โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

อาหารแมว

ในขณะที่กำลังเดินจงกรม สร้างจังหวะหรือฝึกนอกรูปแบบอยู่นั้น มันมีบางครั้งที่อยู่ดีดีใจก็เจ็บแปลบขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ มันเป็นอาการคล้ายๆอาการตอนอกหัก หรืออาการที่เรากำลังกลัวบางอย่างอยู่ลึกๆ มันเจ็บอยู่ที่หัวใจ เจ็บแช่ๆนานๆ อยู่ดีดีมันก็ปรากฏขึ้นมา ก็ดูก็รู้ก็เห็นมัน แต่มันไม่ดับง่าย มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากผมไม่ทราบคำศัพท์วงการธรรมะที่ใช้เรียกมัน ผมจึงตั้งชื่อให้มันเองว่า ปฎิฆะ

อารมณ์ตัวนี้เป็นสาเหตุเชิงลึกที่ทำให้เราต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง ถ้าเรากำลังทะเลาะกับคนอื่นอารมณ์ตัวนี้จะบังคับให้เราพูดใส่คนอื่นแรงๆ ขว้างปาโทรศัพท์ ปิดกระแทกประตูใส่หน้าคนอื่น ถ้าเราดูหนังโป๊อารมณ์ตัวนี้จะบังคับให้เราไปช่วยตัวเองหรือมีอะไรกับแฟน ถ้าเราเบื่อเซ็งอารมณ์ตัวนี้จะกดดันให้เราต้องออกไปข้างนอก ซื้อของจับจ่ายดูหนังนัดเพื่อนไปเที่ยวหาของอร่อยเข้าปาก หรือถ้าเรายืนบนรถเมล์แล้วรถติดไฟแดงนานๆ มันจะผลักให้คุณต้องตัดสินใจลงไปเดิน เพื่อระบายความอัดอั้นนี้ให้คลายออก

ผมหาว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ และได้ค้นพบว่า มันเกิดจากการหายใจที่ผิดจังหวะ หรือการไปกลั้นลมหายใจโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งมันมักจะเกิดจากการ หนึ่งการเผชิญสถานการณ์จะจะบางอย่างจนลืมความรู้สึกตัว สองการตกเข้าไปอยู่กับความคิดที่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยมองความคิดไม่ทัน และสาม ความกลัว

หลังจากพอจะจับทางได้แล้วมันก็เริ่มหาทางแก้ ผมเดินจงกรม วันหนึ่งอาการเหล่านี้ปรากฏขึ้น มันไม่ยอมดับเลย ผมเดินมองดูต้นไม้ ใบไม้ปลิวลม ได้ยินเสียงรอบตัว สัมผัสสายลมของวัด ทุกอย่างนอกตัวชัดเจนไปหมด ได้ยินเสียงเห็นทุกอย่างอย่างที่มันเป็น และรู้สึกกายล้วนๆอย่างชัดเจน ในช่วงนั้นชีวิตผมไม่มีอะไรเลยนอกจากความรู้สึกกายล้วนๆกับสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินสิ่งที่สัมผัสนอกตัว ตอนนั้นความคิดปรากฏขึ้นไม่ได้

เมื่อมองดูใบไม้ ผมรู้เพียงความรู้สึกตัวและรูปใบไม้เท่านั้น ไม่มีความคิดปรุงแต่งใดใดเกิดขึ้น มันรู้ว่าเป็นต้นไม้ มันรู้ว่าสีเขียว มันรู้ว่ากำลังปลิวลม แต่มันไม่ได้คิดเอา มันได้ยินเสียงรอบตัวทั้งหมดชัดเบาตามความเป็นจริง ความคิดมันเกิดขึ้นไม่ได้แต่มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ผมจึงได้เข้าใจความจริงข้อหนึ่งที่สำคัญมาก ว่าเมื่อไหร่ที่เราเห็นหรือสัมผัสอะไรสักอย่าง อย่างชัดเจนชัดแจ้งอย่างจริงแท้ ความคิดจะหยุดการทำงาน ความคิดจะไม่ปรุงต่อ

พอเข้าใจตรงนี้ มันมองกลับเข้าตัวทันที ปรากฏการณ์ที่เกิดในตัวนั้นเป็นเพราะมันทำงานตามหน้าที่ของมัน เมื่อเห็นมันชัดๆ ความคิดจะหยุดปรุงต่อสิ่งที่ปรากฏทันที ปัญหาเหลือเพียงตัวเดียวนั่นคือ ความคิดนั้นเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า เราจะต้องปล่อยให้ความคิดแรกเกิดขึ้น แต่เห็นความคิดแรกนั้นให้ชัดแม่นยำ แล้วความคิดที่สองจะปรากฏขึ้นไม่ได้

มันหมายความว่าอย่างไร ความคิดแรกเป็นเรื่องตามธรรมชาติที่กลไกดำเนินไป มันทำงานตามธรรมชาติของมัน แต่ความคิดที่ตามมาหลังจากนั้น หรือความคิดที่สองเป็นความคิดปรุง ขันธ์ห้าเริ่มปรุงจากตรงนี้ ถ้าหยุดตรงนี้ได้ ขันธ์ห้ายังคงอยู่แต่ปรุงไม่ได้

พอมันปรุงตัวมันไม่ได้เพราะการเข้าไปเห็นมันอย่างชัดเจน มันจึงดับ แล้วความคิดแรกในเรื่องอื่นจะปรากฏอีก ก็แค่เห็นมันให้ชัด มันก็จะปรุงเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ แล้วมันจะเปลี่ยนเรื่องคิดอีก มันจะไม่คิดเรื่องเดิม ตราบใดที่เราเข้าใจกลไกตรงนี้ ความคิดที่สองจะดับตลอด

พอฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ คราวนี้เกิดรู้ขึ้นมาจริงๆเลยว่า ความคิดที่มาพร้อมสติปัญญา และความคิดที่เต็มไปด้วยโทสะโมหะโลภะต่างกันอย่างไร

ความคิดอย่างหลังนั้น เป็นความคิดที่ไม่มีความรู้สึกตัว หรือถ้ามีก็ไม่ได้เห็นความคิดนั้นชัดๆ นั่นก็คือ ความคิดตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้มากกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เป็นความคิดที่มาพร้อมโลภะโมหะโทสะทั้งสิ้น ต่อให้เป็นความคิดเรื่องความรู้แจ้งก็ตาม ด้วยเหตุนี้ทำไมหลวงพ่อเทียนจึงกล่าวว่า วิปัสสนูและจินตญาณเป็นอุปสรรคในการพัฒนาไปสู่ธรรมขั้นสูงยิ่งๆขึ้น ความรู้ความคิดแบบนี้เป็นความรู้ที่ไม่แม่นยำ

ต่างกับ ความคิดที่มาพร้อมสติปัญญา คือความคิดที่ตั้งใจคิด อ่านตรงนี้ให้ดีนะครับ ผมมั่นใจว่า มีคนจำนวนไม่มากนัก ที่จะเข้าใจสภาวะความคิดแบบนี้ เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกกายล้วนๆดำเนินไป แล้วในระหว่างนั้นมีความคิดเกิดขึ้น ความคิดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ลดบทบาทของความรู้สึกกายล้วนๆลงไป แต่เป็นการเดินคู่ขนานกันระหว่าง การคิดและการรู้สึกกายล้วนๆ ทั้งสองมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีตัวไหนทำลายอีกตัวหนึ่ง เมื่อความคิดจบลง ความรู้สึกกายล้วนๆยังคงดำเนินต่อไปเหมือนช่วงก่อนจะเกิดความคิด เหมือนช่วงระหว่างคิด นั่นคือความคิดที่มาจากสติปัญญาอย่างแท้จริง ความคิดลักษณะนี้จะไม่มีโทสะโมหะโลภะ ต่อให้ลองคิดในทางลบ ความคิดนั้นจะไม่มีการเจือไปด้วยโทสะโมหะโลภะ ทดลองดูได้ กล่าวง่ายๆคือ การคิดชัดบนความรู้สึกกายที่ชัด

ความคิดแบบนี้จะเกิดสั้นมากๆ และน้อยครั้ง มันจะเกิดในช่วงที่สำคัญจริงๆ หรือช่วงเข้าไปรู้อะไรจริงๆเท่านั้น มันคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า ปัญญาญาณ และถ้ามันเกิดไปรู้อะไรขึ้นมา ความรู้เรื่องนั้นจะไม่พลาดผิดเลย เพราะมันมักจะรู้เรื่องเกี่ยวกับ สัจธรรมของชีวิต

เมื่อเข้าใจปัญญาญาณจริงๆแล้ว ความคิดแรกที่เป็นหนึ่งในขันธ์ห้า จะถูกเพิกเฉยทั้งหมด มันเห็นชัดและเพิกเฉย ความคิดความรู้แบบเก่าๆที่เคยปรากฏ กลายเป็นสิ่งด้อยค่า เพราะมันเทียบความคิดแบบปัญญาไม่ได้เลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากเป็นอาหารแมว

แต่ทำไมปฏิฆะถึงยังคงอยู่ ผมยังฝึกต่อไป มองดูเห็นอยู่อย่างนั้น มันมาถึงจุดจุดหนึ่ง ที่มันไปเข้าใจเรื่อง การแยกทางระหว่างสมถะและวิปัสสนา คำว่าแยกทางนั้น เป็นทำที่หลวงพ่อเทียนท่านใช้ แต่สิ่งที่ผมประสบมา ผมใช้คำว่าการแซง

มันเห็นอาการเหมือนเรานั่งรถกระบะที่ข้างหลัง แล้วเราหันหน้าเข้าหารถคันหลังที่วิ่งตามมา เราจะมองไม่เห็นรถที่วิ่งอยู่ข้างหน้าเรา ส่วนรถที่อยู่ด้านข้างๆเราจะเห็นเพียงลางๆมันไม่ชัด แต่เราจะเห็นรถคันที่เราแซงแล้วอย่างชัดเจน ผมเห็นปฏิฆะ เห็นฉันทะ เห็นความสงบ เป็นอย่างนั้น จังหวะที่แซงมันได้แล้ว เราจะเห็นได้เลยว่า กำลังเครื่องยนต์มันมีแค่นั้น กำลังมันมาสุดแค่ที่ตรงนั้น มันตามรถเรามาไม่ทันอีกแล้ว มันบดบังไม่ได้ กลไกธรรมชาติของสิ่งพวกนี้มีมาเท่านี้ มันมาได้ไม่ถึงตรงนี้ มันเอาชนะความรู้สึกกายล้วนๆนี้ไม่ได้

ความรู้สึกกายล้วนๆนี้เป็นอิสระจากทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เกาะมันติด มันสะอาดจากโทสะโลภะโมหะโดยธรรมชาติของมันเอง แม้แต่จิตใจก็เกาะมันไม่ติด ความคิดก็เกาะมันไม่ได้

ปฎิฆะยังปรากฏเป็นบางครั้ง แต่มันเหมือนรถที่ถูกแซงมาแล้ว มันสูญเสียความมั่นใจในฤทธิเดชของมัน มันเข้ากันไม่ได้อีก ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่จะเรียกโดยรวมๆว่าจิต เรียกว่าความเบาสบายของจิต ความพอใจในอารมณ์ สิ่งเหล่านี้หยุดนิ่งและมาต่อไม่ได้ มันจะถูกมองเป็นเพียงแค่อาหารแมวเท่านั้น แมวจะกินหนูทุกตัว

ความรู้สึกกายล้วนๆ เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ครบทั้งหมดเบ็ดเสร็จ การใช้คำสามคำแยกอธิบายเป็นเพียงลำดับการพัฒนาการของมัน ความรู้สึกอื่นนอกจากความรู้สึกกายล้วนๆ เป็นเพียงมายาภาพที่ถูกปรุงมาแล้ว ทำไมคอนเซปหลักการสอนของหลวงพ่อเทียนตั้งแต่อายุ46จนตาย ถึงพูดแต่เรื่องความรู้สึกตัว ทำไมท่าต้นแบบจึงเป็นการยกมือสร้างจังหวะ ทำไมกายานุปัสสนาจึงมาเป็นตัวแรกในสติปัฐฐาน4 ทำไมทุกข์จึงเป็นธรรมตัวแรกแรกในอริยสัจ4 ทำไมสูงสุดจึงมาลงสามัญ

จะมาเข้าใจที่จุดนี้ทั้งหมดเลย


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป