามันเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเค้าไม่สามารถแหวกกระแสของความทุกข์ออกมาได้ล่ะ คุณลองสังเกตการใช้ชีวิตของคนที่กล่าวคำพูดแบบนี้ออกมาดูเอาเอง ลองดูว่าเค้าปฏิบัติต่อโลกนี้อย่างที่ไม่ควรยึดถือจริงหรือไม่
เมื่อมาถึงจุดนี้ผมกล้าพูดแล้วว่า ศาสตร์ความรู้อื่นๆนั้น เราเรียนเพื่อที่จะให้รู้ก่อนจากนั้นเราจึงบอกต่อมาว่าเราเป็น ในขณะที่การศึกษาธรรมต่างตรงที่ มันคือการเป็น เราต้องเป็นก่อน จากนั้นเราจึงเห็นในสิ่งที่เป็น เมื่อเห็นในสิ่งที่เป็นเราจึงรู้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในระดับการพัฒนาตนเองในช่วงไหนก็ตาม คุณต้องเห็นของจริงจากสิ่งที่คุณกำลังเป็น ไม่ใช่การทำมันให้เป็นจากความรู้ที่คุณมี
เมื่อใครซักคนรู้ธรรมะมาจากตำราหรือพวกเค้าฟังมาจากครูบาอาจารย์ พวกเค้าก็จะพยายามบอกตัวเองหรือทำตัวเองให้เข้าใจว่า สิ่งทั้งปวงนั้นยึดถือไม่ได้ พวกเค้าไม่ได้เห็นความจริงของตัวเองที่กำลังเป็นอยู่ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม คนที่พูดว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดถือ แต่กลับยึดถือต่อตัวบุคคล ยึดถือต่อความรู้ที่ได้อ่านได้ฟังมา เราสอนคนอื่นว่าอย่ายึดถือสิ่งใดในขณะที่เรากลับยึดถือสิ่งที่เราสอนเสียเอง
ซึ่งมันต่างจากการพูดออกมาจากสิ่งที่เป็น เพราะคนที่พูดจากสิ่งที่เป็นจะพูดจากสิ่งที่ปรากฏต่อตัวเค้าและไม่ถกเถียงกับผู้ใด และโดยมากเค้ามักจะพูดเมื่อถูกถามเท่านั้น ตรงนี้ท่านทั้งหลายต้องอ่านดีดีนะครับมันมีความละเอียดซ่อนอยู่ กาลามสูตรกล่าวว่า อย่าเชื่อตรึกตรองตามอาการ ถูกต้องทีเดียวเพราะแม้แต่สิ่งที่เป็นก็เชื่อถือไม่ได้ที่มันเชื่อไม่ได้เพราะ สิ่งที่ทำให้เชื่อหรือไม่เชื่อคือ ตัวความคิด ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้คุณจะหลุดจากวิปัสสนูหรือแม้กระทั่งจินตญาณ
เมื่อมีอาการหรือสภาวะธรรมใดปรากฏขึ้น สิ่งที่ทำงานควบคู่อย่างละเอียดติดตามสภาวะอยู่เสมอ คือ ความคิด เราจะเข้าไปอยู่ในความคิดที่ละเอียดกว่า ความคิดจะสั้นและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ มันหมายความว่า เมื่อมีสภาวะอะไรซักอย่างเกิดกับคุณ ความคิดที่ละเอียดกว่าสภาวะนั้นๆจะบอกคุณอย่างรวดเร็ว มันจะหลอกคุณ ว่าคุณกำลังรู้หรือกำลังเป็นอะไร
ทริคหนึ่งที่ผมจับได้ก็คือ ความรู้สึกตัวล้วนๆนั้นไม่มีคำอธิบาย เมื่อคุณเข้าไปปะทะอยู่กับมัน คุณจะพูดอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้เลย ไม่มีคำคำไหนที่จะบอกได้ว่า คุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่ทั้งๆที่มันชัดเจนอยู่ทั้งตัว ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เพราะว่ามันไร้การปรุงแต่ง มันเข้าไปถึงสภาพที่ไร้การแต้มสี มันจึงเหลือแต่ความไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกตัวล้วนๆเอง
มันต่างจากความรู้สึกประเภทโกรธ เมื่อความรู้สึกโกรธเกิดขึ้นใครใครก็รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าโกรธ หรือง่วง ซึม เหม่อ กำหนัด ความรู้สึกแบบนี้เจ้าของความรู้สึกจะรู้เองว่า ตัวเองกำลังเป็นอะไรและตอบสนองไปตามความรู้สึกนั้น แต่ความรู้สึกตัวล้วนๆไม่ใช่ เมื่อเข้าไปสัมผัสมัน จะไม่รู้อะไรเลยทำอะไรตอบโต้ไม่ได้เลย เพียงปล่อยให้มันเป็นไปอย่านั้นเพราะไม่รู้จะต้องไปตอบสนองอะไรมัน มันจึงเป็นสภาวะที่อธิบายด้วยสมมติตลกๆว่า รู้แต่ไม่รู้อะไร เป็นแต่ไม่ได้เป็นอะไร
ความรู้สึกตัวล้วนๆนั้นก็อยู่ในความรู้สึกตัวทุกประเภทนั่นเอง เพียงแต่มันแสดงตัวไม่ได้เพราะความคิดมันคอยบดบังล่อหลอกเอาไว้ แทนที่จะเข้าไปถึงความล้วน แต่เรามักถูกสกัดดาวรุ่งให้อยู่แค่การแปลค่าความล้วนมาเป็นความรู้ เมื่อคุณรู้ว่าคุณกำลังเป็นอะไรอยู่ นั่นไม่ใช่ความรู้สึกตัวล้วนๆแล้ว การเห็นแจ้งก็คือ เห็นความรู้สึกตัวที่เป็นโดยไม่มีความคิดกำกับ เห็นตัวเองอย่างที่มันเป็นโดยธรรมชาติแท้ของมันจริงๆ ให้มันแจ้งชัดเจนอยู่เสมอ การสอนของพวกนี้จึงไม่ใช่การมานั่งอธิบายสภาวะว่ามันเป็นอัตตาหรืออนัตตา มันไปพ้นจากการแบ่งเป็นสองข้าง มันก็ไม่เชิงว่าตั้งอยู่ตรงกลางเพียงแต่สมมติขยับเข้าไปใกล้มันมากกว่าเมื่ออธิบายในมุมนั้น มันพูดไม่ได้ใส่ความเห็นปรุงแต่งต่อสิ่งนี้ไม่ได้ การสอนของพวกนี้ตามที่ผมเข้าใจจึงเป็นการบอกวิธีที่ถูกต้องในการเข้ามาเจอ
ขอให้รู้สึกตัวเอาไว้ครับ