โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

อ่อน



     อ่อนผมเข้าใจว่ามันขึ้นอยู่กับคนครับ อย่างพี่มีวุฒิภาวะมาก ผ่านความผิดพลาดมามาก พี่จึงมองสิ่งเหล่านี้ออกได้ง่ายกว่าคนอายุน้อย และผมเข้าใจเอาเองว่า คนเรามีปัญญาต่างกันครับ คนที่เค้าค้าน ไม่ได้หมายความว่า เค้าโง่ แต่เค้ายังไม่เข้าใจแก่นของมันเท่านั้นเองครับ เค้าเข้าไปในความคิด คนที่รู้จักความคิดผมมั่นใจเลยว่า เค้าจะไม่พูดอะไรฟันธงส่งเดชเรื่อยเปื่อย เรื่องตัดสินอะไรถูกผิดจากความคิดตัวเองนี่ ไม่มีทางครับ นอกจากเรื่องของสัจธรรมแท้ที่เค้าจะบอก พี่เคยอ่านข้อความเซนไหมครับ เค้ากล่าวว่า ผู้ที่เป็นพุืทธะจะไม่สอนอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากการกลับสู่จิตเดิมแท้ พี่น่าจะทราบแล้วนะครับว่าทำไม

    พี่ทราบไหมครับว่า ทำไมผมถึงชอบเขียนสิ่งเหล่านี้ลงไปในพันทิพ ไม่ใช่ว่ากำลังหาสาวก หรือกระหายศิษย์ แต่เป็นเพราะพี่กับคนที่ผมสอนเป็นหลักครับ (ผมจะเรียกตัวเองว่า เป็นครูเป็นอาจารย์พี่ก็ได้ เป็นกัลยาณมิตรพี่ก็ได้ มันเป็นเรื่องสมมต ใจผมไม่กระเทือนเลย ไม่ว่าพี่จะมองผมเป็นอะไร ในขณะที่พี่เรียนรู้เทคนิคต่างๆจากผม ผมกำลังเรียนวิธีสอนคนจากพี่ ทำยังไงให้พี่เข้าใจได้ง่ายๆ น่าหมั่นไส้ไหมครับ)

    ผมใช้กระทู้พันทิพ เป็นตัววัดความก้าวหน้าของพี่ ผมทดสอบพี่ ผ่านคนที่มาโต้แย้งกระทู้ที่ผมตั้ง ผมจะดูว่า พี่มีความหวั่นไหวหรือไม่ พี่จะสังเกตว่า ทำไมผมมันชอบทดลองเหลือเกิน การทดลองเหล่านี้ เพราะผมต้องการพิสูจน์ครับ สิ่งหนึ่งที่เกิดกับผมแล้วคือ “ความมั่นใจต่อความเป็น” ผมไม่หวั่นไหวเลยต่อคำพูดต่างๆนานาของคำค้านจากผู้คนที่คิดว่า “ข้าแน่”ทั้งหลาย ผมเพียงต้องการพิสูจน์ว่า ถ้าพี่มาอย่างผม ทำอย่างที่ผมทำ “ความมั่นใจอย่างนี้” จะเกิดขึ้นเองกับพี่เองเฉกเช่นผมหรือไม่

    ผมมั่นใจมากว่า มันต้องเกิดกับพี่แน่นอน และจากอีเมล์ของพี่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า พี่เป็นอย่างผม โดยที่ผมไม่เคยไปชี้ทางให้พี่เลย พี่รู้มันขึ้นเอง พี่เป็นไปเอง พี่ไม่ศรัทธาข้อความจากการอ่านเอาอีกแล้ว ธรรม คือการเข้าใจด้วยการสัมผัส หรือที่ผมเรียกว่าการเป็น พี่ก็ตามผมมา โดยผมบอกพี่แต่เพียงว่า “จงรู้สึกตัว และดูความคิด” แค่นั้นเอง

    ทำไมผมจึงสนใจตรงนี้ เพราะว่า ผมมีโอกาสได้อ่าน ข้อความจากศิษย์ของหลวงพ่อเทียนคนอื่นมาบ้างจากลานธรรม (เรียกว่า ศิษย์พี่ก็แล้วกัน) ผมไม่ทราบว่าเค้าเหล่านั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน ผมไม่เคยรู้จัก แต่ผมแปลกใจมาก ที่สิ่งที่ผมเขียนออกมากับสิ่งที่ผมได้อ่านจากคนเหล่านั้น แทบจะเป็นคำพูดเดียวกันเลย บางประโยคใช้คำเหมือนกันเสียด้วยซ้ำ แม้แต่ลักษณะของการอธิบาย ถ้าจับเอาแก่นจริงๆนะครับ เป็นสิ่งเดียวกันโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดใคร่ครวญเลย แม้แต่พี่บางคนที่เรียกตัวเองว่า เป็นศิษย์มีครู ลองมาทุกกรรมฐาน เค้าก็ยังสอนผม ในสิ่งเดียวกันนั่นเอง คือเรื่อง ดูความคิดและรู้สึกตัว เท่านั้น

    ผมจึงมั่นใจมากว่า ลักษณะอย่างนี้ พี่จะต้องเป็น และพี่ก็เป็นจริงๆ ไม่มีอะไรที่ต้องสงสัยให้ต้องพิสูจน์อีกแล้ว กับเรื่องนี้ ผมจึงเข้าใจว่า ธรรม จะรู้เหมือนกัน เป็นเหมือนกัน ขอให้ทำให้ถูกวิธีเท่านั้น

    ผมเข้าใจเอาเองว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้เราสนิทกันมากขึ้น แม้วัยของเราจะต่างกัน แต่พี่คงจะเป็นห่วงผม เวลามีใครมาโจมตีผม มันคงเหมือนเวลาที่ใครมารังแกน้องของพี่ แต่ขอให้พี่ทราบว่า ผมไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่า การเฝ้าดู เฝ้าเรียนรู้ความคิดของตัวเอง ผมนี่ก็มีคนเป็นห่วงไม่น้อยนะครับ พี่บางคนที่เค้าไปไกลกว่าผม เค้าก็สอนผมให้รู้จักใช้โอกาสนี้เรียนรู้ตัวเอง ซึ่งมันเยี่ยมที่สุดเลยครับ ทุกอย่างมันดีหมดเลยครับ มันอยู่ที่ว่าเราใช้มันเป็นหรือไม่

    คนที่เค้าสอนคนเป็น เค้าจะรู้จังหวะการเข้า และการปล่อยครับ

    พี่คงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ง่าย เพราะอายุของพี่ คนเรามันแปลกครับ เรากำลังเดินไปในทิศทางเดียวกัน แต่อย่ามีใครมานำหน้าเรา อย่ามีใครมารู้ดีกว่าเรา อย่ามีใครมาตีความคิดความเชื่อของเรา
    จากคุณ : koknam   - [ วันปิยมหาราช 23:30:09 ] 

 
 

       ความคิดเห็นที่ 1 

      มาเรื่องปฏิบัตนะครับ

      พี่ถามว่า สภาวะระหว่างฝึกปฏิบัตกับระหว่างวันที่ใช้ชีิวิตธรรมดา ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ ผมจะตอบในสิ่งที่ผมเป็นนะครับ ใช่ครับ สิ่งที่เกิดกับผม สภาวะทั้งสองลักษณะไม่เหมือนกันครับ

      ในระหว่างการฝึกแบบเข้ารูปแบบนั้น ความตั้งใจจะมุ่งไปที่ ความรู้สึกตัว และ การเฝ้าดูความคิดเท่านั้นครับ คือไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมันจะอยู่เหนือสภาวะที่เกิดขึ้นนั้นๆครับ ผมจะยกตัวอย่างให้พี่เข้าใจนะครับ เมื่อพี่ทำแล้วเกิด ง่วงขึ้นมา ตัวรู้ที่ฝึกมาดี จะอยู่เหนือการง่วงครับ คืออาการง่วงดำเนินไปครับ แต่ตัวรู้สภาวะวิ่งขนานไปด้วยกันครับ คือปรกติเวลาเราง่วง เราจะอยากนอนหรือไม่ก็ฝืนไว้ใช่ไหมครับ แต่ตัวรู้ ที่ผมกำลังพูดนี่ไม่ใช่อย่างนั้นครับ การที่เรารู้อยู่บนสภาวะมันไม่ไปครับ มันง่วงแต่มัน not go away with ความง่วงครับ พี่พอเข้าใจไหมครับ

      และ “ทุกอย่าง” ที่เกิดขึ้น จะอยู่ภายใต้การรู้สึกทั้งหมดเลยครับ อันนี้ว่าในเรื่องของขณะเข้ารูปแบบฝึกฝนนะครับ ในรายละเอียดพี่จะเข้าไปตะลุยรู้เองแน่นอน


      เมื่อไม่เข้ารูปแบบ ผมก็ฝึกของผมอยู่เสมอ คือมันเป็นนิสัยไปแล้วครับ ที่คอยดูจิตใจว่ามันกำลังเอนไปทางไหน มันมาไม้ไหน มันซ่าคิดอะไรแผลงๆขึ้นมาอีก ผมมีปัญหากับตรงนี้มาก เพราะผมเรียนมาทางสถาปัตย์ ผมชอบคิดดีไซน์ อะไรของผมไปเรื่อยๆ ความคิดผมจึงไม่ใช่ลักษณะ โทสะ โลภะ มากนัก แต่จะหนักไปทาง โมหะ เพราะมันเข้าไปในความคิดครับ มันวาดมโนภาพไปเรื่อยๆ มันออกแบบนี่โน่นไปสารพัด ไอ้พวกอะไรเว่อร์ๆ สร้างไม่ได้ง่ายๆ นี่ผมถนัดมาก เมื่อไหร่ที่ผมหลุดจาก การดูความคิดและรู้สึกตัว ผมจึงหลุดเข้าไปในโลกของความฝัน ลักษณะอย่างนี้ยังเกิดกับผมครับ แต่มันสั้นลงครับ หมายความว่า ความคิดมันไม่ไปไกลๆครับ ถ้าเอาเวลามาจับอย่างนานที่สุด น่าจะไม่เกิน 30 วินาทีครับ

      พี่น่าจะมีปัญหาตรงนี้เหมือนผมใช่ไหมครับ หมายความว่า ชีวิตฆราวาส มันจะถูกแบ่งเป็น 2 อย่างใหญ่ๆ คือ ช่วงปฏิบัต กับช่วงไม่ได้ปฏิบัต ทั้งสองช่วงนั้นก็ยังฝึกฝนอยู่

      เมื่อก่อนนั้นผมเคยเข้าใจเอาเองว่า เราต้องปรับสภาวะที่เกิดในช่วงปฏิบัต ให้มาเกิดกับช่วงไม่ปฏิบัตให้ได้ ถึงจะเรียกว่า มีสติ สำหรับผมนั่นคือสติปัญญาของคนในระดับ not yet understand ครับ ซึ่งเป็นที่มาที่ผมใช้คำพูดว่า “ยื้อสภาวะ”

      หัวใจของมันไม่ใช่การลากความรู้สึกตัวให้มีอยู่แบบเดียวไปนานๆครับ แต่มันคือ การรู้สึกถึงความรู้สึกทุกแบบที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุด และที่สำคัญมากคือ การไม่ไหลเข้าไปในความคิดครับ

      คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจครับ ผมเองก็เคยไม่เข้าใจ การไม่ไหลไปกับความคิดไม่ได้หมายความว่า ห้ามไม่ไห้คิด (ตรงนี้สำคัญมากนะครับพี่อ่านดีๆ) มันหมายถึง พี่จะคิดหรือไม่คิดก็ได้ แต่ให้ตัวรู้ลอยอยู่เหนือความคิด แต่โดยมากตามกลไกธรรมชาติ เมื่อพี่ไปอยู่เหนือความคิด ความคิดจะจบตัวเองครับ มันไปไม่ได้ครับ เหมือนกับที่พี่ หายใจไปพร้อมกับกลืนน้ำลายไม่ได้ไงครับ แต่มันก็มีข้อยกเว้นกับการตั้งใจคิดเรื่องการเรื่องงานนะครับ ผมมั่นใจมากกว่า ตรงจุดที่ตัวรู้นี้ลอยอยู่เหนือสภาวะ พี่จะยังไม่เข้าใจ เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นกับพี่

      เมื่อผมกำลังตั้งใจคิดเรื่องการงานของผม ผมก็ไม่ได้สนใจจะไปรู้สึกตัวหรือดูความคิด แต่ในระหว่างนั้นเมื่อมันมีความคิดประเภท “ปวดหัวแล้วเว้ย” “ยากชิบเป๋ง” “เลิกดีก่า” มันจะรู้ทันทีครับ และมันจะไม่ไปกับความคิดเหล่านั้น นอกจาก “ปวดฉี่” “หิืวข้าว” สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นความรู้สึกก่อน แล้วค่อยแปลออกมาในรูปของความคิด คืออันนี้ ร่างกายมันต้องการจริงๆครับ ไม่ใช่มาจาก โทสะ โมหะ โลภะ

      ผมเข้าใจเอาเองว่าพี่จะเข้าใจนะครับ

      จงดูตัวเองอยู่ทุกขณะครับพี่ ผมฝึกอยู่เสมอ ผมจึงไม่ค่อยมีเวลาไปพิจารณาใครมากนัก เพราะผมดูตัวผมเอง อัตตาที่ผมเห็นจึงเป็นของผม ผมไม่ได้ไปมองเห็นอัตตาของคนอื่น ข้อเสียที่ผมเห็นจึงมีแต่ของผม สิ่งที่ผมตอบพี่มาจากสิ่งที่ผมเป็น เข้าใจกันนะครับ

      เมื่อไหร่ที่พี่เริ่มโจมตีคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวพี่เอง เมื่อไหร่ที่ข้อผิดพลาดที่พี่เห็น ไม่ใช่ข้อผิดพลาดของพี่ พี่จงสำเนียกไว้เลยครับว่า พี่ยังอ่อนมาก ในสายตาของผม แม้ว่าภูมิความรู้ของพี่จะมากมายล้นฟ้าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เห็นความคิดตัวเอง ไม่เข้าใจความคิดตัวเอง เข้าไปในความคิด  เที่ยวสอนชาวบ้านโดยตัวเองยังมิได้เป็น เชิญตามสบายครับ เพราะอย่างไรเสีย คนที่เค้ามีปัญญาเค้าก็มองออกกันอยู่ดี

      เราจะใช้ตัวหนังสือทำร้ายกันแค่ไหนก็ได้ โกหกอย่างไรก็ได้ ในโลกของอินเตอร์เน็ตแบบนี้ แต่สิ่งที่มันโกหกไม่ได้ คือ ความรู้สึกที่เป็น มันรู้สึกได้แค่อย่างที่มันเป็นเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันจะโง่เง่าสักแค่ไหน ผมจิตนาการไม่ออกเลยว่า เมื่อเราไม่ได้เป็น แต่เราไปเที่ยวพยายามบอกตัวเองและคนอื่นๆว่า เราเป็น



      ขอวันนี้ของพี่สวยงามต่อไปครับแก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 49 00:15:07

      จากคุณ : koknam   - [ วันปิยมหาราช 23:30:37 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 2 

      ดูจากถ้อยคำที่คุณก๊อกน้ำใช้แล้ว  เหมือนจะเคืองนิดๆ ไม่พอใจหน่อยๆ ที่มีคนคอยค้านอยู่ในกระทู้ที่คุณโพสต์นะครับ

      "....เมื่อไหร่ที่พี่เริ่มโจมตีคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวพี่เอง เมื่อไหร่ที่ข้อผิดพลาดที่พี่เห็น ไม่ใช่ข้อผิดพลาดของพี่ พี่จงสำเนียกไว้เลยครับว่า พี่ยังอ่อนมาก ในสายตาของผม แม้ว่าภูมิความรู้ของพี่จะมากมายล้นฟ้าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เห็นความคิดตัวเอง ไม่เข้าใจความคิดตัวเอง เข้าไปในความคิด  เที่ยวสอนชาวบ้านโดยตัวเองยังมิได้เป็น เชิญตามสบายครับ เพราะอย่างไรเสีย คนที่เค้ามีปัญญาเค้าก็มองออกกันอยู่ดี

      เราจะใช้ตัวหนังสือทำร้ายกันแค่ไหนก็ได้ โกหกอย่างไรก็ได้ ในโลกของอินเตอร์เน็ตแบบนี้ แต่สิ่งที่มันโกหกไม่ได้ คือ ความรู้สึกที่เป็น มันรู้สึกได้แค่อย่างที่มันเป็นเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันจะโง่เง่าสักแค่ไหน ผมจิตนาการไม่ออกเลยว่า เมื่อเราไม่ได้เป็น แต่เราไปเที่ยวพยายามบอกตัวเองและคนอื่นๆว่า เราเป็น ..."


      เอาน่า  คนเราต่างจิตต่างใจครับ  อย่าไปถือสาเลย  ตอนนี้เห็นบอกว่าอยู่ต่างประเทศเหรอครับ  ประเทศไหนล่ะ  เยอรมันเหรอครับ

      จากคุณ : Mr. Reasonable Doubt  - [ 24 ต.ค. 49 00:56:32 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 3 

      _/\_

      จากคุณ : ทำเหตุ  - [ 24 ต.ค. 49 09:36:36 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 4 

      ไร้คำบรรยาย....กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...
       
       


      จากคุณ : สวรรค์รำไร   - [ 24 ต.ค. 49 10:55:22 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 5 

      " ..... คนที่เค้ามีปัญญาเค้าก็มองออกกันอยู่ดี .... "


      น้องเอ๋ย ....... แกนะกลายเป็น"พี่" ไปซะแล้ว

      ใคร ๆ ก็มองออก ........


      ( มาจากกระทู้ไหนเนี่ย )

      จากคุณ : ฟ้าคำนวณ  - [ 24 ต.ค. 49 12:23:46 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 6 

      ดูอะไรๆ ก็ไม่มี
      ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ มีแต่รู้
      ถ้าปล่อยให้มันว่าง ต่างไม่ดู
      ทั้งตัวรู้ ตัวดู ก็หายไป

      [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 24 ต.ค. 49 13:31:01 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 7 

      ไม่เข้าใจอ่านแล้วงง ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง  มหากาพย์เรื่องราวระหว่างคุณ koknam กับพี่คนนั้นทำไมถึงทำให้ชาวบอร์ดหลายๆคนงงได้ขนาดนี้หนอ  
         จะว่าเป็นเรื่องลับก็ไม่ลับเสียทีเดียว  จะว่าเป็นเรื่องแจ้งมันก็ไม่แจ้งเสียทีเดียว ทำไมเอาเมล์ในที่ลับมากล่าวถึงในที่แจ้ง  แล้วเรื่องปัญหาในที่แจ้งทำไมไปแอบคุยกันแบบลับๆ  มันยังงัยกัน
         ผมว่าถ้าจะคุยกันแบบลับๆก็ให้ลับไปเลยดีกว่าครับ จะหลังไมค์หรือจะเมล์หรือจะเอ็มก็ว่ากันไป หนุงหนิงกันสองคน คนอื่นจะได้ไม่งงกับข้อเขียนของคุณkoknam บางช่วงบางตอนที่กล่าวถึงพี่คนนั้น   หรือถ้าจะให้แจ้งก็เปิดเผยปัญหาของพี่คนนั้นออกมาเลยก็ดีนะครับ เขาติดปัญหาตรงไหนคนที่มีปัญหาแบบเขาจะได้รู้ว่ามีปัญหาเหมือนกัน และก็จะได้เข้าใจวิธีแก้ปัญหาจากคุณkoknam ด้วยไปในที่แจ้งตรงนี้เลย จะได้ไม่งง  คือรู้ทั้งปัญหารู้ทั้งวิธีแก้คุยกันให้เป็นสาธารณกุศลไปเลย ดีกว่าไหมครับ  พี่คนนั้นคือใครเอ่ย.? ยอมรับมาซะดีๆนะ






      ----------------------------------------------------------
        เราจะใช้ตัวหนังสือทำร้ายกันแค่ไหนก็ได้ โกหกอย่างไรก็ได้ ในโลกของอินเตอร์เน็ตแบบนี้ แต่สิ่งที่มันโกหกไม่ได้ คือ ความรู้สึก
      จากคุณ : koknam
      ----------------------------------------------------------
         จริงด้วยเนอะ  อย่าทำร้ายกันด้วยตัวหนังสือดีกว่าถึงเวลาก็ตายด้วยกันทั้งนั้น "รักกันไว้เถิด เราเกิดโลกเดียวกัน"  เก็บความรู้สึกที่ดีระหว่างกันไว้ดีกว่า วาสนาบารมีคนเรามันต่างกันจะให้เขาเป็นเหมือนกับที่เราเป็นมันคงจะยากแม้แต่พี่น้องท้องเดียวกันยังแตกต่างกันตั้งมากมายประสาอะไรกับคนที่อยู่กันคนละมุมโลกเล่าเนอะ....แค่ปราถนาดีต่อกัน  ส่งความรู้สึกดีๆให้กัน ไม่อยากให้เธอหนาว ไม่อยากให้เธอร้อน ไม่อยากให้เธอทุกข์แค่นี้ก็สุขใจเราแล้วเนอะ...โชคดีครับ  หวังว่าพี่คนนั้นคงจะคิดเหมือนที่ผมคิดนะครับ
       
       ขอความสุข สดชื่น เบิกบาน มีแก่ทุกๆท่านในเร็ววัน
       
       


      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 24 ต.ค. 49 13:37:52 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 8 

      พี่คนนั้นก็คือ ผมเองครับ คุณวัชรดาลา :)

      ฉลาดมากนะครับ
      ที่ไม่สานต่อความเห็นของคุณในกระทู้ต่างๆ

      แต่

      "คนมีปัญญา เขาก็ดูกันออกอยู่แล้วครับ "

      จริงไหม คุณวัชรดาลา :)

      -------

      "เจตนา " คุณต่างกับน้อง koknam ครับ

      แม้ข้อความของคุณ koknam ดูเหมือน หยิ่งยะโส อย่างไรก็ตาม
      แต่ เจตนา ของคุณ koknam ต้องการให้ ผู้อื่นพ้นทุกข์
      ได้จริงๆ ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเขาเอง

      แต่สำหรับ คุณวัชรดาลา
      คุณต้องการที่จะ discredit คุณ koknam
      มากกว่า ที่จะให้เขา ได้ พ้นจากทุกข์ จริงๆ

      สิ่งนี้ ปรากฎ อยู่ในข้อความในกระทู้ทั้งหมด ที่คุณ
      เขียนถึงคุณ koknam

      ที่คุณเข้าใจว่ากำลัง "สอนให้พ้นทุกข์" นั่นล่ะครับ

      จริงหรือ ครับ คุณต้องการให้คุณ Koknam พ้นความทุกข์

      หรือว่า เขาไปทำให้ ผู้อื่นซึ่งเคยนับถือคุณ
      มานับถือเขาครับ ?

      ผมก็ขอตบหัวแล้วลูบหลังแบบคุณบ้างว่า
      ก็ "สมานฉันท์" กันเถิด จริงไหมครับ ไม่มีใครต้อง
      การความทุกข์กันอยู่แล้ว

      ว้า ผมพลาดแล้ว ผมกลายเป็น ไก่อ่อน แล้ว
      เพราะ ผมไม่น่าทำแบบเดียวกับคุณเลย :)

      จากคุณ : มัชฌิม  - [ 24 ต.ค. 49 21:49:15 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 9 

      "คนมีปัญญา เขาก็ดูกันออกอยู่แล้วครับ "
      จากคุณ : มัชฌิม  - [ 24 ต.ค. 49 21:49:15 ]

      จริงครับ

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 25 ต.ค. 49 09:05:59 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 10 

      .. _/\_ ..

      ขอสาธุด้วยมุทิตาจิตต่อถ้อยธรรมแสดงของท่าน koknam

      จากคุณ : JohnMar   - [ 25 ต.ค. 49 11:52:48 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 11 

      ชักจะไปกันใหญ่   ความตั้งใจเมื่อได้อ่านกระทู้นี้คราวแรกว่าจะไม่ตอบอันจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืดเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันต่อไปอีก   แต่พอมาอ่านความคิดเห็นที่8ของคุณ มัชฌิม แล้วสะดุดใจเหลือเกินเพราะยังมีความเข้าใจผิดระหว่างกันอยู่มาก

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 15:17:34 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 12 

      ประเด็นที่1.
      เขาไปทำให้ ผู้อื่นซึ่งเคยนับถือคุณ
      มานับถือเขาครับ ?
      จากคุณ : มัชฌิม
      -----------------------------------------------------

          ท่านคงเข้าใจอะไรผิดไปมาก  ข้าพเจ้าเพิ่งจะเข้ามาในโลกไซเบอร์นี้แค่สองปีกว่า ส่วนห้องศาสนาพันทิพนี้ได้เพียงราวปีเศษๆ และข้าพเจ้าก็มิได้ตั้งกระทู้เสียมากมาย ที่สำคัญไม่เคยมีใครแสดงตนว่านับถือข้าพเจ้า  ด้วยความที่แสดงตนน้อยและเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย จำได้ลางๆว่าโพสครั้งแรกใช้บัตรผ่านในนาม "กะลาเรปะ"  ต่อมาก็ "ชีปะขาว" "ธรรมธารา"  "กุศลวาโย" "กะเรนขาว" "ดอยขาว" และบัตรผ่านอีกหลายๆชื่อที่ใช้กับหว้ากอและสวนลุม  แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใดที่จะมีใครมาแสดงความนับถือข้าพเจ้าอย่างออกหน้าออกตา

          ดังนั้นประเด็นที่ว่าใครจะนับถือใคร ใครจะแย่งศรัทธาใครจึงเป็นอันตกไป และที่สำคัญคือ ตราบใดที่ท่านยังมีความเป็นพุทธในจิตวิญญาน  กรุณาอย่าได้กล่าวประโยคเช่นนี้อีก  เพราะมันแสดงถึงจิตใจใฝ่ต่ำที่คิดในเรื่องความอิจฉาริษยาระหว่างเพื่อนมนุษย์  เป็นการไม่สมควรที่มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าประเสริฐแล้วทางความคิดจะแก่งแย่งกันด้วยเรื่องของความนับหน้าถือตา....จงทำลายอกุศลจิตในทำนองนี้ของท่านเสีย "มัชฌิม".แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 49 15:46:59

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 15:32:10 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 13 

      ประเด็นที่สอง
      คุณต้องการที่จะ discredit คุณ koknam
      มากกว่า ที่จะให้เขา ได้ พ้นจากทุกข์ จริงๆ
      จากคุณ : มัชฌิม
      ---------------------------------------------------------

          "มัชฌิม" ผู้ที่เรียกตนเองว่า เป็นกลาง  ไม่ควรมีความคิดที่อคติเอียงข้างเช่นนี้อันเป็นความคิดแบบโลกๆ  ข้าพเจ้าเข้ามาในโลกไซเบอร์เพราะเป็นเพียงแค่ทางผ่านแวะพักชั่วคราวเท่านั้นอีกไม่นานข้าพเจ้าก็ต้องเดินทางต่อไป เมื่อเราได้พบกันบนสังคมแห่งนี้ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าพอจะช่วยบรรเทาทุกข์ทางจิตใจของพวกท่านได้ ข้าพเจ้าก็ปราถนาจะทำโดยไม่หวังเครดิตใดๆจากใคร  หนทางใดที่เป็นทางไปสู่ความสว่างแจ้ง ข้าพเจ้าก็ปราถนาจะบอกแก่พวกท่านตามฐานาฐานะและปัญญาของแต่ละคนที่ควรจะได้เรียนรู้
             ท่าน koknam ไปสร้างเครดิตไว้เสียหลายที่หลายสถานบนโลกไซเบอร์ มีผู้นิยมชมชอบมากมาย เอาธรรมะของท่านkoknamไปเผยแผ่ก็มาก  หากข้าพเจ้าจะดิสเครดิตจริงก็คงตามไปราวีเสียทุกที่แล้ว    แต่ความจริงข้าพเจ้าอยู่แต่ห้องศาสนาของพันทิพและลานธรรมเท่านั้น แต่ที่ลานธรรมข้าพเจ้าก็มิได้โพสข้อความอันไม่จำเป็นใดๆลงไปให้มากความ

         ดังนั้นประเด็นเรื่องการดิสเครดิตกันก็เป็นอันตกไป

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 15:45:48 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 14 

      ประเด็นที่สาม
      เจตนา ของคุณ koknam ต้องการให้ ผู้อื่นพ้นทุกข์
      จากคุณ มัชฌิม
      ------------------------------------------------------

         ข้าพเจ้าเข้าใจในเจตนาของท่านkoknam..แต่   ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านkoknam จะพาผู้อื่นพ้นทุกข์ได้จริง และข้าพเจ้าก็ยิ่งห่วงพวกท่านมากขึ้นไปอีกเมื่อเสิทร์ดูพบว่า มีหลายคนที่เอางานเขียนของท่านkoknamไปเผยแผ่เพราะเห็นว่าถูกกับใจตน  ถูกอัธยาศัยของตนแต่มิได้สอบทานกับพระไตรปิฏก  พวกท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านkoknam มีทัศนคติต่อ ความดับทุกข์หรือ"นิพพาน"ที่แท้จริงอย่างไร
          กรุณาตามไปอ่านที่ลิงค์นี้ให้ละเอียดโดยเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกแล้วพิจารณาดูว่า  "นิพพาน"ที่ท่านkoknam สาธยายผิดแผกแตกต่างกับธรรมวินัยมากน้อยเพียงใด
      http://last-aekk.blogspot.com/

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 15:57:46 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 15 

      สุดท้าย....การได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านธรรมใดๆ จากที่หนึ่งที่ใดก็ดี  จากผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี
      แม้ว่าจะทำให้เราเกิดศรัทธาได้ในเบื้องต้น
      แม้ว่าท่านจะถูกอัธยาศัยกับผู้แสดงธรรมนั้นก็ดี
      แต่ในเมื่อสิ่งศรัทธาสูงสุดของพวกท่านคือพระพุทธองค์
      จึงควรอย่างยิ่งที่จะยึดเอาพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เป็นบรรทัดฐาน
      แม้เขาจะมิตรที่รักของเรา
      แม้เขาจะเป็นครูของเรา
      แต่ถ้าธรรมที่เขาแสดงลงไม่ได้กับธรรมวินัยทั้งหมด
      จะแตกต่างในเบื้องต้นก็ดี
      จะแตกต่างในเบื้องปลายก็ดี
      พึงระมัดระวังในการปฏิบัติตามธรรมของบุคคลนั้น
      ความรักในฐานะกัลยาณมิตรก็ส่วนหนึ่ง
      ความตรวจสอบให้ถูกต้องกับพระธรรมคำสอนก็อีกส่วนหนึ่ง
      อย่าเอามาปนเปกัน เพราะรักบ้าง เพราะชังบ้าง....ไม่สมควร.

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 16:06:59 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 16 

      ความคิดเห็นที่ 12
      ...... เพราะมันแสดงถึงจิตใจใฝ่ต่ำ.....
      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 15:32:10 ]
      ..................................................
      ความคิดเห็นที่ 14
      .....ข้าพเจ้าก็ยิ่งห่วงพวกท่านมากขึ้นไป......
      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 15:57:46 ]
      >>>>>>>>
      คำพูด คห 12 และ คห 14  อ่านแล้ว ไม่เข้ากันเลยครับ
      ทำไมถ้าท่านปรารถนาดี แต่ต้องใช้คำแบบนี้ด้วยแก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 49 16:08:19

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 25 ต.ค. 49 16:07:01 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 17 

      " นมสิการ"...เธอตามไปอ่านลิงค์นั้นดูก่อนให้เข้าใจแล้วพิจารณาดูว่า หนทางที่เธอจะเดินตามท่านkoknamไปนั้นไปสุดอยู่ที่ใด  กรุณาใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

        ส่วนสภาวะจิตของท่านkoknam ข้าพเจ้าได้เคยบอกไว้ตามกระทู้ต่างๆแล้วว่าอยู่ในสภาวะใด วิธีแก้ทำอย่างไร   ที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับท่านkoknam เองว่าจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกหรือไม่....แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 49 16:14:52

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 16:10:50 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 18 

      ขอบคุณสำหรับ Link ครับ ผมอ่านแล้วครับ

      ถ้าเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ใครที่ชอบข้างผัด ก็คงสั่งข้าวผัด  ใครที่ชอบก๋วยเตี้ยว ก็คงสั่งกัวยเตี๋ยว  ถ้าถามว่า คนสั่งก๋วยเตี๋ยวผิด หรือสั่งข้าวผัดผิด  ทำไมสั่งไม่เหมือนกัน
      เรื่องเช่นนี้ ก็คงเหมือนกับทางธรรม   ใครชอบอย่างไร ถูกจริตอย่างไร ก็คงปล่อยไปทางของเขา  ป่วยการที่จะเข้าไปบังคับใครให้ชอบเหมือนเรา มันเป็นทุกข์เสียเปล่า ๆ

      ถ้าใครเห็นว่า ไม่ใช่ทาง ก็มี 2 อย่างให้เลือก คือ

      1 เตือนด้วยความปรารถนาดี แล้วอุเบกขาค่อไป ถ้าเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
      2 อุเบกขาไปเสียเลยแต่ตอนแรก ปล่อยให้เขาเดินไปตามทางของเขาเอง

      ผมอยากเสนอแนวทางให้คุณวัชรดาลาเพื่อโปรดพิจารณา
      ดังนี้
      ในเมื่อคุณก็เตือนแล้วว่า ข้อเขียนของคุณ Koknam เป็นเช่นไรที่ไม่ตรงกับความเห็นของคุณ   ก็น่าจะถึงเวลาอุเบกขาต่อไป  ปล่อยให้คนที่เข้ามาอ่านคิดเอง พิจารณาเอง จะไม่ดีกว่าหรือครับ  ถ้าเขาเชื่อก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของเขา  ถ้าเขาเชื่อคุณวัชรดาลาว่าสิ่งที่คุณเขียนถูกต้องและของคุณ Koknam ผิดพลาด เขาก็จะไม่อ่าน ของคณKoknam ต่อไปเอง  คุณวัชรดาลาก็น่าจะเขียนอะไรที่เป็นการเผบแพร่ธรรมที่คุณรู้ในกระทู้ของคุณเองจะดีกว่าการเข้าไปเสริมในกระทู้ต่าง ๆ ของคุณ koknam  อันที่ผู้อ่านบางคนที่ศรัทธาต่อคุณ Koknam อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีที่คุณเขียนเสริมนั้นเลย

      แล้วผมจะติดเตามอ่านข้อเขียนของคุณครับ ที่ต่อจากเรื่อง ธรรมชาติ หรือ ชื่อคล้าย ๆ อะไรนี้แหละ ที่ คุณกับคุณพระเจ้ารักฉัน  ก็มีทะเลาะกันมาแล้วในกระทู้ของคุณนั้น
      ผมหวังว่า คุณวัชรลาดาคงพิจารณานะครับ  ขอบคุณครับ

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 25 ต.ค. 49 16:54:56 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 19 

      ดอยขาว คือ คุณวัชรดาลา เองหรือครับ :)

      ----

      ทำไมจะรีบไปล่ะครับ

      คุณว่า ได้สรุปวิธีแก้ คุณ koknam ไปแล้ว

      กระโดดบันจี้จั๊ม หรือ

      ไม่ใช่ล่ะมั๊ง? มาวิเคราะห์กันไม่ดีกว่าหรือครับ
      จะได้ "เข้าใจให้ถูกต้อง" อย่างที่คุณ บอกว่า

      ผมเข้าใจผิดอย่างมาก  คุณไม่อยากให้ ผมพ้นทุกข์ หรือครับ

      ไม่เอาน่า มาคุยกันต่อดีกว่า

      จากคุณ : มัชฌิม  - [ 25 ต.ค. 49 19:47:03 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 20 

      I join it. Sometime it is funny, right ? (but not so much)


      ท่าน koknam ไปสร้างเครดิตไว้เสียหลายที่หลายสถานบนโลกไซเบอร์ มีผู้นิยมชมชอบมากมาย เอาธรรมะของท่านkoknamไปเผยแผ่ก็มาก

      -really? Am I poppular?


      เอาธรรมะของท่านkoknam.....
      - "ธรรมะ" belong to me?


      ส่วนสภาวะจิตของท่านkoknam ข้าพเจ้าได้เคยบอกไว้ตามกระทู้ต่างๆแล้วว่าอยู่ในสภาวะใด วิธีแก้ทำอย่างไร   ที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับท่านkoknam เองว่าจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกหรือไม่....

      -You know about my Spirit condition better than I ?
      strenge !      I have never known about The Spirit Condition of other people.


      "นิพพาน"ที่ท่านkoknam สาธยายผิดแผกแตกต่างกับธรรมวินัยมากน้อยเพียงใด

      - when I have explained it "สาธยาย" ? (one time about 2 year when I was in Wipasanoo ? Have you read it, it is very funny.)

      -and  I don't care about ธรรมวินัย. I am a normal guy not a monk. I study Thamma for understanding my life not for speaking or for discussion.


      OK enough not anymore.

      and P' krab stop to speak go back to see yours.
      It is normally, that write something in public area, and many comment, right? You are adult enough to understand it, right?

      Let child play, what he want.

      Good Case study. See him and not make like him.

      If you really know, what "took" mean, you will not make it to happen on other people. If you don't understand "took", you will do it to happen on you and the other.




      Have a nice day.

      จากคุณ : koknam   - [ 25 ต.ค. 49 21:19:25 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 21 

      ปุจฉา
      ถ้าเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ใครที่ชอบข้างผัด ก็คงสั่งข้าวผัด  ใครที่ชอบก๋วยเตี้ยว ก็คงสั่งกัวยเตี๋ยว  ถ้าถามว่า คนสั่งก๋วยเตี๋ยวผิด หรือสั่งข้าวผัดผิด  ทำไมสั่งไม่เหมือนกัน
      เรื่องเช่นนี้ ก็คงเหมือนกับทางธรรม   ใครชอบอย่างไร ถูกจริตอย่างไร ก็คงปล่อยไปทางของเขา  ป่วยการที่จะเข้าไปบังคับใครให้ชอบเหมือนเรา มันเป็นทุกข์เสียเปล่า ๆ
      จากคุณ : นมสิการ
      ----------------------------------------------------------

      วิสัชชนา
      ถ้ากัลยาณมิตรสองคนเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง คนหนึ่งสั่งก๋วยเตี๋ยว อีกคนสั่งข้าวผัด   เพื่อนคนที่สั่งข้าวผัดเห็นก๋วยเตี๋ยวมีขยะอาสวะปะปนอยู่มากจึงร้องเตือนเพื่อนด้วยความปราถนาดีว่า "แนะเพื่อน...ก๋วยเตี๋ยวของท่านมันไม่สะอาดพอนะ เป็นประโยชน์น้อย  เป็นโทษมากน้ำก๋วยเตี๋ยวก็ได้มาจากน้ำก๊อกที่มิได้ผ่านการกลั่นกรอง  อย่ากินเลย"
          ถ้าเพื่อนคนนั้นได้รับคำเตือนดังนั้นแล้วยังฝืนจะกินเพราะเห็นว่าตนเองชอบแบบนั้น  แล้วใครจะห้ามได้เล่าท่าน แต่ในฐานะกัลยาณมิตรก็ต้องตักเตือนกันก่อน  


       ประเด็นเรื่องความเห็นของใครไม่ตรงกับของใครไม่สำคัญไปกว่า ความเห็นเหล่านั้น ถูกต้องตรงไปยังความดับทุกข์ได้จริงหรือไม่

        ความรู้สึกดีๆระหว่างข้าพเจ้ากับท่านkoknam ก็ส่วนหนึ่ง
      ความถูกต้องตามธรรมวินัยเพื่อความดับทุกข์แก่สรรพสัตว์ก็อีกส่วนหนึ่ง  คุณนมสิการควรแยกให้ออก

         หากจะกล่าวถึงความรู้สึกดีๆส่วนตัวระหว่างข้าพเจ้ากับท่านkoknam ย้อนหลังไปเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าใช้บัตรผ่าน"ชีปะขาว" เมื่อยุติการโต้แย้งกับชาวธรรมกาย  ท่านkoknam ก็แสดงความห่วงใยกล่าวให้ดูแลสุขภาพ อันนั้นข้าพเจ้าก็ซึ้งในน้ำใจอยู่ และข้าพเจ้าก็กล่าวตอบไปในลักษณะเดียวกัน ตรงนั้นคือความรู้สึกดีๆในอารมณ์แบบปุถุชน   แค่คุณkoknam ก็ยังไม่เข้าใจในสภาวะของข้าพเจ้าตอนนั้นกลับคิดไปว่าข้าพเจ้าหลบบ้าง หนีบ้าง ซึ่งมันไม่ใช่แบบที่koknamเข้าใจ

         แต่มันเป็นสภาวะของการปล่อยวาง เมื่อข้าพเจ้าเมตตาสอนใครเตือนใครหากถึงที่สุดเห็นว่าไม่เป็นผลข้าพเจ้าก็จะปล่อยวางไม่ตื๊อบอกตื๊อสอนให้กิเลสกำเริบดอก  แต่การปล่อยวางปุถุชนมักจะมองเป็นการหนีปัญหา หนีโลกนั่นก็เพราะสภาวะจิตของแต่ละคนนั้นต่างกัน

          สำหรับท่านkoknam  ก็ใช่ว่าข้าพเจ้าจะอยากสอนซะเมื่อไหร่ รู้ว่าสอนยากเพราะเป็นคนรั้น แต่เมื่อkoknam ตั้งกระทู้หนึ่งขึ้นมา  แล้วกล่าวประโยคว่า  ..."ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่ขนสัตว์นรก..." (หมายถึงตัวท่านkoknamเอง)  ทำให้ข้าพเจ้าสังเวชใจเหลือกำลัง  หากปล่อยไป ชะรอยกัลยาณมิตรข้าพเจ้าคนนี้จะหลงไปใหญ่เสียแล้ว  น่าจะลองสอนดูสักตั้งนึง   นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ข้าพเจ้าเข้าไปแจมในกระทู้ของท่านkoknam ในตอนหลังๆนี้

          หากท่านติดตามอ่านข้อเขียนของท่านkoknamมานานพอ ท่านก็จะรู้ได้ดีว่าแรกๆ  ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าไปยุ่งเลย แต่ก็ตามอ่านอยู่เรื่อยๆ  เห็นแล้วก็ปลงว่าปล่อยๆไปทางใครก็ทางใคร ชาตินี้หากไม่หลุดเดี๋ยวชาติหน้าก็คงหลุดเอง  แต่ก็เพราะความเมตตาในฐานะกัลยาณมิตรกันดอกจึงได้พยายามช่วยในวิธีของ"วัชรยาน"   และตอนนี้ก็กำลังจะปล่อยวางแล้ว หลังจากประเด็นของกระทู้นี้จบลง.

      ได้เวลานอนแล้ว คงต้องขอลา
      สำหรับท่านkoknam อากาศกำลังจะหนาวดูแลรักษาสุขภาพด้วย  (เพื่อนก็คือเพื่อน  คุรุก็คือคุรุ จิตคนละส่วนกันอย่างไรก็ยังปราถนาดีต่อท่านเสมอ)
        ราตรีสวัสดิ์  ขอความสุข สดชื่น เบิกบาน มีแด่ทุกท่านในทุกๆวันทุกๆคืนแก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 49 21:49:35

       
       


      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 21:26:22 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 22 

      *คำตักเตือน
        ตราบใดที่ท่านยังปฏิเสธเรื่องของญาณ
      ตราบใดที่ท่านยังลงกับพระธรรมหลังปกไม่ได้
      ตราบใดที่จิตท่านยังแข็งกระด้าง
      ตราบใดที่ท่านยังเห็นแต่ความคิดของตนเอง
      ตราบใดที่จิตท่านยังไม่รู้เวลาอ่อนเวลาแข็งให้ถูกกาล
      ตราบใดที่ท่านเรียนธรรมมาแล้วกล่าวอ้างว่าไม่ได้เรียน
      ตราบใดที่ศรัทธาในพระรัตนตรัยท่านยังไม่บรรเจิด
      จงรับรู้เถิดว่า มรรคาของท่านยังอยู่เพียง"โลกียะ".

        ขอให้หลับฝันดี

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 21:40:34 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 23 

      If you really know, what "took" mean, you will not make it to happen on other people. If you don't understand "took", you will do it to happen on you and the other.
      ----------------------------------------------------------

        yes  เป็นเช่นนั้น  ท่านkoknamลองกลับไปค้นกระทู้ที่ท่านตั้งเพื่อความอยากสอนคนอื่นๆที่ผ่านมา  หลายคำและหลายประโยค สร้างทุกข์ให้คนอื่นหรือไม่  ....นั่นแหละคำตอบว่า "ท่านรู้จักทุกข์ แจ้งแล้วหรือ"

       อย่านอนดึก ห่มผ้าหนาๆ รักษาสุขภาพด้วยครับ  สวัสดี  ไปหละ

      จากคุณ : วัชรดาลา   - [ 25 ต.ค. 49 21:47:01 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 24 

      ขออนุญาตนะครับ
         ------------------------------------------------
      " มหานครใหญ่ๆที่เห็นในโลกนี้มีทางเข้าได้ทางเดียว ? "
      " แม้มีอยู่ทางเดียว ... มีคนหนึ่งที่เดินเหยียบรอยเท้าซ้ำกับอีกคนหนึ่งได้ทุกย่างก้าวตั้งแต่ต้นทางถึงมหานครหรือไม่ ? "
      ... เหนื่อยเปล่าหรือไม่ ?ถ้าจะมานั่งกะเกณฑ์อย่างนั้นอย่างนี้ ...
         ------------------------------------------------
       สำหรับผมกลับรู้สึกว่าไม่เห็นต้องไปกลัวหรือกังวลเลยว่าทำอย่างที่คุณ koknam บอกแล้วมันจะไปผิดทางหรือป่าว ก่อนหน้านี้เป็นกี่ภพกี่ชาติที่เคยไปเกิดในนรก ถ้าผิดทางจริงต่ำสุดก็แค่นรกซึ่งก็เคยไปกันมาแล้ว
       ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์ใครเลยครับ ขนาดกินพริกเหมือนกันแท้ๆลองไปถามดูสิครับ คนหนึ่งบอกเผ็ดมาก คนหนึ่งบอกเผ็ดน้อย
      ... เราฟังคำตอบแล้วจะเลือกเชื่อใครล่ะ ? ทุกคนเผ็ดเหมือนกัน ?
       
         ข้อสอบแบบเลือกตอบ ก.ข.ค. มีคำตอบเพียง"คำตอบเดียว" ส่วนวิธีได้มาของคำตอบก็เรื่องของใครของมัน  เรียกว่า "ปรนัย" => เซตที่ถูกถอดแบบออกมาจาก "ปรมัตถ์"

      หากปรมัตถ์มีอยู่สิ่งเดียว จะเข้าไปรู้ไปเห็นอย่างไรก็เหมือนๆกันหมด

      เมื่อมีผู้รู้เรื่องปรมัตถ์ นั่นหมายถึงว่าได้รู้สิ่งที่อยู่สิ่งเดียว แม้ผู้รู้มีมากกว่าหนึ่งก็ควรจะเห็นอย่างเดียวกันไม่ใช่ ?

      เป็นเรื่องที่ตลกมั๊ยครับเมื่อมี "ฝ่ายจริง" กับ "ฝ่ายไม่จริง" ขึ้นมา
                             
                              ^
                              ^
         
         ... แนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ...แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 49 22:46:51

      จากคุณ : กามศักดิ์ (KAMSUK)  - [ 25 ต.ค. 49 22:43:05 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 25 

      . .   .    .      .         .                            .

      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 25 ต.ค. 49 23:54:54 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 26 

      .....................
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 25 ต.ค. 49 23:55:35 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 27 

      *-*
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 25 ต.ค. 49 23:56:54 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 28 

      ...
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 25 ต.ค. 49 23:58:24 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 29 

      .....
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 25 ต.ค. 49 23:59:44 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 30 

      เอิ๊ก ๆ ขำ ๆ
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 26 ต.ค. 49 00:03:55 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 31 

      เหลือพื้นที่ใช้สอยอีกเยอะ ไม่ว่ากันนะ หุหุ
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 26 ต.ค. 49 00:10:24 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 32 

      ท่าจะบ้าไปแล้วเรา เอิ๊กๆ

      ก่อนจะจัดพวกเขาจัดเราก่อน
      จะไม่ร้อนไม่รุ่มกลุ้มสมอง
      ใครแบกรับเอามาน้ำตานอง
      จึงจะต้องไม่ขัดไปจัดใคร
       
       


      จากคุณ : พุทธะจิต   - [ 26 ต.ค. 49 00:23:51 ]