โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ล้วนๆ ..... the pure feeling

ความรู้สึกตัวที่ผมเขียนนั้น ไม่ใช่ความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง โกรธ กระหาย กำหนัด หิว เครียด ตื่นเต้น ฯลฯ ผมถึงได้เติมคำว่าล้วนๆลงไป เป็นคำว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆ ช่วงแรกๆที่ผมเข้าใจสิ่งนี้ ผมใช้คำว่า รู้สึกกายล้วนๆ เพราะมันเป็นคนละส่วนกับจิต มันเป็นคนละส่วนกับขันธ์ห้า แต่มันก็ไม่ใช่กายล้วนๆเต็มที่นัก เพราะมันยังแยกออกจากความรู้สึกร้อน หนาว เป็นไข้ อีกด้วย

ธรรมชาติของความรู้สึกตัวชนิดนี้ คือ ความไม่สะเทือนต่อสิ่งใดใด หลวงพ่อเทียนเรียกว่า “ปกติ” เพราะมันปรกติในทุกสถาณการณ์ หลวงพ่อคำเขียนเรียกว่า “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” เพราะมันไม่โยกเอนตามจิต ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของมันไม่แปรผันตามสิ่งใดใดเลยครับ เว่ยหล่างถึงบอกว่า ต่อให้พายุวันสิ้นโลกพัดกระหน่ำจนภูเขาล้มลง ภาวะนี้จะดำรงไม่เปลี่ยนแปลง

ความรู้สึกตัวแบบนี้เกิดมาจากไหน ผมพูดได้เฉพาะจุดที่มันเกิดกับผม สำหรับคนอื่นผมไม่ทราบครับ แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าจะเห็นเหมือนกัน เมื่อเรากระตุ้นความรู้สึกตัวมาถึงจุดหนึ่งเนื่ย อะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยเราจะรู้สึกทั้งหมดเลยครับ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อย คุณจะเหนื่อยมากกว่าปรกติ เมื่อคุณง่วงคุณจะง่วงมากกว่าปรกติ เมื่อคุณเจ็บคุณจะเจ็บมากกว่าปรกติ ทำไมเป็นอย่างนั้นเพราะความรู้สึกตัวมันดีเกินไปครับ มันจึงรู้ทุกอย่างชัดเจนไปหมด เจ็บคือเจ็บจริง เมื่อยคือเมื่อยจริง ง่วงคือง่วงจริง

ด้วยความชัดของมันนั่นล่ะครับเป็นอุปสรรคในตัวมันเอง เพราะจิตมันทนไม่ไหวต่อสิ่งพวกนี้ มันท้อแท้ มันอยากจะหนีให้พ้นพ้น ทำไมต้องมานั่งทรมานทรกรรมไม่เหมือนชาวบ้านอยู่อย่างนี้ ผมจะพูดสำหรับพวกใจเด็ดเท่านั้นนะครับ มันต้องคนที่มีไหวพริบครับถึงผ่านจุดนี้ได้ คนจำนวนไม่มากนักครับที่ไม่ยอมจำนนต่ออาการที่จิตทนไม่ไหวกับขันธ์ห้าที่ปรุงให้ดูกันสดสดแทบจะทนไม่ไหวแล้ว มันรู้ขันธ์ห้าชัดมากมันจึงทุกข์มาก คนที่มีปัญญาจะเฝ้ามองมันอย่างสงบเงียบแล้วสังเกตว่ามันทำงานอย่างไร มันดูไปเรื่อยๆครับแม้ว่ามันจะอึดอัดจิตใจอย่างมาก มันเห็นมันสังเกตความรู้สึกตัวทุกประเภทที่เกิดในขณะนั้น แล้วมันจะเข้าไปพบว่า มีความรู้สึกตัวอยู่ชนิดหนึ่ง ที่ไม่คลอนแคลนกับการปวดเมื่อย การง่วง การเจ็บ ไม่สั่นคลอนไม่ว่ารูปกายรูปใจนี้จะเป็นอย่างไร ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิด

พูดง่ายๆก็คือการฝึกที่ผ่านมาทั้งหมดก็เพื่อให้ขันธ์ห้ามันแสดงตัวออกมาทั้งหมด และเจอทางออกที่ว่า มีบางอย่างเป็นอิสระจากขันธ์ห้าอย่างแท้จริง น้อยคนครับจะเข้าถึงตรงนี้

ที่นี่มาลองดูว่า คุณรู้จักความรู้สึกตัวล้วนๆนี้จริงไหม
ธรรมชาติของมันอย่างหนึ่งของผู้ที่รู้จักมันคือ “คิดไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร” หมายความว่ายังไง เวลาที่คุณรู้สึกหิว คุณจะรู้ว่าชั้นหิว เวลาคุณโกรธคุณจะรู้ว่าชั้นโกรธ เวลาคุณอยากปล่อยอารมณ์ทางเพศคุณจะรู้ว่าชั้นอยาก เวลาคุณเจ็บคุณรู้ว่าชั้นเจ็บ เวลาคุณง่วงคุณรู้ว่าชั้นง่วง เมื่อความรู้สึกพวกนี้เกิดขึ้น คุณจะรู้โดยสันชาตญาณว่า จะต้องทำอะไรกับมัน ตามมันหรือเพิกเฉย มันยังเกิดการกระทำตามมาครับ มันยังไม่หมดกรรม อาการหรืออารมณ์ทุกอย่างที่เกิดกับคุณแล้วคุณรู้ว่าคุณรู้อะไร และจะตอบสนองมันอย่างไรนั่นล่ะครับ “ไม่ใช่” ความรู้สึกล้วนๆครับ

ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ผมเขียนนี้ มีข้อสังเกตง่ายๆก็คือ เมื่อคุณรู้สึกมัน คุณจะบอกไม่ได้ว่าคุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ต่อให้ตั้งใจคิดแค่ไหน ก็คิดหรือบอกตัวเองไม่ได้ว่า ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ เป็นแบบไหนยังไง มันเป็นเพียงความรู้สึกจริงๆครับ มันล้วนก็ล้วนกันแบบจริงๆ มันบอกตัวเองไม่ได้ว่า นี่คือความรู้สึกของอะไร เมื่อบอกตัวเองไม่ได้จะไม่มีการกระทำต่อความรู้สึกตัวอันนี้ครับ มันไม่รู้จะตอบสนองอะไรกับความรู้สึกแบบนี้ มันหยุด ความคิดถูกตัดออกจากการอธิบายสภาวะ

ความรู้สึกตัวแบบนี้คือ ศีล เพราะมันสะอาดและเป็นปรกติโดยตัวมันเอง
การเข้าไปรู้ ศีล ต้องอาศัย ปัญญา
และการดำรง ศีล ต้องอาศัย สมาธิ

ศีลมันมีอยู่แล้วในคนทุกคนครับ แต่ที่ไม่มีในคนทุกคนหรือมีไม่เท่ากันคือ ปัญญา กับ สมาธิ
เมื่อคุณยังมาไม่ถึงจุดนี้ คุณจะยังแยกไม่ออกครับว่าอะไรกันแน่คือ ความต่างของ การเพ่ง และ สมาธิ เพราะสองตัวนี้ตั้งใจเหมือนกัน เพียงแต่มันเติมคำว่า สัมมา ลงไป เป็นสัมมาสมาธิ คือสมาธิถูกตัว ตามมรรคแปดน่ะครับ เข้าสู่ญาณที่สี่ เสวยสุขอยู่ด้วย นามกาย ลองไปหาอ่านดูครับ ถ้าชอบตำรา

มาลองเวิร์คชอปกันหน่อยครับ
ให้คุณยกมือคุณมาโบกไปมา ทำให้เหมือนใบไผ่ต้องลมนะครับ เบาๆช้าๆ สังเกตและจำความรู้สึกนั้นไว้นะครับ จากนั้นให้คุณยืน เดิน นั่ง นอน แล้วโบกมือแบบเดียวกันนี่ แล้วสังเกตดูว่า ความรู้สึกตัวที่เกิดขึ้นที่มือนี้เหมือนกันไหม ต่อไปให้ไปทำในห้องน้ำ บนหลังคา ที่ระเบียง ในสวน แล้วดูว่ามันเหมือนกันไหม ต่อไปให้ทำตอนโกรธ ตอนอยากได้อะไรซักอย่าง ตอนหิว แล้วดูว่ามันเหมือนกันไหม ต่อไปให้ทำตอนป่วย ตอนเหนื่อย ตอนง่วง สังเกตเอาเองว่าทุกครั้งที่โบกมือเบาๆไหวๆแบบนี้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหมือนกันไหม

ผมไม่ได้ให้คุณทำหรือสร้างความรู้สึกนะครับ ให้สังเกตความเป็นจริงของมัน

เมื่อไหร่ที่คุณเห็นความรู้สึกตัวแบบหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนมีสภาวะจิตเป็นอย่างไร นั่นคือความรู้สึกตัวล้วนๆครับ แล้วก็ความรู้สึกตัวที่ผมเขียนสื่อนี่ไม่ใช่เป็นที่มือ แต่เป็นทั้งตัว แล้วเรามารู้ที่ความรู้สึกตัวล้วนๆนี่ทำไม ประโยชน์ของมันหรือครับ คุณจะรู้เอง

ต่อให้คุณยืนบนหน้าผาพร้อมจะกระโดดลงไปปลิดชีพตัวเอง เมื่อคุณโบกมือความรู้สึกตัวล้วนๆอันนี้ จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่คุณเคยโบกมือตอนนั่งซักผ้าเลย เมื่อคุณฝึกพัฒนาตัวนี้มากมากเข้า ความเป็นปรกติของมันแบบนี้จะช่วยชีวิตคุณไว้จากจิตที่อ่อนแอ ท้อแท้ครับ

ขอให้สนุกกับเวิร์คชอปครับ กลับไปอ่านสองย่อหน้าแรกอีกทีครับ ถ้าเห็นสมควรผมจะตอบคำถามที่ทิ้งไว้ในนี้ให้ครับ แต่อันไหนที่ไม่ตอบก็แสดงว่า ผมไม่มีปัญญาจะตอบได้หรือไม่ ก็ไม่เห็นประโยชน์ในการตอบครับ


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ