โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ลำดับอารมณ์ ..... level up

ผมได้ย้อนกลับมาอ่านสิ่งที่หลวงพ่อเทียนเขียนเรื่องลำดับอารมณ์วิปัสสนาด้วยลายมือของท่านเอง มันเป็นความแตกต่างอย่างที่สุดของการสอนธรรมของหลวงพ่อเทียนกับอาจารย์กรรมฐานท่านอื่นๆที่ผมรู้จัก เพราะท่านบอกขั้นตอนแต่ละขั้นไว้อย่างชัดเจน สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นอีกคือ ผู้ที่เดินตามคำสอนของท่านจะพบสิ่งที่ท่านบอกไว้ตามลำดับขั้นตอนไม่ผิดเพี้ยนเลย และในบทความนี้ผมจะแตกรายละเอียดออกมาทั้งหมด ตามความเข้าใจที่ผมประสบพบเห็น ยกเว้นเพียงในระดับสูงสุดที่ยังไม่สามารถแจกแจงได้

นี่คือสิ่งหลวงพ่อเทียนเขียนไว้

- อาการเกิดดับ
-----------------------
- กุศลทาง กายวาจาใจ รวมกัน
- กุศลทางใจ
- กุศลทางวาจา
- กุศลทางกาย
- อกุศลทาง กายวาจาใจ รวมกัน
- อกุศลทางใจ
- อกุศลทางวาจา
- อกุศลทางกาย
-----------------------
- อวิชาสาวะ
- ภวาสาวะ
- กามาสาวะ
- ปัญญาขันธ
- สมาธิขันธ
- ศีลขันธ
-----------------------
- กรรม
- อุปาทาน
- ตัณหา
- กิเลส
-----------------------
- วิญญาณ
- สังขาร
- สัญญา
- เวทนา
- โทสะ
- โมหะ
- โลภะ
- อาการ
- ปรมัตถ์
- วัตถุ
-----------------------
- รูปนาม

................................................................................

ผมได้ทดลองเขียนเป็นแผนภาพเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ จากการฟังคำบรรยายของหลวงพ่อเทียนจากซีดี ท่านพูดแบบรวดเดียวจบ จากต้นไปหาปลาย ซึ่งหลายๆอย่างฟังแล้วไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร เช่นขันธสี่ ขันธสาม ขันธสอง ขันธเดียว มันมีบางอย่างที่ทับซ้อนกันตามความเข้าใจของคนที่มีความรู้จากตำรา ว่ามันอยู่ช่วงไหนระยะไหน ส่วนหนึ่งเพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวจึงใช้คำพูดต่างกัน แต่ถ้าเดินตามกันมาจะเข้าใจของพวกนี้ได้เอง ผมได้เทียบเอาไว้ในแผนภาพดังข้างล่างนี้

ถ้าใครก็ตามที่ฝึกตามแนวทางหลวงพ่อเทียนอยู่ เมื่ออ่านจากแผนภาพด้านล่างนี้แล้ว ท่านจะทราบว่าการเลเวลอัพ ไม่สามารถกระโดดข้ามขั้นได้ และของพวกนี้ไม่สามารถพูดโกหกกันได้ว่ามาถึงสภาวะนั้นสภาวะนี้แล้ว เนื่องจากผู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าจะฟังออกทันที ว่าคุณโกหกหรือไม่ ส่วนเค้าจะตอบสนองต่อคำพูดนั้นๆอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อีกประการหนึ่งคือ ผู้สอนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าในความเป็นจริงไม่มีขั้นแบ่งอะไรทั้งนั้น อันนี้จริงในแง่การไม่ยึดติดต่อสมมต แต่ถ้าใครก็ตามที่เดินตามทางหลวงพ่อเทียน แล้วสภาวะของเค้าเปลี่ยนจากเดิมเป็นขั้นเป็นตอน คนพวกนี้จะสามารถไล่ลำดับอารมณ์ในแต่ละขั้นได้อย่างแน่นอนและมันต้องเป็นทุกคน เพราะมันมีความแตกต่างของอารมณ์วิปัสสนาในแต่ละช่วง แล้วถ้ามาเทียบกับของคนอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันจะพบว่ามันเหมือนกันอีกด้วย แต่การจะเทียบและมองขั้นออกจะต้องเดินมาถึงที่ระดับศีลปรมัตถ์ก่อนเป็นอย่างน้อยไม่อย่างนั้นจะมองไม่ออก เพราะว่าอารมณ์ของโสดาบันกับสกิทาคามีและอนาคามีนั้นไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยู่ที่โสดาบันคุณไม่สามารถเปรียบเทียบกับอะไรได้นอกจากปุถุชนที่ไม่ได้ฝึก ถ้าคุณอยู่ที่สกิทาคามีคุณจะเปรียบเทียบระดับได้ชัดเจนจากโสดาบันและปุถุชน ถ้าคุณอยู่ที่อนาคามีคุณจะรู้ว่าอะไรคือความต่างของสกิทาคามีโสดาบันและปุถุชน มันจะเห็นระดับอารมณ์เป็นชั้นๆอย่างนั้นเลย

และคำพูดที่ผมใช้เกี่ยวกับอริยบุคคลต่างๆนี้ มิได้มีจุดประสงค์อวดอ้าง เพียงแต่เป็นการนำคำสอนของหลวงพ่อเทียนและตำรามาเทียบเคียงกันตามความเข้าใจส่วนตัวเท่านั้น ทุกวันนี้การสอนธรรมนั้นกระจัดกระจายไปตามสายต่างๆและไร้ระบบที่ชัดเจน มันคล้ายจะพูดได้เลยว่าฝึกๆไปส่งเดชอย่าไปคาดหวังอะไร วันดีคืนดีถ้าตั้งใจจริงมันจะเกิดขึ้นเอง ผมไม่เห็นด้วยเลย




นำมาทำเป็นตารางให้ดูง่ายๆ





เทียบกับขั้นของอริยบุคคล อุปสรรค และวิธีเทคนิคผ่าน
การที่คนเราไปติดอยู่ที่ขั้นไหนนานๆ เพราะมันไม่รู้เทคนิควิธีฝึกที่ถูกต้องนั้นเอง





ขันธต่างๆ ที่ท่านเรียกชื่อเอง





ความเข้าใจที่จะเกิดในแต่ละขั้น





เมื่อนำมารวมกันจะเห็นว่า คำสอนมีการซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ถ้าแยกอออกมาเป็นเลเยอร์จะเข้าใจได้ง่ายมาก





การไล่ลำดับอารมณ์ลักษณะนี้แตกต่างจากการไล่ลำดับตามตำรา ตัวอย่างเช่น ญาณ 16 คุณจะพบว่ามันไม่เรียงจากหนึ่งไปสอง จากสองไปสามเสมอไปในแต่ละคน แต่มันกระโดดข้ามไปข้ามมาได้(ตามความเข้าใจของตัวเอง) มันคล้ายๆกับการเก็บหน่วยกิต เก็บตัวไหนก่อนก็ได้ เก็บหมดมันก็จบหลักสูตรอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผู้บรรลุธรรมคงเดินเตะฝุ่นกันเกลื่อนกระมัง นั่นเพราะตัวหนังสือจากตำราไม่ได้สื่อถึงปรมัตถ์แต่มันสื่อถึงชื่อเรียกปรมัตถ์ เมื่อเรารู้ชื่อเรียกก่อนเราจะจับมันไปลงกับปรมัตถ์ตัวไหนก็ได้ตามความหลงผิด

การสอนของหลวงพ่อเทียนจึงเป็นอะไรที่แปลกมาก สำหรับคนที่เรียนหนังสือมาตามระบบการศึกษาอย่างผม แม้ผมรู้ว่าเค้าพูดอะไร แต่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร มันเป็นคำพูดง่ายๆศัพท์แสงต่างๆก็คล้ายเคยได้ยินจากตำรามาบ้าง แต่ไปเปิดหาแหล่งข้อมูลอ้างอิงจากไหนไม่สามารถเจอได้เลย ถึงเจอก็ไม่ใช่เพราะมันไม่ได้เป็น แม้แต่ตัวคำสอนของท่านเองก็ไม่บอกไว้ชัดๆว่าคืออะไร เช่น ศีลปรมัตถ์ จินตญาณ ต้นกำเนิดของความคิด วิปลาส ขันธสี่สามสองหนึ่ง

ครูผู้สอนจึงเป็นตัวสำคัญอย่างมากในการเช็คระยะความเข้าใจของศิษย์ เนื่องจากไปหาคำตอบจากที่ไหนไม่ได้ ศิษย์จึงต้องหาคำตอบจากการฝึกเท่านั้น เมื่อศิษย์ถูกถามแล้วสามารถตอบคำถามได้ จึงเป็นตัวเช็คที่ใช้ได้ตัวหนึ่ง และคำตอบนี้จะเหมือนกันกับทุกคนที่ผ่านก้าวข้ามจุดนั้นๆไปแล้ว อีกทั้งคำตอบลักษณะนี้จะโกหกไม่ได้อีกด้วย นั่นเพราะว่าทันทีที่ศิษย์ทราบคำตอบ พฤติกรรมการกระทำบางอย่างของศิษย์จะเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งสังเกตกันได้ง่ายๆ ว่าตอบจากการจำคำใครมา คำตอบแบบนี้จึงไม่ใช่การรู้แต่ตอบจากการเป็น

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะเขียนไว้เพราะคิดว่าเนื้อหานั้นคาบเกี่ยวกัน คือ การใช้สังโยชน์เป็นตัววัดระดับความเป็นอริยบุคคล ผมไม่ทราบว่าสังโยชน์แต่ละขั้นมีอะไรบ้างเพราะไม่เคยจำได้ มีเพียงอันเดียวที่จำได้แม่นคือ อนาคามีละกามารมณ์ได้ เมื่อผมสังเกตคนอื่นที่ได้สนทนาเกี่ยวกับสภาวะธรรมให้ฟัง คนหลายคนเข้าใจว่า เมื่อไม่มีอาการโกรธเกิดขึ้นเลยหรือไม่มีความต้องการทางเพศเกิดขึ้นเลย เป็นระยะเวลานานจนถึงในขณะที่พูดนั้น ตนสามารถละสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว

สิ่งที่เคยเกิดกับผมและผมสามารถพูดยืนยันได้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย

การที่สิ่งที่เคยแล้วไม่เกิดอีกเลย เป็นอาการที่เรียกว่า ปีติ หรือคุณอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครมารบกวนกระทบกระทั่งคุณ สิ่งเหล่านี้จึงไม่แสดงตัวออกมา แต่ถ้ามีสิ่งที่กระทบคุณแบบจังจังหน้างานคุณจะรู้สึกถึงความพ่ายแพ้และความเข้าใจผิดของตัวเอง ต่อมาผมได้ค้นพบว่าวิธีการละของพวกนี้ที่ถูกต้องไม่ใช่การที่ของพวกนี้ไม่เกิดอีกเลย แต่เป็นการที่มันเกิดขึ้นตามปรกติแล้วเราสามารถเอาชนะมันได้ทุกครั้ง และเวลาในการเอาชนะเร็วขึ้นเรื่อยๆ อันนี้วัดกันเป็นวินาทีหรือเสี้ยววินาทีนะครับ ยกตัวอย่างเช่นการจะชนะกามได้ เราจะต้องพัวพันคลุกคลีอยู่กับมันจนเข้าใจตัวจริงของมัน แต่ไม่ใช่คลุกคลีแบบลงไปเสพมัน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นจะเอาอะไรมาฝึก และมันไม่ใช่ลักษณะของการเสพกามแบบอิ่มหมีพีมันจนเบื่อแล้วมันจะเบื่อไปทั้งชีวิต การละราคะได้แบบหมดจดชนิดที่เท้าเหยียบประตูอนาคามีไม่ใช่แบบนั้น

มีช่วงที่กามเล่นงานผมอย่างหนัก เห็นผู้หญิงไม่ได้เลยไม่ว่าใครก็ตาม ผมอยากจะวิ่งไปดูดคอเหมือนผีดูดเลือด อวัยวะเพศจะแข็งตัวทันที เปิดหนังโป๊นั่งดูไป แต่ไม่ช่วยตัวเองครับใจมันแข็งกว่าความต้องการ ตอนอยุ่คนเดียวนี่ล่ะทีอันตรายที่สุดเพราะจะเสพยังไงก็ไม่มีใครรู้ แต่มันอายครับว่าจะแพ้ตัวเอง อยากดูหนังโป๊เอ้าเปิดเลย อยากดูดูไป แต่ไม่มีการช่วยตัวเองนะบอกไว้ก่อนเลย มันฝึกอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันรู้วิธีเองว่าเราผ่านตัวนี้ได้ด้วยวิธีไหน แล้วเมื่อรู้วิธีจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของแรงขับทางเพศอีกต่อไป

เหมือนกับการที่คุณจะผ่านการรัดร้อยของขันธ์ห้า ขันธ์ห้าต้องโจมตีคุณแบบเต็มเหนี่ยวแล้วคุณสามารถทะลวงผ่านมาได้ ประสบการณ์พวกนี้มีอยู่จริงนะครับผมขอเป็นคนหนึ่งที่รับรองให้ แล้วคุณจะไม่แพ้ขันธ์ห้าอีกเลย มันไม่ใช่ว่านั่งๆนอนๆชิลๆ แล้วบอกไม่มีอะไรจะต้องทำต้องละ นี่มันเป็นคนละเรื่องกันเลยพวกนี้เจอหน้างานจอดแน่ผมมั่นใจ

การที่คุณจะผ่านตัวไหนได้ ตัวนั้นจะต้องเล่นคุณอย่างหนักหน่วงแล้วคุณสามารถชนะให้เห็นกันจะจะ ไม่ใช่เค้าไม่ได้ขึ้นสังเวียนแล้วคุณประกาศเอาเองว่าคุณชนะเพราะคู่ต่อสู้ไม่มาขึ้นชก



ขอให้วันนี้ของทุกท่านสวยงามต่อไปครับ