โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

พัก



     พัก  ช่วงที่ผ่านมาผมเกิดความแปรปรวนอย่างหนัก เพราะความจริงจังมากเกินไป และเกิดปัญหาบางอย่างที่ผมไม่รู้จักทางออกอย่างแท้จริง ผมถึงกับโทรไปบอกคุณพ่อว่า ผมจะดร็อปเรียน เพื่อกลับไปฝึกโดยเฉพาะ เพราะผมเบื่อที่ต้องไปเรียนโดยที่ผมไม่ใส่ใจจะเรียนเหมือนก่อน ผมไม่มีใจจะเหลียวแลสิ่งใดอีก นอกจากเรื่องฝึกตัวเอง ใจผมมั่นดิ่งลงไปเกี่ยวกับเรื่องการแสวงหาความจริงขั้นสูงสุด ใจมันทุ่มเทลงไปทั้งหมดให้กับการฝึกครับ และความผูกพันภาระ ที่ต้องคอยดิ้นรนทำมาหากิน จ่ายค่ากิน ค่าเช่าห้องเพื่อที่จะได้ไปเรียนในสิ่งที่ผมไม่สนใจเท่าไหร่ เป็นเหมือนตัวขวางทางอันน่ารำคาญ

    คุณพ่อผมผู้ที่บอกผมว่า เค้าเรียนรู้เรื่องการฝึกจากผมมาโดยตลอด กลับเตือนสติผมด้วยคำพูดง่ายๆ ที่ผมต้องชะงัก “ผมกำลังแกว่ง” แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ไม่ต้องมีคำพูดแก้ตัวอะไรกันอีกให้มากความ มันเป็นเช่นนั้นจริง

    ผมเข้าใจเอาเองว่า ในจุดหนึ่งของชีวิตคนเรา มันจะมีช่วงชีวิตที่เราไร้ทางออก และสับสนต่อเส้นทางชีวิตของตัวเอง มันเป็นจุดที่จะวัดใจของคนคนนั้น สำหรับผมแล้ว เหมือนว่า กำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงของโลก และความเป็นจริงของชีวิต ใช่แล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า ที่ผมรู้จักโลกแต่ไม่รู้จักชีวิต หรือในทางตรงกันข้าม แม้ผมจะเซียนเรื่องชีวิตแต่อยู่ในโลกไม่ได้

    สองสิ่งนี้ควรเดินคู่กันมิใช่หรือ เมื่อไหร่ที่เรากำลังอยู่ในวังวนของปัญหา ที่เราไม่รู้ทางออก ความอ่อนแอของเราจะแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน และจะไม่มีใครเลย ที่รู้ดีไปกว่าเราว่า ปัญหานั้นคืออะไรกันแน่ ปัญหาของผมนั้น ไม่ได้มีใครมาสร้างให้ทั้งนั้น ผมผูกปมมันขึ้นมาเอง แต่ก็โง่เกินไปที่จะรู้วิธีคลายมันออก เมื่อลองทุกวิธีก็ยังเอาออกไม่ได้ ความหยาบโลนก็แสดงตัว โดยการพยายามจะตัดเชือกทิ้งซะ

    แต่ทันที เพียงแค่พลิกมุมด้วยคำพูดจริงใจเตือนสติเรียบง่ายเท่านั้น ปมนั้นจะไม่ใช่ปัญหาอีกเลย มันคลายตัวเพียงด้วยความเข้าใจล้วนๆ และการเปลี่ยนมุมมองของการมองปัญหานั่น ชีวิตที่ดูแล้วมีแต่เรื่องยุ่งยาก กลับซ่อนคำสอนหลายชั้นด้วยตัวของมันเอง กิเลสมากปัญญาต้องมาก กิเลสลึกปัญญาต้องลึก คำพูดนี้ผมไม่อาจแย้งได้เลย

    ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่แก้ปัญหาของตัวเองอย่างไร แต่ผมก็อยากถ่ายทอดให้คนอื่นได้รู้ว่า คุณพ่อผมสอนผมอย่างไร เพื่อว่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นไปใช้ได้ด้วย คุณพ่อผมเค้าสอนให้ผม “พัก” น่าแปลกใจอย่างที่สุด ช่วงเวลาแห่งการทรมานใจไร้ทิศทาง คำตอบแห่งการปลดเชือก กลับผุดขึ้นมาต่อหน้าโดยไร้ซึ่งการขบคิดคาดคะเน ในช่วงที่เราหลงลืมไปแล้วว่า ปัญหาคืออะไร

    ผมเคยได้อ่านเรื่องราวของคนหลายคน ที่ผ่านการขบคิดอย่างหนัก แต่ไม่พบคำตอบ เมื่อเค้าเลิกหาหนทาง ปล่อยวาง หลงลืม คำตอบกลับโผล่ออกมาเองอย่างไม่คาดฝัน เป็นคำตอบที่ไม่ได้มาจากการคิด แต่เป็นคำตอบแห่งการเข้าใจด้วยการ “เห็น” คนรุ่นก่อนหลายคน ล้วนประสบพบเห็นอาการเหล่านี้มาแล้วไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เหตุใดเราจึงไม่ถ่ายทอดวิธีแบบนี้สู่กันเล่า

    ตามความเข้าใจของผม ลักษณะความรู้แบบนี้จะเกิดเมื่อ เราพยายามเสาะหาคำตอบ หรือพยามเอาชนะอะไรบางอย่างแบบกัดไม่ปล่อย เราทุกข์ทรมาน สับสน จนปัญญา ท้อแท้ต่อความไม่เอาไหนของตัวเอง เมื่อเราพัก เราหยุด เราลืม เราผ่อนคลาย คำตอบจะปรากฏออกมาแบบง่ายๆ มันง่ายเกินไป คำตอบก็แสนจะง่ายดายธรรมดา แต่ในความง่ายนั้น มันทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และทำลายความว้าวุ่นทั้งหมด มันครอบคลุมทุกแง่มุมของปัญหานั้น

    ปัญหาที่เหมือนกัน คำตอบที่ออกมาเหมือนกัน แต่ถ้ากรรมวิธีที่ได้มานั้นต่างกัน จะทำให้คุณค่าน้ำหนักของคำตอบนั้นห่างกันมาก ถ้าคำตอบนั้นมาจากการคิด เราจะลืมในที่สุดเพราะเราเพียงนำมันไปใช้ตามที่เราคิด ซึ่งความคิดของคนเราสามารถโยกโคลงและสะเทือนได้ แต่ถ้าคำตอบนั้นมาจากการเห็น นั้นคือความสามารถที่อยู่กับตัว เพราะเราเปลี่ยนสิ่งที่เห็นไม่ได้ มันเป็นอย่างที่เห็น โดยเฉพาะการเห็นที่ปราศจากการครอบงำด้วยความคิด




    “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”

    ผู้ใด “เห็น-ทำ” .... ผู้นั้นเห็นธรรม


    “สัตว์ทั้งหลายยินดีในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ตถาคตทั้งหลายไม่ยินดีในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า”

    สัตว์ทั้งหลายยังฝักใฝ่ พอใจ..ไม่พอใจ สภาวธรรม
    ตถาคตทั้งหลายไม่แยแสสภาวธรรม






    ขอบคุณ คุณพ่ออย่างสูงสุดครับ และขอวันนี้ของคุณพ่อสวยงามต่อไปครับ



    .... ถ้าท่านเป็นคนหนึ่ง ที่ผ่านประสบการณ์ที่ “รู้โดยโผล่ขึ้นเอง” ถ้าไม่รบกวนเวลาเกินไปมากนัก ช่วยถ่ายทอดให้ฟังด้วย
    จากคุณ : koknam   - [ 11 ต.ค. 50 23:13:21 ]
 
 

       ความคิดเห็นที่ 1 

      สำหรับตาลนะคะ... ไม่รู้จะแนวเดียวกับเคสของ จขกท. หรือเปล่านะ   แหะๆ

      อย่างตัวตาล   "จิตสำนึกในหน้าที่" จะเป็นตัวบอกตาลทุกอย่างเองในการกระทำ

      ยกตัวอย่าง....ตอนตาลเรียนมหาวิทยาลัย   ตาลเอ็นท์ไม่ติดนะเพราะตอน ม.ปลายเราเอาแต่เล่น(ทั้งๆที่เป็นเด็กเรียนดีมาตลอด)      ทางบ้านผิดหวังมาก    เค้าเลยสั่งไว้ตั้งแต่เข้าเรียนปี 1  ว่า..  เข้าเรียนที่นี่   ต้องได้เกียรตินิยมอันดับ 1 นะ  ที่สองไม่ต้องมาให้เห็น

      ตาลจะปฏิเสธก็ได้ใช่มั้ยกับสิ่งทีพ่อกับแม่สั่งตาล   แต่จิตสำนึกลึกๆที่เป็นเสียงในหัวใจ  บอกกับตาลว่า  

      เราทำเค้าผิดหวังมา 1 ครั้ง   มันจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

      ตาลเรียนหนักมาก เพื่อให้ได้สิ่งที่พ่อกับแม่ต้องการ  เพราะตาลรู้ว่าหน้าที่ของเราคือ

      1. ลูก    หน้าที่  ต้องไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
      2. นักศึกษา หน้าที่ ต้องเรียนหนังสือ


      สำหรับตาล....ชีวิตคนเราจะไม่มีปัญหา จะไม่สับสนอะไรเลย  หากเรารู้ว่า หน้าที่ของหมวกที่เราสวมอยู่ ณ เวลานั้นคืออะไร   และไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกทั้งนั้น  หากเรารู้มีจิตสำนึกในหน้าที่นั้นๆของเรา


      ป.ล ตาลเข้าใจอะไรผิดก็ขออภัยด้วยนะคะแก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 50 23:56:34

       
       


      จากคุณ : น้ำตาลก้อนกลม   - [ 11 ต.ค. 50 23:50:25 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 2 

      ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆครับ

      ผมก็เคยคิดว่า เราจะฝึกจิตท่ามกลางสภาพที่ต้องเผชิญอยู่ในโลกนี้ได้ยังไง
      แต่เมื่อได้ยินคำว่า "การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม"
      และ พอเข้าใจในคำสอนในหลักของสติปัฏฐาน 4 ปละ ตามดูจิต
      ที่ทำให้เราสามารถฝึกได้ตลอดเวลา..หรือมากเท่าที่พยายามจะทำได้
      (แม้ความพยายามของเรานั้นมันจะไม่ได้ต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็นก็เหอะ)

      ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่าเกิดอาการ ผุดรู้ผุดเห็น หรือ รู้โดยไม่ต้องคิด
      โดยครั้งแรกๆ เราไม่ได้สังเกตุหรอกว่า เรารู้ขึ้นมาได้ยังไง
      หมายถึงเราไม่ได้ไปตะหนักว่า อาการรู้นั่น มากจากไหน
      ต่อเมื่อครั้งต่อๆมา จึงมาเอะใจว่า เรารู้มันโดยไม่จำเป็นต้องคิดเลย

      ไม่ค่อยต่างจากจิตนาการในสมอง หรือ การผุดขึ้นมาของความคิดอื่นๆ
      แต่มันกลายเป็นสิ่งที่มาทำลาย ความไม่รู้
      คลายความสงสัย ให้ใจมันปลอดโปร่ง เบาสบาย

      แรกๆก็ยังหลงจับทางไม่ค่อยถูกว่าอันไหนคือ จินตนาการ หรือ สิ่งที่ผุดรู้

      หลังจากตรวจสอบดูหลายครั้ง ก็เริ่มสังเกตุเห็นว่ามันแตกต่างจากจิตนาการ
      ก็ตรงที่มันผุดขึ้นมาจาก การไม่คิด หรือ จิตว่าง

      ว่างจากกิเลส ว่างจากตัญหา ว่างจาก โลภ โกรธ หลง

      ผมก็ยังเป็นปถุชน ที่ยังไม่สิ้นความต้องการ
      ยังมีความหวัง มีเป้าหมาย อยากที่จะทำให้สำเร็จ

      หลายครั้งที่เหนื่อยล้า แกว่ง ก็ต้อง "พัก" ตั้งหลักกันก่อนละครับ

      จากคุณ : นายไวรัส   - [ 11 ต.ค. 50 23:55:20 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 3 

      สาธุ ..

      สาธุ . .


      เจริญในธรรมครับ









      กัปตันแจ้ค สแปโร่(มาแจม) .. .

      จากคุณ : เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับสูญไป  - [ 12 ต.ค. 50 06:30:30 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 4 

      อ่านแล้วดี ชอบ ท่านเป็นผู้ตั้งใจค้นหาจริงจริง ขออนุโมทนาครับ

      จากคุณ : ศิษย์ปู่หมอ  - [ 12 ต.ค. 50 07:29:02 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 5 

      ขอแชร์ประสบการณ์นะคะ
      ยี่สิบกว่าปีก่อน..ดิฉันมีอาการแบบคุณเป็นครั้งแรก
      หลังจากฝึกฝนหนักมาก โดยศึกษาด้วยตนเอง จากแนวทางของท่านพุทธทาส และหลวงพ่อเทียน

      ตอนนั้นอยากไปบวช...หรือออกไปแสวงหาทางหลุดพ้นอย่างเดียว
      นั่นเป็นความฝันอันสูงสุด..ในตอนนั้น
      แต่แล้วก็ต้องกลับมาสู่โลกของความจริงที่ว่า
      ครอบครัวเราลำบาก และต้องการความช่วยเหลือจากเรา

      สองความคิดมันต่อสู้กันอยู่  แต่สุดท้ายเราเลือกที่จะปฏิบัติธรรม
      และเรียนรู้ทุกข์ในสภาพของฆราวาส

      ถึงจุดหนึ่ง..มันเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างหนัก
      ภาษาเซ็น เขาเรียกว่า "มหาสงสัย"
      อยากรู้ว่า นิพพาน คืออะไร

      ความสงสัยนี่มันทรมานมากนะ
      แต่แล้วเราก็ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
      และสกิดใจแค่คำพูดสั้น ๆ ประโยคเดียว

      ฉับพลันนั้น ความสงสัยทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น
      มันเหมือนมีระเบิดเกิดขึ้นภายใน
      เรารู้สึกช็อค..และรู้ว่านับจากนั้นชีวิตเราได้เปลี่ยนไปแล้ว
      ทั้งที่ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม...แต่ใจของเรามันเปลี่ยนไป

      ต่อมา เรามาเรียนรู้ชีวิตทางโลก อีกหลายแบบ
      แต่มันเหมือนเล่นละคร ที่เราต้องแสดงไปตามบทบาท
      แต่ใจไม่ได้ "อิน" ไปกับมันจริง ๆ

      เราใช้เวลาอีกนาน ที่ต้องปรับตัวให้สมดุลกับชีวิตฆราวาสของตัวเอง
      ที่สุดเรายึดหลัก "สัปปุริสธรรม" 7 ประการ
      ทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข

      ชีวิตปัจจุบันก็เหมือนเล่นละคร แต่ใจไม่ได้ "อิน" กับมัน
      เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งค่ะ

      จากคุณ : รากหญ้า (Tackusan)  - [ 12 ต.ค. 50 08:22:16 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 6 

      เกมด่านนี้ยากจริง ๆ
      ผุ้ผ่านไม่ได้ อาจหลงกลมายาจิต ฆ่าตัวตายไปมากต่อมาก
      ใครว่าวิปัสสนาไม่อันตราย แสดงว่าผู้กล่าว ยังเดินมาไม่ถึงทางแยกนี้
      นี่แหละหนา ครูอาจารย์จึงจำเป็นมาก ๆ

      ขอบคุณครับ
      แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 50 09:26:45
      แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 50 09:23:40

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 12 ต.ค. 50 09:22:30 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 7 

      ขอบคุณครับ ผมกำลังเป็นแบบนี้พอดี สับสนตัวเองมากๆ
      พอได้ยินคำพูดนี้

      มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า ที่ผมรู้จักโลกแต่ไม่รู้จักชีวิต หรือในทางตรงกันข้าม แม้ผมจะเซียนเรื่องชีวิตแต่อยู่ในโลกไม่ได้

      ผมเลยได้คิดแล้วว่าต้องทำอะไรขอบคุณครับ

      สาธุ

      จากคุณ : ศาลาลอยน้ำ   - [ 12 ต.ค. 50 10:06:36 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 8 

      แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 50 11:05:18แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 50 10:19:23

      จากคุณ : ตอบแปลกๆ :) (JitZungkabuai)  - [ 12 ต.ค. 50 10:16:58 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 9 

      ถ้าพูดถึงเรื่องพัก
      ส่วนใหญ่จะทำสมถะ หรือสมาธิ
      นั้นหละครับ
      ^^
      ขอวันนี้ของทุกท่านผุดขึ้นเหมือนดอกบัว

      จากคุณ : ทำเป็นทำ  - [ 12 ต.ค. 50 14:19:47 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 10 

      โอ๊ดอายุยังน้อยเปรียบเสมือนเวลา3ถึง4โมงเช้าชีวิตยังมีโอกาสรุ่งโรจน์สดใส อีกมากส่วนพ่อบ่าย2บ่าย3แล้วพระอาทิตย์เริ่มตกแล้วจ๊ะ
      รักและคิดถึงเสมอ
      จากพ่อ

      จากคุณ : koknam   - [ 12 ต.ค. 50 18:01:28 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 11 

      "...เพื่อกลับไปฝึกโดยเฉพาะ..."
      ไม่ทราบว่า จขกท. ไปฝึกอะไร ถึงต้องดร็อปเรียน
      ผมคิดว่าจขกท.ต้องใช้สติพิจารณา ให้ดีๆ  เท่าที่อ่านคุณคงตัดสินใจแล้วว่า
      จะเลือกทางไหน แต่ก็ยังไม่ขาด และอยากจะรู้ว่าคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไรในกรณีนี้

      "....ผมเบื่อที่ต้องไปเรียนโดยที่ผมไม่ใส่ใจจะเรียนเหมือนก่อน ผมไม่มีใจจะเหลียวแลสิ่งใดอีก นอกจากเรื่องฝึกตัวเอง ใจผมมั่นดิ่งลงไปเกี่ยวกับเรื่องการแสวงหาความจริงขั้นสูงสุด ใจมันทุ่มเทลงไปทั้งหมดให้กับการฝึกครับ และความผูกพันภาระ ที่ต้องคอยดิ้นรนทำมาหากิน จ่ายค่ากิน ค่าเช่าห้องเพื่อที่จะได้ไปเรียนในสิ่งที่ผมไม่สนใจเท่าไหร่ เป็นเหมือนตัวขวางทางอันน่ารำคาญ..."
      -----------------------------------------------------------------------------
      ผมขอให้คุณสังเกตุ การเบื่อของคุณให้ดีว่า มันเป็นการเบื่อในการดำเนินชีวิต
      เบื่อกับปัญหาชีวิต  แล้วบังเอิญคุณมาพบเจอกับทางที่คุณคิดว่า "ใช่"
      ผมไม่ได้บอกว่า  ทางนี้ไม่ใช่นะ  และการที่คุณจะเข้ามาศึกษาแบบสุดตัว
      ก็เป็นสิ่งที่ดี  แต่เหตุผลของการที่จะเดินเข้ามา  มันยังไม่ใช่เพราะ
      สิ่งที่คุณเขียนออกมา  มันไม่ใช่การเบื่อหน่าย คลายกำหนัด

      ระวังเพราะมันก็แค่ ตัณหา ตัวหนึ่ง
      บุญ ก็ยังเป็นการปรุงแต่งของจิต  ชนิดหนึ่ง

      ผมยังจำไม่ลืม กับคำสอนของพระอาจารย์วัลลภ ชวนปัญโญ ที่ท่านสอนผมได้ว่า  กิเลสตัณหามันร้ายมาก  มันหลอกเรามาตลอด มันก็เหมือน
      หมาตัวหนึ่ง ได้เนื้อก็กินเนื้อ(หลอกคนทำชั่ว) ได้กระดูก(หรอกคนติดดี)
      ก็กินกระดูก

      ให้เข้าใจว่าสิ่งที่คุณเจอ  มันไม่ใช่ ของแท้ ระวังมันจะเป็น  ตัณหา

      ถ้าผมจะบอกว่าแค่   "อยากปฏิบัติธรรม"  ก็ผิดแล้ว คุณจะไม่สามารถปฏิบัติอะไรได้เลย  เพราะความอยาก มันเจือด้วยตัณหา  คุณต้องใช้อิทธิบาท4
      แทนความอยากนั้น

       คุณสามารถปฏิบัติธรรมในสติปฏิฐาน4 ได้ควบคู่กับงานหรือการเรียนของคุณ เรียกว่า การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน คุณลองศึกษาคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ดู  แล้วคุณจะรู้ว่า  มีอะไรให้ฝึกอีกมาก  โดยไม่ต้อง "พัก"
      หน้าที่ของสมมุติของความเป็นลูกเลย

                           
                                                    ขอให้เจริญในธรรมครับ

      จากคุณ : รังสิโยภาส   - [ 12 ต.ค. 50 20:39:27 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 12 

      Thanks a lot every ความคิดเห็น.

      and thank you DAD !, you are not only my father, but also my best friend.

      thanks a lot for your story ,,,, Khun น้ำตาลก้อนกลม

      thanks for khun นายไวรัส ,,,, actauly the word "พัก" I mean "stop to seek something"

      Hi Mr กัปตันแจ้ค สแปโร่ I like your CG Film so much

      halo ศิษย์ปู่หมอ thank you too

      for my Tackusan ,,,, if you are like you said, for me yo uare a real nice one.

      my love นมสิการ  you teach me, what Kan-la-ya-na-mit mean !

      ศาลาลอยน้ำ it is good that you สับสนตัวเองมากๆ, see it don't feel it.

      for khun รังสิโยภาส.... thank so so much for your suggestion, but you don't understand my problem.

      ^_^  จะไม่มีใครเลย ที่รู้ดีไปกว่าเราว่า ปัญหานั้นคืออะไรกันแน่


      ทำเป็นทำ, JitZungkabuai, ศาลาลอยน้ำ thanks for your texts too.



      Have a nice day !

      จากคุณ : koknam   - [ 13 ต.ค. 50 00:34:26 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 13 



      ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ที่ถ่ายทอดเล่าสู่มาให้อ่านอยู่เป็นประจำค่ะ
      คุณ Koknamแก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 50 12:47:52

      จากคุณ : faisara   - [ 13 ต.ค. 50 08:43:36 ]