โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

มายาของความรู้สึกตัว ..... the illussion of the feeling

ความรู้สึกตัว คืออะไร จากที่ผมสังเกตผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่มีปัญหากับเรื่องนี้ พวกเค้าเข้าใจไม่ตรงกัน การที่มันรู้ได้เฉพาะตัวนี่ล่ะที่เป็นปัญหาของการสอน และการรู้ไปคนละเรื่องทั้งที่เป็นคำสอนเดียวกันดันเป็นปัญหาของผู้เรียน ผมจะแยกออกเป็นสองลักษณะที่ต่างกันนะครับ

ความรู้สึกตัวประเภทที่หนึ่งคือ เห็นอาการของจิต

คนพวกนี้จะรู้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ไม่รู้รูป ไม่รู้รูปคือไม่รู้ความรู้สึกต่อการเคลื่อนไหวของกาย คนพวกนี้จะรู้ เวทนา รู้จิต รู้ธรรม แต่ไม่รู้กาย และที่สุดของมันจะมาจบลงตรงที่เข้าถึงสภาวะว่างๆของใจ คือสัมผัสใจว่างๆได้ ประเภทจิตสว่าง จิตโล่ง ผมจะไม่พูดถึงจุดนี้มาก ผมเพียงอธิบายความแตกต่างตามที่ผมเคยผ่านมาเท่านั้น และคนพวกนี้จะติดอยู่ในความเบาสบายว่างนั้น เพราะไม่รู้ทางออก หรือไม่รู้ว่าต้องออก พวกเค้าเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ความรู้สึกตัว ผมเองเคยเป็นอย่างนั้น ผมรู้จุดอ่อนของมันดีทีเดียว

ผมเคยเตือนเป็นนัยๆกับบางคนแต่พวกเค้าไม่รับฟัง เพราะพวกเค้าเชื่อว่า ความเบาสบายของใจของจิตนั้น จะนำไปสู่อะไรซักอย่างเจ๋งๆในท้ายที่สุด คนพวกนี้ยังติดการถ่ายทอดธรรมะ ยังติดการถกเถียงเกี่ยวกับธรรมะ แม้พวกเค้าจะรู้ลึกๆว่า ความเบาสบายนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่ก็ยังดื้อรั้นสอนคนอื่นให้เข้ามารู้ถึงความสบายนั้น พอมีคนเตือนกลายเป็นว่า คนเตือนยังเข้าไปไม่ถึงความรู้สึกตัวแบบที่ตนเองเจอ ทั้งๆที่ผู้เตือนผ่านไปแล้วถึงได้บอก ....การทำงานกับทิฐิคนเป็นงานที่ตลกๆแบบนี้เอง

ความรู้สึกตัวประเภทที่สองคือ จิตไม่มี ใจไม่มี

คนที่เข้าสัมผัสความจริงระดับนี้ จะต้องผ่านการฝึกที่ถูกวิธี ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มารู้แบบนี้ เมื่อเราเข้าไปแนบแน่นกับความรู้สึกตัว เราจะเห็นชัดๆเลยว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นความรู้สึกที่มาจากร่างกายทางฟิสิกส์คอลล์ จากอวัยวะที่หยิบจับได้ทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยที่โผล่มาโดดโดด โดยไม่มีอวัยวะทางร่างกายรองรับ ความรู้สึกของใจหรืออาการของจิต ตัวจริงๆของมันคือ ความรู้สึกของกายนั่นเอง เวลาที่เราเป็นทุกข์ใจ เราไม่ได้ทุกข์ที่ใจ แต่ทุกข์มันเกิดบนรูปกายอย่างเดียวเท่านั้น เพียงแต่มันลึกลงไปข้างในอกเรา หลอดลมจะตัน กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัว ลมหายใจจะติดขัด ทรวงอกจะบีบรัด จุกเสียดปอด แม้แต่สิ่งที่เราเรียกว่า ตัวเห็น ก็เป็นความรู้สึกของกายแบบหนึ่งด้วย

ใจ คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ถ้าคุณแม่นเรื่องความรู้สึกตัว เมื่อเกิดอาการทุกข์ อาการปวด อาการโกรธ หรืออะไรก็ได้ทุกอย่างเลย มันแสดงออกผ่านทางอวัยวะบนฐานกายเท่านั้น

ใจอยู่ตรงไหนกัน เราไม่เห็นความรู้สึกชัดๆแนบแน่นลงไปกับของพวกนี้ เมื่อเห็นไม่ชัดความคิดก็ตีความว่านั่นคือ ตัวจิต นั่นคือ ตัวใจ แล้วก็หลงไปค้นหา ไปดูความพิศวงของมัน มันก็เลยติดอยู่ตรงจุดนั้น ถ้าเราฝึกเรามัวแต่ไปดูใจ มัวแต่ไปดูจิต เราจะไปดูสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ที่มันแสดงให้ดูเหมือนว่ามันมีอยู่จริง เพราะมันทำงานร่วมกันกับความคิด ครึ่งหนึ่งคือความรู้สึกอีกครึ่งหนึ่งคือความคิดที่ยึดแน่นกับความรู้สึกตัวนั้น เมื่อมันรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว มันจะแปลงร่างเป็น จิตใจ

สำหรับผมผู้ที่ดูจิตนั้น จะทวนไม่ถึงต้นขั้ว มันไปจับอยู่ตรงปลายเพราะ จิตก็คือมายาของความรู้สึกตัวที่ถูกปรุงแล้ว มันต่างจากการดิ่งลงตรงๆที่ความรู้สึกตัวล้วนๆของกาย เมื่อมีการปรุงเกิดขึ้น มันจะวิ่งเข้าไปดูเลยว่า ไอ้ที่เรียกว่า ว่าง ไอ้ที่เรียกว่า ทุกข์ เนี่ย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจริงๆ มันเกิดมาจากความรู้สึกของอวัยวะส่วนไหนกันแน่ มันทิ่มลงไปตรงๆอย่างนั้นเลย


แต่คนที่ยังไม่เข้าใจจุดนี้ ก็จะยังเถียงว่าใจนั้นมี มันก็ถูกในระดับของเค้า ใจมันจะมีสำหรับบุคคลที่ ความคิดเข้ายึดจับความรู้สึกตัวเท่านั้น ความคิดยังไม่ขาดออกจากความรู้สึกตัว จิตมาจากไหน จิตคืออะไร คำแก้ตัวของคนไม่เข้าใจเรื่องของจิตที่ผมฟังมาตลอดก็คือ อย่าไปใส่นิยามให้มัน จิตคือจิต มันลึกซึ้งเกิดดับเป็นแสนครั้งรวดเร็ว แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเร็วไปกว่าความรู้สึกตัวตรงไหน

เมื่อคุณเข้าใจเรื่องนี้คุณจะมองคำสอนเรื่องการละกิเลสเป็นของพิลึก เพราะกิเลสมันไม่ได้มีอยู่ จะไปละของไม่มีอยู่ยังไง มันมีเพียงความคิดที่ทำตามการไม่เห็นความรู้สึกตัวอย่างทะลุปรุ มันไม่มีอะไรเลยนอกจาก ความรู้สึกตัวและความคิด

เวลาเราฝึกฝนตัวเองมันคล้ายๆกับว่า เรามีหีบอยู่ใบนึง แล้วเราก็พยายามเปิดหีบใบนั้นออกให้ได้ ข้างในมันมีอะไรนะ เวลาที่เราไม่รู้ว่าของในหีบคืออะไร ความไม่รู้ตัวนี้จะทำงานร่วมกับความคิดปรุงคาดเดา หาวิธีเปิด ซึ่งอะไรที่ดูยากๆซับซ้อน ความคิดจะปรุงไปในทางที่ว่า มันน่าจะต้องมีอะไรเจ๋งๆซ่อนอยู่ซักอย่างแน่

ถ้าเรายังเปิดออกมาไม่ได้ เราก็ได้แต่ดิ้นรน คาดเดาว่าของข้างในมันเป็นอย่างไร เวลาที่เราถูกความไม่รู้ครอบงำเนี่ย มันเป็นบ้าจริงๆ แต่สำหรับคนที่เปิดได้แล้ว มันก็จะไปติดอยู่กับการรื้อค้นของในหีบนั้นอีก บางคนเจอความว่าง บางคนเจอความสบาย บางคนเจอธรรมะสารพัด

เมื่อเรารู้เข้าใจของในนั้นหมดแล้ว ปัญญาตัวหนึ่งจะตระหนักรู้ อันเป็นผลมาจากการลองผิดลองถูกมาตลอด มันจะรู้ว่าของที่อยู่ในหีบมีราคาไม่เท่าตัวหีบ สิ่งที่อยู่ในหีบเป็นเพียงมายาของการเปิดหีบไม่ได้ ราคาที่ว่าคืออะไร มันคือการไม่ทุกข์แบบถาวร ของในหีบมันช่วยได้แค่ตอนที่คุณนั่งชื่นชมมันอยู่เท่านั้น

ต่อให้คนอื่นไม่มีของแบบที่คุณเปิดเจอก็ตาม ถ้าเรามัวไปสนใจของในหีบ เราจะติดอยู่กับของในนั้น เหมือนกับถ้าเราไปสนใจจิต เราจะติดอยู่ที่จิตและหลุดออกจากจิตไม่ได้ ที่หลุดไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่า จิตมันคืออะไร มันเกิดมาจากอะไร มันทำงานอย่างไร

วิธีดูจิตมันเหมือนกับ คุณมองลงไปที่ทะเล คุณเห็นปลากระโดด เห็นหาดทราย เห็นบิกีนี่ เห็นคลื่น เห็นแสงอาทิตย์สะท้อน เห็นมันแปรปรวน เห็นทุกอย่างที่คุณเห็น เห็นแล้วไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องลงไปเล่นน้ำทะเล ไม่ต้องลงไปเล่นกับปลา

แต่วิธีฝึกแบบความรู้สึกตัวไม่ใช่แบบนั้น วิธีนี่เหมือนการแหวกทะเล ความรู้สึกตัวมันผ่าลงไปเป็นทางเดิน ให้เดินจากฝากหนึ่งไปอีกฝากหนึ่งของทะเล ไม่สนใจปลา ไม่สนใจความแปรปรวน ไม่สนใจแสงอาทิตย์ รู้เห็นเข้าใจของพวกนั้นเพราะเดินผ่าน เดินจากฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่งแค่นั้น ไม่ใช่การนั่งแล้วมองอะไรต่ออะไรเฉยๆ เมื่อผ่านนั้นผ่านกันจริงๆ

ถ้าเราดูตามความเป็นจริง เทคโนโลยี ที่ได้รับการยอมรับเป็นระดับศิลปะ มักเป็นอะไรง่ายๆที่ไม่ยุ่งยากเสมอ มันมักจะกลับสู่ฐานความคิดง่ายๆ แก้ปัญหาแบบง่ายๆ ส่วนอะไรที่ถูกคิดขึ้นมาอย่างพิสดาร วันนึงจะมีอะไรบางอย่างที่แซงหน้ามันไปได้เสมอ



ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้รู้สึกตัวเอาไว้ครับ
จนถึงจุดนี้ผ่านได้ทุกตัว