โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ตรงกลางระหว่างของคู่ ..... between duel

สภาวะนี้เกิดซักพักแล้ว แต่พึ่งเกิดความเข้าใจต่อมันครั้งแรกตอนที่กำลังนั่งเรือชมหิงห้อยอยู่ที่อัมพวา มันเห็น มันรู้ มันเข้าใจ สองตัวที่วิ่งขนานกันอยู่ มันเกาะเกี่ยวกันไม่ได้ มันเป็นของเบสิคที่สุดสองอย่างของชีวิตมนุษย์ ที่แยกขาดจากกัน

ตัวแรก คือ ความรู้สึกกายล้วนๆมันตื่นชัดเจนอยู่ตลอด สิ่งนี้ไม่มีเกิดไม่มีดับ ไม่อยู่ในกฏไตรลักษณ์
อีกตัว คือ ความคิด เกิดแล้วดับเลย ไม่มีการตั้งอยู่ เพราะไม่มีอะไรไปยึดมันให้ตั้งอยู่

สภาวะนี้อยู่ตรงกลางของสองตัวนี้ หรือจะเรียกว่าตัวที่มันทำหน้าที่เห็น เห็นล้วนๆ

มันยังคิดแต่ไม่ไปกับความคิด จะเรียกว่า เหนือความคิดก็ได้ ความคิดชักใยชีวิตไม่ได้แล้ว

ปรกติแล้วเวลาเราฝึก เมื่อเราเห็นอะไร เราจะเป็น หรือผูกอยู่กับสิ่งที่เรากำลังเห็นขณะนั้น แต่มาถึงจุดนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว มันไม่เป็นอะไรเลย ยอมรับจากใจเลยว่า ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร นึกออกเพียงคำเดียวว่า อุเบกขา มันเงียบ มันไม่โอนเอนไปข้างใดข้างหนึ่ง มันรู้สึกหมดภาระ ทุกอย่างเกิดเหมือนเดิม แต่ดับลงในทันที มันไม่เป็นอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แม้จะนั่งรถเร็วก็ไม่รู้สึกกลัว มันเพียงเห็นสิ่งที่เกิดมา แล้วมองอยู่ มันคล้ายๆจะรู้โดยไม่ต้องคิดว่า ชีวิตไม่มีทางเป็นอะไร คล้ายๆกับว่าต่อให้ตายลงไปขณะนี้ก็ไม่เป็นอะไร

โทสะโมหะโลภะ ไม่ต้องมาพูดกันแล้ว กระจอกเกิน จุดนี้ไม่ยุ่งกับของพวกนี้อีก แม้มันจะเกิดมันก็ไม่เข้าไป สติปัญญามันบังไว้ไม่ให้มันเข้าไปเกาะอารมณ์ พวกนี้

ไม่มีอะไรจะอธิบาย มันไม่ใช่เรื่องของความรู้สารพัดที่ต้องทุ่มเถียง มันเป็นเรื่องของความเป็น
มันไม่ใช่เรื่องของความว่างด้วย ความว่างแคบเกินไปที่จะไปจำกัดความต่อมัน ไม่ใช่เรื่องของการละกิเลส เพราะไม่มีอะไรจะต้องละ ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อเทียน ไม่เกี่ยวกับนิพพาน ไม่เกี่ยวกับอรหันต์ ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเหมือนเป็นสิ่งที่ช่วยผลักให้มาเข้าใจตรงนี้ พอมาถึงตรงนี้พวกเค้าก็หมดหน้าที่แล้ว

มันไปเกินเรื่องของความไม่ทุกข์ มันเหมือนเป็นอิสระต่อสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเอง ไม่มีความดีใจ มีแต่ความตื่นเนื้อตื่นตัว และไม่กลัวชีวิต

ความรู้แบบวิปัสสนู ความรู้แบบจินตญาณ หายไป มันคล้ายๆจะพูดได้ว่า มันเหลือแต่ความล้วนๆ

ใครที่บังเอิญได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนขึ้น แล้วสนใจอยากทดสอบดู บอกได้เพียงว่า มีเพียงสองสิ่งที่ต้องฝึก
หนึ่ง ให้เห็นความรู้สึกกายล้วนๆให้ชัด
สอง ให้เห็นความคิดล้วนๆให้ชัด

เมื่อการเห็นต่อสองตัวนี้ชัดขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง มันคล้ายๆกับการชักกะเย่อ ที่สองด้านมีแรงเท่ากัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เชือกจะเริ่มขาดออกจากกัน






ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป