คุณพ่อหรือเพื่อน ที่ฝึกด้วยวิธีเดียวกันนี้ ทั้งตัวเค้าและคนรอบข้างสังเกตการเปลี่ยนแปลงของนิสัยใจคออย่างชัดเจน แต่ในมุมมองของผมไม่ได้มองไปที่เพียงการเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้น ผมสังเกตถึงลำดับอารมณ์ความเข้าใจในเรื่องของความคิดและความรู้สึกตัวของพวกเค้า แม้จะช้ากว่าแต่คำถามที่เค้าถามผมเป็นคำถามเดียวกับที่ผมเคยถามตัวเองไม่ผิดเพี้ยนเลย เมื่อผมผ่านมาแล้ว การให้คำตอบจึงไม่อ้างอิงข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่เป็นการบอกจากประสบการณ์เพียงอย่างเดียว
มันฟังดูอันตรายทีเดียวที่ใครซักคนจะสอนคนอื่นโดยไม่แยแสตำราแม้แต่บรรทัดเดียว หลายครั้งสอนในลักษณะขัดแย้งด้วยซ้ำไป ผมไม่เคยนำตำรามาวิเคราะห์ ไม่เคยเห็นหนังสือธรรมะที่วางขายตามห้างร้านในสายตา ไม่จับผิดนินทาแนวทางการสอนของอาจารย์สำนักไหน บ่อยครั้งที่ถูกถามถึงแนวการฝึกแบบอื่นๆที่มีอยู่ทั่วๆไป เป็นแนวทางหลักที่ฝึกกันในประเทศไทย ผมจะไม่ตอบว่าอันไหนดีไม่ดี ผมให้คำแนะนำง่ายๆว่า สังเกตดูนิสัยใจคอการกระทำของคนที่ฝึกแนวทางนั้นๆเอาเอง ว่าเค้าเป็นอย่างที่เค้าสอนหรือพูดออกมาหรือไม่ ถ้าฝึกตามจริตแบบไหนก็ได้สุดท้ายจะมาเจอกัน พวกที่ฝึกฝนตัวเองจะทะเลาะกันแบบทุกวันนี้หรือ คนพวกนี้ไม่มองความเป็นจริงที่เกิดในสังคม แต่มองความคิดตามคำพูดแล้วหลงว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณลองไปจับใครก็ได้ที่ฝึกอย่างหนักมานานเกินสิบปี แล้วพวกเค้าใช้วิธีฝึกคนละแบบ มานั่งคุยกันแล้วดูซิว่าเค้ามาเจอกันจริงไหม เค้าพูดถึงสิ่งเดียวกันอยู่รึเปล่า
หลายๆคนถ่ายทอดธรรมด้วยการก็อปปี้ตำรา คำกล่าวอัดเทปของคนรุ่นก่อน เพราะตัวเองไม่มีความสามารถอะไรจึงต้องอาศัยสิ่งนั้น เพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจ หรือเพื่อยืนยันว่า ตนเข้าใจถูกแล้วมีหลักฐานยืนยัน มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่วิธีนี้มันยืนยันตัวมันเองแล้วว่าล้มเหลวในประเทศไทย เมื่อเวลาผ่านไปธรรมะแบบนั้นจะแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา และกลายเป็นหัวข้อสนทนาให้คนไว้อ้างอิงทะเลาะกัน เพราะคนที่กล่าวของพวกนี้ออกมาจากปากตนจริงๆตายไปเกือบหมดแล้ว ตามความเข้าใจของผม ธรรม คือการถ่ายทอด จากรุ่นสู่รุ่น เหมือนกับการต่อเปลวเทียน แม้มันจะเป็นไฟเหมือนกัน แต่มันเป็นเทียนคนละแท่ง ไฟเหมือนกันแต่มันมีลีลาปลิวเฉพาะตัว เหมือนกับการฟังการแสดงดนตรีสด ย่อมไม่เหมือนฟังจากแผ่นบันทึก
สำหรับผมคนที่แสดงธรรม โดยต้องเอาคำพูดคนอื่นมาพูดต่อ หรือคัดลอกตำรา คือสิ่งที่เรียกว่า อนันตริยกรรม คือ แสดงธรรมอันยิ่งที่ไม่มีในตน
แปลว่าพูดของที่ตัวเองยังไม่มี ยังไม่เคยเป็น คำสอนพวกนี้จึงขาดเสน่ห์หรือลูกเล่นเฉพาะตัว
สิบเดือนที่อยู่วัด ผมเจอพวกพิลึกกึกกือมากมาย บางคนมาถึงก็พล่ามวีรกรรมอาจารย์ตัวเองดีอย่างโน่นอย่างนี้ ถ้าดีจริงคุณคงไม่มีเวลามาพล่ามอยู่ข้างหน้าผมแน่ๆ มันต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างคุณถึงได้แสวงหาทางเลือกอื่นจนต้องมาถึงที่นี่ บางคนเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังงานส่วนรวมไม่เคยช่วยเหลือ ทิ้งภาระไว้เบื้องหลังให้คนอื่นรับผิดชอบ ถอดรองเท้าสะเปะสะปะ เข้าห้องน้ำไม่ราด บางคนบินมาจากเมืองจีนวันวันไม่ทำอะไรนั่งสวดมนต์กับร่ายรำศิลปะ บางคนรู้มากคุยถึงอาจารย์ไหนประเทศไหนรู้ทุกเรื่องแต่ตื่นเช้ามาร่วมทำวัตรไม่ได้ คอยหลบงานหนัก ว่างเป็นนอน บางคนก่อนบวชขยันน่ารักพอแปลงร่างสวมจีวรบิณฑบาตเสร็จนอน งานการต้องรอคนมาใช้ถึงจะขยับ บางคนกิเลสบังคับปากให้แก้ตัวได้อย่างน่าฟังว่า ผมทำตามกฏเกณฑ์วัดได้ไม่มีปัญหาแต่ผมไม่ชอบ จิตมันไม่เป็นอิสระ นี่ยังไม่รวมถึงพวกเพี้ยนๆใส่ผ้าเหลือง ที่มองว่าคนอื่นติดอารมณ์ แต่อารมณ์ตัวเองมองไม่ออก ผมเจอตั้งแต่อาทิตย์แรก เพราะผมฝึกอย่างหนักตั้งแต่วันแรกที่เข้าวัด ถูกมองว่า เพ่งมั่ง เอาจริงเอาจังมากไปไม่เป็นธรรมชาติ ต้องอย่างอาตมานี่หรือดูพระรูปอื่นนี่ เหนื่อยก็พัก ทำสบายๆ ง่วงถ้าทนไม่ไหวก็ไปนอน ผ่านมาสิบเดือนผมไม่เคยผ่อน กำลังไม่เคยตกมีแต่จะฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมขอความรู้จากพระเพียงสองรูปเท่านั้น ผมไม่เคยเห็นผ้าเหลืองอยู่ในสายตา อยากพูดอะไรก็พูดไป บางรูปพาไปโรงพยาบาลขากลับบอกให้พาเข้าร้านอาหารอยากกินหัวปลาหม้อไฟ หมอนี่สอนคนอื่นเรื่องการละกิเลสเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่เลย เคยทำทีมาสอบอารมณ์แล้วบอกว่า ผมนี่มันไม่รู้อะไรซักอย่าง บางรูปขอแวะก๋วยเตี๋ยวเรือวัดดง บางคนห้องหับสกปรกเหม็นอับไม่ทำความสะอาดบอกว่าปล่อยวาง แต่พวกนี้พูดเรื่องธรรมะได้เป็นชั่วโมงไม่ต้องพัก ที่น่าอายคือ พวกนี้ทำหน้าที่สอนชาวบ้านเรื่องความรู้สึกตัว
คนพวกนี้ไม่ใช่หรือที่เล่นเว็บคอยตอบโน่นคุยนี่เกี่ยวกับธรรมะทุกวันนี้
ผมฟังคำสอนหลวงพ่อเทียนหลายร้อยรอบ ยังไม่เคยได้ยินตรงไหนบอกเลยว่า เหนื่อยให้หยุดพัก มีแต่บอกว่าถ้าเจออุปสรรคให้แก้ไขและทำความเพียรขึ้นให้มาก สมัยหลวงพ่อเทียนเท่าที่ผมทราบฝึกวันละสิบสองชั่วโมง ทุกวันนี้ห้าหกชั่วโมงก็ป้อแป้กันแล้วทั้งพระโยม
ปัญหาของผู้ที่เข้าใจตัวเองอยู่ในระดับที่ห่างไกลจากคนอื่นคือ แล้วชีวิตนี้จะทำอะไร จะประกอบอาชีพอะไร จะเลี้ยงตัวเองอย่างไร ผมไม่สามารถหาคำตอบให้กับทุกคน ผมเพียงเขียนขึ้นจากความรู้สึกของตัวเองว่าชีวิตมันควรจะมุ่งไปทางไหน ถ้าตัดสินใจเป็นพระไปซะชีวิตก็จะเป็นแบบหนึ่ง แต่ในมุมมองของผม การเป็นพระรอให้คนเข้าไปหาในสมัยนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล ยิ่งกับคนไทยแล้วเป็นอะไรที่ได้ผลน้อยมาก เพราะคนไปหาพระไม่ใช่ไปขอให้สอนเจริญสติ แต่ไปขอให้รับสังฆทาน
ผมเคยถูกถามหรือชักชวนหลายครั้งเรื่องการบวช แต่เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในการพิจารณาเลย เพราะผมมั่นใจ และพิสูจน์แล้วว่าการบวชใส่จีวร ดำเนินตามกิจกรรมสงฆ์นั้น ไม่มีผลได้เปรียบใดใดต่อการเข้าใจธรรมแม้แต่นิดเดียว ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกจะไม่ครองผ้าเหลือง เพื่อพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็น ให้คนรอบตัวได้เห็นการเปลี่ยนแแปลงนิสัยใจคอ การพูดจา การกระทำ พระไม่ใช่สภาพหัวโล้นโกนคิ้ว แต่คือใครก็ได้ที่ตื่นจากตัวเองแล้วต่างหาก
โดยส่วนตัวนั้นผมยังมองว่าโลกนี้มีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้อีกมากมาก แต่เมื่อมองหาว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมด สิ่งนั้นคือการเข้าใจตัวเองในระดับสูง ซึ่งมันทำให้สิ่งอื่นในชีวิตกลายเป็นของกระจอก ผมควรจะเป็นสถาปนิกอย่างนั้นหรือ ตื่นเช้าไปทำงาน ฝ่าฟันอุปสรรคแต่ละโปรเจค เรียนรู้ของใหม่ไอเดียเจ๋งอยู่ตลอดไม่จบสิ้น รับเงินค้าจ้าง ดื่มด่ำเวลาแห่งความสำเร็จ และท้ายสุดรอเวลาที่คนที่เก่งกว่าจะเข้ามาแทนที่ และปลดระวางตัวเองในบั้นปลายชีวิต พูดง่ายๆก็คือ ผมรู้สึกว่าอาชีพการงานเกือบทั้งหมดบนโลกนี้ที่ผมรู้จักไม่ท้าทายอีกต่อไป มันคล้ายกันหมดคือ ทำเพื่อรับค่าตอบแทน ซึ่งค่าตอบแทนนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกดี อาจมีเหตุผลเก๋ๆว่า ชั้นทำในสิ่งที่รัก
อะไรที่ผมถนัดและรักมากกว่าสถาปัตยกรรม นั่นคือ การเจริญสติ แต่ความสามารถแบบนี้ ไม่ใช่ความสามารถในการเอาไว้ใช้หาเงินเป็นค่าตอบแทน มันเป็นความสามารถที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับจำนวนมากน้อยของเงินเดือน บางครั้งผมถามตัวเองว่าเป็นไปได้ไหมนะ ที่ชั้นจะทำงานเกี่ยวกับการเจริญสติซึ่งไม่ใช่พระ ไม่อยู่ในวัด และไม่ผูกมัดกับระเบียบพิธีใดใด แต่ยังมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้ ผมยังไม่ทราบเพราะยังไม่เคยพบเห็นคนประเภทนี้ มีอาชีพอะไรไหมนะที่ทำแล้วมีข้าวกินไปวันๆ และมีรายได้พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟ
เมื่อผมมองกรุงเทพสุดสายตาบนคอนโดของเพื่อนและบางครั้งที่สนามบิน ผมก็มั่นใจว่าผมไม่มีทางอดตายแน่ เพราะคนทั่วไปข้างล่างนั้นว่ายอยู่ในความทุกข์เกือบทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้ค่าตอบแทน แต่ผมจะมีงานทำจนสิ้นอายุขัย ผมจะไม่มีวันปลดระวางหรือเกษียณอายุ งานแบบนี้ท้าทายกว่างานที่ต้องเลิกเมื่อสังขารไม่อำนวย
คุณพ่อเคยถามผมเมื่อมองผู้คนที่ตะกายขึ้นไปไหว้พระ เบียดเสียดกันปิดทอง บริจาคโรงศพ รดน้ำมนต์ว่า จะเปลี่ยนคนพวกนี้ได้หรือ เค้าถูกสอนทำกันตามๆมาจนมันจับต้นชนปลายไม่ได้แล้ว อยู่ดีดีไปบอกว่า ไร้สาระ คงได้ชกปากกันแน่ ผมพาเพื่อนต่างชาติไปอยุธยาไปชมวัดเก่าๆ องค์พระโตๆคับวิหาร รู้สึกว่ามันน่าทึ่ง เจดีย์สัดส่วนดีมาก แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจาก ผู้คนที่กราบอย่างนอบน้อมต่อ ปูน ก้อนอิฐ และโลหะสีทอง ผมตอบคุณพ่อไม่ได้ว่าจะเปลี่ยนคนพวกนี้ได้อย่างไร แต่ผมรู้สึกว่า งานแบบนี้ท้าทายกว่าการนั่งหน้าคอมในออฟฟิสแน่ๆ
ผมโชคดีมากที่เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 25 พออายุ 30 ก็มีสติที่พอจะเอาตัวรอดในชีวิตได้อย่างพอสมน้ำสมเนื้อ ที่พูดอย่างนั้นเพราะว่า สิบเดือนที่ผมดร็อปเรียนมาอยู่ที่วัด ผมพบลุงๆป้าๆมากมาย ทุกคนมีโรคซึ่งเป็นอุปสรรคในการฝึก กินยากันทีเป็นกำมือ เช่น โรคกระดูกโรคข้อเสื่อม ทำให้นั่งเดินจงกรมไม่ได้นาน ซึ่งต่างจากผมที่ร่างกายและใจแข็งแรง เดินมันจนกว่าจะสลบไปเอง ลุงๆป้าๆเหล่านี้ มักพูดทำนองเสียดายว่า ตอนหนุ่มๆสาวๆชั้นทำอะไรอยู่นะ คนอื่นๆอาจจะเพราะผมอยู่ในวัยหนุ่มไม่มีภาระ ผมจึงกล้าเสี่ยงเดิมพันกับชีวิตแบบนี้ แต่คำตอบง่ายๆก็คือ ผมก็แค่หลงรักมันต่างหาก
ท้าทายให้ตื่น