โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ง่วง..... sleepy

ในการฝึกสติด้วยแนวทางของหลวงพ่อเทียน ปัญหาที่มักจะได้ยินจากปากของคนแทบทุกคนที่ผมสนทนาด้วย หรือบังเอิญได้ยินเค้าคุยกันโดยไม่ตั้งใจ นั่นคือ ง่วง

ทางแก้จากครูบาอาจารย์ ที่ผมมักได้ยินส่วนใหญ่คือ ถ้าไม่ไหวจริงๆ หรือสู้ไม่ได้ ให้พักให้นอนให้หยุด เพราะฝืนฝึกไปจะไม่ได้อะไรและเสียเวลา ก่อนอื่นผมขอพูดถึงสภาพของคนที่ง่วงแล้วนอนพัก เค้าอาจจะนอนห้านาที หนึ่งชั่วโมง หรือมากกว่านั้น สิ่งที่ผมสังเกตจากคนเหล่านั้นคือ จะติดนอนจนเป็นนิสัย และคำแนะนำอีกอย่างที่มักได้ยินคือ ให้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ไปทำงาน ล้างจาน ล้างหน้า ทำสวน กวาดใบไม้ อะไรก็ได้ ผลจากการทำแบบนี้คุณจะกลายเป็นคนที่คนส่วนใหญ่รักใคร่ เพราะทำงานได้มาก ซึ่งบางคนไม่ฝึกเข้ารูปแบบอีกเลย เพราะทำงานแล้วไม่ง่วง มีประโยชน์ด้วย

ตัวผมเองไม่ใช่ครูบาอาจารย์ แต่เพียงนำประสบการณ์บางอย่างมาเล่าในอีกแง่มุม ว่าผมผ่านการคุกคามของความง่วงได้อย่างไร เผื่อจะมีคนนำไปใช้แล้วได้ผลแบบเดียวกัน ผมพบว่าความง่วงจะมีสามช่วงใหญ่ๆ เมื่อผ่านมันได้ในแต่ละช่วง ปัญญาบางอย่างจะเกิดมาพร้อมกับอาการดีใจ ที่ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจธรรมะ ความง่วงจะหายไปช่วงหนึ่ง และเมื่อปิติจางคลาย ความง่วงจะกลับมาอีก และจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ผมเคยเช็คความผิดปรกติว่า ทำไมมันถึงง่วง ด้วยการสำรวจว่า กินมากไป นอนน้อยไป ฝึกหนักมากเกินไป อากาศร้อนเกินไป พบว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ มันเป็นแบบนี้เพราะอารมณ์กรรมฐาน ส่วนหนึ่งเพราะความคิดมันถูกตัดกระแส เมื่อกลไกความคิดถูกทำให้เนือย มันจะมีอาการเหมือนคนกำลังใกล้จะหลับ หรือคนที่เหนื่อยจัด พวกนี้จะตรงข้ามกับพวกเจอปัญหาฟุ้งซ่าน พวกฟุ้งซ่านจะไม่มีวันง่วง



ความง่วงช่วงที่หนึ่ง

เป็นช่วงก่อนที่จะเข้าใจรูปนาม ช่วงนี้ จะเป็นช่วง ง่วง ผสมอาการ เบื่อ คนฝึกส่วนใหญ่จะยังจับความรู้สึกตัวไม่ได้ หรือไม่เข้าใจว่ายกมือไปทำไม อาการที่สังเกตจากภายนอกคือ นั่งคอพับ แล้วสะดุ้งขึ้นสลับกันไปเรื่อยๆ มีอาการวูบแบบคนสัปหงก บางคนนั่งหลับยกมือค้างไว้ บางคนเดินหลับหรือเซชนต้นไม้ บางคนกราบพระแล้วหมอบค้างอยู่อย่างนั้น วิธีแก้ที่ผมใช้คือ อย่านอน อย่าหยุดฝึก แต่ให้ทำเรื่องบ้าๆแทนในขณะที่ฝึก เช่นไปนั่งในที่ที่ จะตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น ขึ้นไปนั่งบนที่ของพระก็ได้ ร้องเพลงออกมาให้คนอื่นได้ยิน เต้นรำให้คนอื่นเห็น ออกกำลังกาย โยคะ ชกลมอะไรก็ได้ หรือไปล้างหน้า อาบน้ำ ทำงานที่ต้องใช้แรงกาย หรือไปเดินหาคนที่กำลังนั่งคอพับน้ำลายยืด คุณจะหลับไม่ลง แต่อย่าหยุดฝึก อย่าเอนหลัง เมื่อใครก็ตามผ่านตรงนี้ได้เค้าจะเข้าใจรูปนาม และสมมต อาการปิติและวิปัสสนูจะเกิดตรงนี้ และเมื่อความรู้สึกตัวชัดจะไม่ง่วงอีกเลย

ตอนที่เกิดกับผมนั้น มันชัดเจนทั้งตัว กระพริบตานี่รู้ทุกครั้ง รู้จนเจ็บกล้ามเนื้อลูกตาทั้งสองข้าง ก้าวเดินแต่ละครั้งเท้าแตะพื้นสะเทือนไปถึงหัว ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุ๊บๆตลอดเวลา ขยับอะไรรู้สึกตัวไปหมด ความรู้สึกตัวเหมือนพระอาทิตย์ที่ปล่อยแสงออกมาตลอดเวลา มันจะตื่นตัวจากภายในร่างกายอย่างมาก



ความง่วงช่วงที่สอง

เมื่อปิติและวิปัสสนูจางไป ตัวง่วงจะกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ความง่วงระยะนี้ไม่ใช่ง่วงแบบสัปหงก มันง่วงแบบรู้สึกตัว ใจจะต่อต้านความง่วงเต็มที่ มันพยายามจะหาวิธีชนะความง่วงให้ได้ อาการง่วงขั้นนี้จะแปลกกว่าง่วงขั้นก่อนรู้รูปนามตรงที่ ร่างกายตั้งแต่คอลงมาจะตื่นตัวทั้งหมด มีแต่ส่วนหัวเท่านั้นที่ง่วง ตาจะค่อยหรี่ลงแบบรู้สึกตัว แต่เปลือกตาจะไม่ปิดสนิท เหมือนคนสลึมสลือ หรือตาหรี่ลงเหมือนพระพุทธรูป แต่มันจะไม่หลับ อารมณ์จะไม่สดใส เพราะมันติดอารมณ์ตัวนี้อยู่ วิธีแก้คือ ให้ใช้ใจเข้าแลก ห้ามนอนอย่างเด็ดขาด ตอนนั้นผมบอกตัวเองในใจว่า ผมยอมลงให้คนทั้งวัดจะใช้ผมทำอะไรก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมลงให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นอย่ามาออเซาะให้เห็น เมื่อผ่านจุดนี้จะไม่ง่วง เพราะจะเข้าใจ ศีลปรมัตถ์ กับ ปัญญาญาณ มันจะทิ้งทวนด้วย ปิติและจินตญาณ

จุดนี้จะไม่ง่วงเวลาทำการทำงาน จะมีสติตื่นตัวเวลาเคลื่อนไหวมาก กระฉับกระเฉง ทำอะไรแทบไม่ผิดพลาดเลย แต่พออยู่เฉยๆ หรือเริ่มฝึกเข้ารูปแบบ พักเดียวตาจะหรี่ลงทันที



ความง่วงช่วงที่สาม

เมื่อปิติและจินตญาณหมดพิษสง นี่คือช่วงอันเป็นที่สุดของความง่วงและความทรมาน ในชีวิตผมไม่เคยเจอความง่วง และปวดร้าวที่ร้ายกาจขนาดนี้มาก่อน นอกจากตอนหลังดื่มอัลกอฮอล์สมัยก่อน ไม่มีตรงไหนของร่างกายที่ไม่ปวดถึงกระดูก ผมเดินจงกรมเหมือนคนหมดแรง ปวดไปหมดทั้งตัว แทบไม่มีแรงยกมือมากอดอกหรือไขว้หลัง กระดูกไหล่เหมือนกับมีวิญญาณปีศาจมาขี่คอให้หนักตลอดเวลา ผมบอกตัวเองว่า ผมไม่ไหวแล้ว มันเกินขีดจำกัดของมนุษย์แล้วที่ฝึกระห่ำแบบนี้ เดินจงกรมไม่เป็นเส้นตรงอีกแล้ว เพราะมันง่วงจัด ไม่ว่าจะพึ่งตื่น ล้างหน้า อาบน้ำ กินข้าว ทำงาน มันจะง่วงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีที่ให้หนี หมดปัญญาหาเทคนิคมาแก้แล้ว มันง่วงตลอดวัน ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ผมบอกตัวเองว่า ก็ได้ ถ้าไม่ไหว มันมาถึงขีดสุดของมนุษย์จริงๆชั้นจะพักให้ แต่ต่อเมื่อหัวเข่ากระแทกพื้น หน้าล้มฟาดสลบไปเองกับพื้นเท่านั้น แล้วชั้นจะพักผ่อน แล้วหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนั้น มันก็เข้าใจสภาวะที่สลัดของหนักออก 80% มันเหมือนมีอะไรที่คลุมไว้แล้วหลุดออกไปจากตัว


หลังจากนั้น ความรู้สึกตัวจะเบาอยู่ตลอด อาการปวดไปจนถึงกระดูกหายไปหมด ไม่มีอาการง่วงเหลืออยู่เลย ความเคลื่อนไหวจะละเมียดละไม ละเอียด และเบาบาง สดชื่น สบายอยู่กับความรู้สึกตัว อะไรคือวิปัสสนาล้วนๆ ความแตกต่างของความสงบแบบสมถะและความสงบแบบวิปัสสนา จะแสดงออกในจุดนี้ทั้งหมด มันเข้าใจแง่มุมของสมถะทั้งๆที่ไม่เคยฝึกมาก่อน

สรุปวิธีแก้ง่วงตามที่ผมเข้าใจ วิธีที่ดีที่สุดคือ ห้ามนอนอย่างเด็ดขาด แล้วให้ผ่านมันด้วยกำลังใจที่ไม่ยอมแพ้ เพราะไม่ว่าจะแก้มันด้วยเทคนิคอะไรก็ตาม ที่สุดมันจะต้อนคุณจนหลังชนฝา มีเพียงใจเด็ดเดี่ยวเท่านั้นที่จะตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ ผมพูดได้เลยว่าผมไม่เคยงีบหลับ ไม่เคยนอนเอาแรง และนี่เป็นวิธีที่ผมใช้จัดการกับความง่วงครับ

ถ้าอยากรู้ว่าวิธีนี้ได้ผลไหม ลองไปสังเกตพฤติกรรมของคนที่ ง่วงแล้วนอนเปรียบเทียบดูเองครับ




ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป