โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

วิปัสสนู จินตญาณ

อุปสรรคขัดขวางการเดินทางของนักปฏิบัติ ผู้ที่กำลังติดโดยมากจะไม่รู้ ผมจะเขียนจากประสบการณ์ที่มันเกิดกับผมและที่ผมได้พบเห็น


วิปัสสนู

เป็นอาการที่มาพร้อมกับการเข้าใจธรรมเบื้องต้น เรียกรวมๆว่า รู้รูปนาม ความรู้ในช่วงนี้วนเวียนอยู่ที่ ไตรลักษณ์ สมมติ ความรู้สึกตัว (จริงๆขั้นนี้ยังไม่ใช่ความรู้สึกตัวแท้ๆ แต่เป็นความรู้สึกของอารมณ์ แต่พวกเค้าจะเรียกมันรวมๆว่าความรู้สึกตัว)จากการสังเกตคนที่ติดอยู่ตรงนี้จะมีอาการสองประเภทที่เห็นได้ชัด

แบบที่หนึ่ง พูดสอนคนอื่นในสิ่งที่รู้
แบบที่สอง พูดเล่าสภาวะตัวเองให้คนอื่นฟัง

ตอนที่มันเกิดกับผม ผมกำลังอยู่ต่างประเทศความรู้มันวนเวียนในหัวซ้ำไปซ้ำมาตลอด มันอึดอัดในใจอย่างมากเพราะอยากจะป่าวประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า ธรรมะคืออะไร เราเก่งแค่ไหน แต่ผมไม่ได้พูดธรรมให้คนอื่นฟังเลยเพราะพูดภาษายังไม่แข็ง คนที่จะฟังผมมีเพียงคุณแม่และน้องสาว แต่เค้าก็ไม่สนสิ่งที่ผมพูดซักนิดเดียว ผมเพ้อเจ้ออะไร จะไม่กราบไหว้พระ จะไม่สวดมนต์อีกต่อไป โสดาบันบ้าบออะไร ยิ่งอยากสอนคนอื่นผมยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นทุกที ในหัวมีภาพตัวเองยืนแสดงธรรมสอนชาวต่างชาติตลอด คิดหาเทคนิควิธีสอนชาวประชาอยู่ไม่ได้ขาด จะสอนจะพูดแบบไหนดีนะ แต่ในชีวิตจริงมีแต่พวกหน้าโง่เดินเหินเต็มแผ่นดิน ทำไมไม่ยอมมาฟังผมบรรยายธรรม ผมเป็นบ้าอย่างนั้นประมาณสี่ห้าดือน มันค่อยๆหลุดเรื่องการพูดการสอนคนเพราะผมไม่มีลูกศิษย์มานั่งฟังสิ่งที่ผมพล่าม ถ้ามีผมหายนะแน่

ความรู้ของวิปัสสนูไม่ใช่ความรู้ที่ผิดนะครับ มันถูกเลยล่ะเป็นความเข้าใจที่เถียงไม่ได้ คนที่ติดความรู้ตรงนี้เค้ารู้เค้าเข้าใจมันจริงๆนะครับ แต่มันติดตรงที่ มันพยายามจะสอนคนอื่นในสิ่งที่ตัวเองรู้ขึ้นมา ความรู้พวกนี้ไม่ได้มาจากการอ่านตำรา หรือฟังมาจากคนอื่น มันรู้ขึ้นเองครับ เรื่องสมุทัย เรื่องปัจจุบัน เรื่องพระ เรื่องบวช เรื่องศาสนาพุทธ เรื่องสมมติ พวกนี้ล้วนรู้ขึ้นเองทั้งสิ้น และเพราะการที่มันเข้าใจขึ้นเองนี่เองที่เป็นปัญหา คือมันอยากจะประกาศธรรมช่วยเหลือผู้คน มันติดความดี อยากให้คนอื่นมารู้เหมือนเรา เข้าใจเหมือนเรา แต่คนพวกนี้จะไม่บอกวิธีฝึกเพื่อให้คนอื่นรู้ แต่จะบอกเลยว่าตัวเองรู้อะไร คนที่ศึกษาจากตำรามามากแล้วพยายามสอนคนอื่นถึงสิ่งที่ตัวเองรู้ อาการอย่างนั้นไม่ใช่วิปัสสนูครับ ความรู้ของวิปัสสนูมีลักษณะเฉพาะตรงที่ รู้ขึ้นเอง ฉีกตำรา ตรงข้ามกับความเชื่อถือของคนส่วนใหญ่ และอยากสอนคนอื่นใจจะขาด แม้ได้สอนไปแล้ว ความอยากสอนจะไม่ลดลง สามารถพูดซ้ำๆได้โดยไม่เบื่อหน่าย

คนที่ติดวิปัสสนูจะพูดวนๆซ้ำๆเรื่องเดิม แต่ถ้าจี้ลงลึกถามนอกเหนือสิ่งที่พูดจะจนแต้มตอบไม่ได้ และจะพยายามพูดวกกลับมาเรื่องที่ตัวเองรู้ ผมเองได้เห็นคนเป็นวิปัสสนูตัวเป็นๆ (นอกจากตัวเอง) ตอนที่ดร็อปเรียนกลับไปเมืองไทย คนแรกเป็นพระสูงอายุ คนที่สองเป็นภิกษุณีจากเมืองจีน

คนแรกมาถึงยืนองอาจมองหน้าผม ผมนั่งสร้างจังหวะอยู่ มาถึงชวนผมคุยทั้งๆที่ผมกำลังฝึก ผมเสียเวลาฝึกเพื่อมาฟังหมอนั่นประมาณสี่สิบห้านาที เค้าพูดไปจะร้องไห้ไป พักเดียวอารมณ์เปลี่ยนกลายเป็นโอหัง สลับไปสลับมา หมอนั่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด ผมจึงกราบสามครั้งแล้วลุกออกมา จากนั้นผมสังเกตเห็นเค้าจะพุ่งเข้าหาทุกคนไม่ว่าโยมหรือพระด้วยกัน เมื่อเค้าเริ่มต้นจะคุยกับผม ผมยิ้มชวนคุยเปลี่ยนเรื่องแล้วหลบฉากอยู่ครั้งสองครั้ง จากนั้นหมอนี่ไม่พุ่งเข้าหาผมอีกเลย

คนที่สองออกแนวหวานคงเพราะเป็นผู้หญิง เหมือนเดิมผมนั่งฝึกสร้างจังหวะอยู่แล้วมาชวนคุย คือพอคนมันจับความรู้สึกตัวได้มันจะมองกันอออกครับ เค้าพยายามพูดกับผมแต่ด้วยความที่ภาษาอังกฤษห่วยพอกันทั้งคู่ ผมจับใจความได้ว่า เค้ารู้สึกตัวชัดไปหมด จากนั้นเปิดสมุดจดบันทึกเรื่องการปฏิบัติเป็นภาษาจีนยาวเป็นหน้าๆให้ผมดู เค้าหยิบจับอะไรเป็นสติไปหมด ผมบอกว่าให้รู้สึกตัวเอาไว้ ไม่ต้องสนว่าเข้าใจอะไร เค้าเล่าอะไรต่ออะไรให้ผมฟังต่อไปที่ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมบอกซ้ำว่าให้รู้สึกตัวเอาไว้ ซักพักเค้าเริ่มยัวะบอกว่าทำไมผมไม่ฟังสิ่งที่เค้ากำลังพูด พูดขัดจังหวะอยู่นั่นล่ะ ถึงขนาดโทรหาล่ามคนไทยเพื่อแปลให้ผมเข้าใจว่าเค้าจะบอกอะไรผม ซักพักยืนอมยิ้มเล่นหูเล่นตาบิดไปมา ทำหน้าเหมือนตัวการ์ตูนเด็กอารมณ์ดี ผมคิดในใจยัยนี่เทวดาตัวตลกประทับทรง เช้าตรู่วันต่อมาคนอื่นๆนั่งฝึกรวมกันในศาลาอยู่ดีดีเค้าร้องไห้โฮออกมาดังลั่น จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง

ผมแปลกใจเหมือนกันทำไมพฤติรรมเหล่านี้ไม่เกิดกับผม ผมได้คุยกับพระที่สอนผม เค้าเล่าให้ฟังว่า วิปัสสนูจะมีปัญหาอย่างมากโดยเฉพาะเมื่อเกิดกับพระและจะแก้ยากมาก เพราะเมื่อพระที่เป็นวิปัสสนูสอนโยม โยมไม่กล้าลุกหนีต้องนั่งฟังอย่างเดียว โยมโดยส่วนใหญ่เชื่อถือและเคารพพระ จึงเข้าทางของวิปัสสนู และพระนั้นไม่ได้ใช้ชีวิตแบบฆราวาสเรื่องกระทบกระทั้งมีไม่มาก ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเองติดวิปัสสนูหรือไม่ ให้สังเกตตัวเองว่า คุณมีความคิดวนเวียนที่จะสอนคนอื่นซ้ำไปซ้ำมาหรือไม่ พูดแต่เรื่องเดิมๆหรือไม่ คนที่ติดวิปัสสนูจะไม่สอนคนอื่นตามสถานการณ์ แต่จะสอนเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้

บางคนหลุดจากวิปัสสนูแต่ก็ไปต่อไม่ได้ ผมเห็นพระติดอยู่ตรงนี้เยอะเลย และพระที่ผมพบเห็นส่วนใหญ่ในสายหลวงพ่อเทียนจะมาคาอยู่ตรงนี้ มันจะติด ญาณ ปิติ แบบต่างๆ ความเข้าใจจะมาคาอยู่ตรงเรื่องไตรลักษณ์และความว่างของใจ ตอนที่ผมไปอยู่วัดใหม่ๆพระหลายคนหมั่นไส้ผมมาก ผมเรียกพระว่าพี่ ถูกมองเป็นเด็กนอกไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ ไม่เข้าหาพระ ไม่เคยเดินไปขอคำแนะนำ ผมฝึกของผมคนเดียวไม่พูดจากับใคร ผมค่อนข้างเบื่อหน่ายกับคนพวกนี้ เพราะเค้าจะคอยพูดกระแทกอยู่เสมอว่า ผมเพ่งจ้องเกินไป ผมฝึกหนักมากเกินไป ต้องทำสบายๆแบบอาตมานี่ เหนื่อยก็หยุดพัก ผมไม่เคยฟังและแสดงออกด้วยการโหมฝึกให้หนักขึ้น สิบเดือนที่อยู่นั่นผมไม่เคยหยุดพัก กำลังไม่เคยตกมีแต่ฝึกมากขึ้นๆ พอย่างเข้าเดือนที่ห้าพวกพระเหล่านั้นคงเอือมระอาผมเต็มทนที่ไม่ฟังคำแนะนำของพวกเค้า สุดท้ายก็หยุดเตือน มีเพียงพระที่อยู่เกินจากผมไปที่มองออกและเมตตาสอนให้ เค้าเพียงตั้งข้อสงสัยว่า เธอผ่านวิปัสสนูมาได้ยังไงโดยไม่มีคนแนะนำ พอผมบอกว่าไม่มีคนฟังสิ่งที่ผมพูดเลย เค้าจึงยิ้มแล้วบอกว่าโชคดีจริงๆ

ถ้าคุณศึกษาคำสอนหลวงพ่อเทียนคุณจะพบว่า ท่านจัดเรื่องการเข้าใจไตรลักษณ์ไว้ที่ระยะเกือบต้นสุดของการเข้าใจธรรมะ คือยังอยู่ในระยะรูปนามอยู่เลย ซึ่งต่างจากครูบาอาจารย์สายอื่นๆที่จัดความเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ไว้ปลายสุด คือเมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่จีรังเที่ยงแท้เมื่อไหร่คือเห็นธรรม จิตจะปล่อยวางไม่ทุกข์ สำหรับผมนี่คือคำสอนที่เลอะเทอะที่สุดอันหนึ่ง จิตไม่มีทางปล่อยโดยตัวจิตเอง ถ้าลองสังเกตจากความเป็นจริงคนส่วนใหญ่ที่สอนคนอื่นเรื่อง ไตรลักษณ์ ทำไมเมื่อมีเรื่องกระทู้เดือด ตัวผู้ที่เคยสอนคนอื่นปาวๆจึงโดดร่วมวงด้วยอารมณ์เสมอ นั่นเพราะ ไตรลักษณ์ ผ่านโทสะโมหะโลภะยังไม่ได้นั่นเอง แค่หญ้าปากคอกยังผ่านไม่ได้คำสอนแบบนี้จะไปอยู่ปลายสุดได้อย่างไร

ตอนที่ผมอยู่ในระยะการเข้าใจไตรลักษณ์ ผมรู้อยู่เต็มอกเรื่องการไม่จีรังของอารมณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้รู้อย่างนั้นเมื่อมีอารมณ์แรงๆเกิดขึ้น ผมกลับผ่านไม่ได้ ไอ้ตัว "ตั้งอยู่" นี่ล่ะปัญหา ผมเคยคิดว่าผมยังฝึกไม่ดีพอ ไม่หนักพอ ผมโหมฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับยอมหยุดเรียนเพื่อเอาเวลามาฝึก ลงทะเบียนให้น้อยที่สุดเพื่อที่ผมจะได้มีเวลาฝึกเต็มที่ มันก็ยังผ่านไม่ได้มันยังติดโทสะโมหะโลภะ ต่อให้มันตั้งอยู่แค่วูบเดียวก็เถอะ ผมแสวงหาความเพอเฟ็กท์ ที่สุดของทุกข์ต้องเพอเฟ็กท์ มันต้องไม่ใช่การมานั่งปลอบใจตัวเองว่า มันแค่ตั้งอยู่ชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ดับ ผมไม่ได้ฝึกอย่างหนักเพื่อมานั่งบอกตัวเองว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง จงทำใจยอมรับเถอะ ความไม่ทุกข์ต้องเป็นสภาวะที่ไม่ทุกข์กันจริงๆ ไม่ใช่มาโกหกตัวเอง บอกสภาวะที่มันทุกข์ว่ามันไม่ทุกข์

นี่คือข้อชี้ที่สำคัญที่สุด คนที่ติดวิปัสสนูจงถามตัวเองว่า ในเมื่อคุณรู้นั่นรู้นี้มากขนาดนี้ ทำไมคุณผ่านโทสะโมหะโลภะไม่ได้ ถ้าคุณไม่เฉลียวใจตรงนี้คุณจะผ่านวิปัสสนูไม่ได้ครับ ตราบใดที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองติดอารมณ์วิปัสสนูจะแก้ได้ยากมาก




จินตญาณ

ตัวนี้จะเกิดหลังจากเข้าใจศีลปรมัตถ์ สำหรับผมตัวนี้ไม่เท่าไหร่เพราะมีพระมาบอกใบ้ให้ เมื่อก่อนผมเคยเข้าใจว่าจินตญาณคืออาการที่ติดในญาณ มันจะสว่างทั้งตัวโล่งสบายไปหมด และผมเคยเข้าใจว่า ความสว่างโล่งโปร่งของใจคือศีลที่แท้จริง พอประสบแล้วอยากจะพบเจออีก แต่เปล่าเลยอันนั้นเป็นเพียงปิติไม่ใช่จินตญาณไม่ใช่ศีล

หลังจากที่ผมเข้าใจเรื่องศีลปรมัตถ์ ผมคิดว่าผมติดวิปัสสนูอีกรอบ เพราะความคิดวนเวียนอยู่กับความรู้ ที่พึ่งรู้ขึ้นใหม่ตลอดเวลา มันคิดซ้ำไปซ้ำมากลัวว่าจะลืม แม้ว่าจะรู้แล้วมันก็ยังคิดอยู่อย่างนั้น มันคิดไล่ลำดับอารมณ์ตั้งแต่รูปนาม ไตรลักษณ์ สมมติ คิดย้อนไปย้อนมา บวกกับธรรมะชุดใหญ่ที่ทะลักออกมายิ่งกว่าความรู้ในขั้นรูปนาม ธรรมะทะลักออกมาไม่หยุด มันหยุดคิดหยุดรู้ธรรมะไม่ได้ ผมเป็นอยู่สามวัน มันคิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้เหมือนคนบ้า วันสุดท้ายพระคนเดิมทำทีเดินมาคุยด้วยผมรู้อยู่แล้วเค้าแกล้งชวนคุยสอบอารมณ์ ผมไม่รอช้าซัดเลยว่า ศีลคือ "....." ใช่ไหมครับ เค้ายิ้มแล้วบอกว่าใช่ ปัญญาดีแฮะ ผมจึงบอกเค้าว่า ผมติดวิปัสสนูอีกรอบครับ มันกลับมาอีก ความคิดคิดทวนสิ่งที่รู้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด ผมหยุดอาการนี่ไม่ได้ แต่แปลกจากเดิมนิดหน่อยตรงที่ผมไม่ได้อยากสอนใคร เค้าทำท่าแปลกใจเดินมาจับมือผมบีบแล้วบอกว่า ดีใจด้วยนะ มาถึงครึ่งทางจนได้ เป็นพระได้ซะทีนะเรา ผมงงไม่เข้าใจ หมอนี่กำลังพูดถึงอะไร

จากนั้นเค้าตั้งคำถามผมยอะแยะ เหมือนชี้ทางให้กระรอก ให้ผมตอบคำถามที่ผมถามขึ้นเอง จนผมเข้าใจและพูดออกมาเองว่า ผมอยู่ในระยะของจินตญาณ พอผมรู้ว่าเจ้านี่คือจินตญาณ ผมติดอาการแบบนั้นอีกสองวัน แล้วไม่มีอาการอย่างนั้นอีกเลย ตัวพระท่านนั้นบอกว่าเค้าติดอาการอย่างนี้อยู่หกเดือน ตอนที่เกิดกับเค้าเค้าก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะความคิดมันจะคิดซ้ำๆอยู่นั่นในเรื่องซ้ำๆ รู้แล้วรู้อีก เค้าแปลกใจว่าทำไมผมถึงหลุดได้เร็ว แต่เมื่อผมนึกย้อนดูมันไม่ใช่ว่าผมเก่ง เพียงแต่ผมรู้ว่าผมติดผมจึงออกได้ง่าย คนที่หลุดออกมาได้ช้าเพราะเค้าไม่รู้ว่าเค้าติดอยู่

พอผมหลุดผมจึงรู้ว่าทำไมหลวงพ่อเทียนบอกว่า วิปัสสนูและจินตญาณให้แก้เหมือนกัน คือแก้ที่วิธีทำ "ให้มาอยู่กับกาย อย่าไปอยู่กับใจ"

ผมแปลกใจตรงที่ผมกระโดดไปเร็วกว่าคนอื่นมาก คงเพราะว่าวันๆผมไม่พูดคุยกับใคร ผมฝึกอย่างหนักทุกวันไม่ต่ำกว่าเก้าชั่วโมงต่อวัน เพียงสี่เดือนต่อจากนั้น ความเข้าใจก็กระโดดไปเรื่องต้นกำเนิดของความคิด ตอนนั้นผมก็มีปัญหาสับสนในความเข้าใจอีก ระหว่าง สมมติฐานของความคิด อันเป็นความรู้พื้นฐานในขั้นรูปนาม กับต้นกำเนิดของความคิด

ในระยะรูปนาม สมมติฐานของความคิด มาจากความจำมันคิดถึงสิ่งที่จำ ถ้าจำไม่ได้ก็คิดไม่ได้ ความคิดเทียบเคียงกับสิ่งที่จำได้มาปรุงเป็นสังขาร แต่พอมาถึงจุดนี้ความเข้าใจดีดตีกลับหมดสยบความรู้เดิม ผมกำลังจะนอนหลับโทรศัพท์ผมดัง พระโทรมาหมอนี่รู้ได้ยังไงถึงโทรมาถูกจังหวะแบบนี้ ผมพูดทันทีว่า ต้นกำเนิดของความคิดคือ "....." นี่ครับ ผมไม่เข้าใจเลยมันมาลงแบบนี้ได้ยังไง เค้าบอกว่า เก่งมากเลยนะมาถึงจุดนี้จนได้ ผมไม่ได้สนใจคำชมเพราะผมกำลังสับสนกับความรู้เดิม ความรู้เก่ามันขวางความรู้ใหม่เอาไว้ ผมจึงอัดคำถามอย่างเดียว เค้าจึงได้บอกว่ามันเป็นความรู้คนละขั้นกันแล้วล่ะ อีกนิดเดียวเราก็มาอยู่จุดเดียวกันแล้ว พูดไม่นานแล้วเค้าก็วางไป



เมื่อผมเข้าใจเรื่องต้นกำเนิดของความคิด ผมจึงรู้ว่าวิปัสสนูและจินตญาณเกิดมาจากอะไร มันเข้าใจจริงๆนะครับ นั่นเพราะว่าความรู้สึกตัวยังไม่เข้มแข็งพอจะตัดความคิดออกโดยตัวมันเอง คนติดจินตญาณจึงติดตัวความคิดที่คิดเกี่ยวกับธรรมะ แต่หาใช่ตัวธรรมแท้ไม่


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ