โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ไร้แผ่นดิน



     ไร้แผ่นดิน แม้ว่าจะเห็นความคิด และความรู้สึกตัวอยู่ตลอด แต่บางครั้ง โทสะ โมหะ โลภะ นั้นเกิด ถึงมันจะไม่ได้เลวร้าย เพราะมันเกิดแล้วดับ แต่สภาวะของใจที่เกิดการเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของมัน เป็นสิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจ และพยายามหาคำตอบ และหาทางออกอยู่ตลอดเวลา ทำไมใจถึงปรกติอยู่ตลอดไม่ได้ ทำไมต้องกระเทือน แม้ฝึกหนักขนาดไหนก็ยังผ่านไม่ได้ แม้จะรู้สาเหตุการเกิดของมันอย่างดี แต่ทำไมมันยังเกิดอยู่ มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่ผมยังไม่เข้าใจและไปไม่เป็น

    แม้ว่าการยึดติดต่อสภาวะความว่างของใจจะแทบไม่เหลือแล้ว เห็นสภาวะใดๆที่มาๆไปๆ อยู่ตลอดก็แล้ว ไม่ขึ้นกับความคิดที่เกิดขึ้นมาก็แล้ว ไม่มีสภาวะจิตแบบไหนอีกแล้วที่จะรั้งความสนใจไว้ได้อีก เพราะสภาวะจิตอันเป็นที่สุดเท่าที่ผมค้นพบและสัมผัสคือ จิตใจที่ว่าง เมื่อหลุดจากตัวนี้ได้ ไม่มีสภาวะใดๆทางจิตผูกมัดผมไว้ได้อีกแล้ว  แต่ทำไมยังรู้สึกลึกๆว่า ยังมีบางอย่างที่ไม่ใช่

    คำสอนที่ว่า ทุกสิ่งเกิดดับไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอด มันจริงโดยใช้สมมต แต่ในสภาวะทางปรมัตถ์ ตัวที่รับความทุกข์คือใจ แม้ว่า เมื่อทุกข์เกิดขึ้น เราจะคอยปลอบตัวเองว่า สิ่งต่างๆนั้นไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป แต่ในขณะที่ทุกข์มันตั้งอยู่บนใจนั้นเล่า ในช่วงเวลาที่ทุกข์ดำเนินอยู่นั้น ถึงมันจะเป็นช่วงสั้นๆ มันก็ยังเป็นทุกข์อยู่ดี ผมสงสัยในจุดนี้อย่างหนัก ถ้าที่สุดของทุกข์หมายถึง การเด็ดขาดไร้ทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเยื่อ ถ้าใจยังสัมผัสทุกข์อยู่ต้องไม่ใช่แน่

    ผมใช้เวลาอยู่หลายวันในการหาคำตอบ อดหลับอดนอนเพราะมันคาใจ เดินจงกรม และ นั่งสร้างจังหวะอยู่อย่างนั้น ในวันนึงผมก็ได้ค้นพบว่า ตัวการแท้ๆของเรื่องทั้งหมดของปัญหาอันนี้ ไม่ใช่อะไรอื่นใดเลย นอกจากการชอบใจไม่พอใจต่อสภาวะทางปรมัตถ์ การชอบและชังสภาวะนี่เองคือตัวการ การชอบความปรกติ การไม่ชอบความไม่ปรกติของใจนี่เอง ที่มัดผมเอาไว้

    โทสะ โลภะ โมหะ จริงอยู่ที่เมื่อสามสิ่งนี้ลดน้อยลงไป ศีล จะปรากฏออกมา การที่ใจไร้ซึ่งการผูกพัน ต่อสิ่งเหล่านี้นี่เอง เป็นสภาวะที่เรียกว่า ศีล และเมื่อผมได้สำนึกแล้วว่า ยังมีบางอย่างที่อยู่นอกเหนือ อาการโทสะ โมหะ โลภะ นั่นคือ การชอบและไม่ชอบในสิ่งต่างๆที่เกิดนี่เอง เข็มทิศจึงชี้ทางให้ทันที ผมใช้เวลาตลอดทั้งวันอีกหลายวันเฝ้าเรียนรู้ความชอบใจไม่ชอบใจของตัวเอง แล้วผมก็ได้เข้าใจว่า อะไรคือ ความหมายของ สมาธิ ชนิดที่ใช้ได้จริง ไม่ใช่สมาธิในลักษณะของคอนเซบป์

    สภาวะจิตอันตั้งอยู่เหนือสภาวะไตรลักษณ์ทุกอย่าง โดยไร้การเลือกและการชังนี่เองที่เป็น สมาธิ  สมาธิที่ผมเข้าใจจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับความสงบของจิต เพราะจิตใจจะสงบหรือไม่ หากไร้ซึ่งการชังและชอบในความสงบและไม่สงบ ใจย่อมไม่หวั่นไหว สภาวะของคู่ทั้งหมดได้ถูกยกออกจากใจไปในทันที

    ปัญหาต่อมาที่ผมคาใจคือ เมื่อเรากำลังเดินบนทางแห่งมรรค เราต้องเห็นสิ่งใด ใจถึงจะหลุดออกจากทุกสิ่งทั้งหมด ผมสังเกตว่า เมื่อเราเห็นความคิด เราก็จะเห็นมันอยู่อย่างนั้น เมื่อเราหันมาเห็นความรู้สึกตัว เราก็จะเห็นความรู้สึกตัวอยู่อย่างนั้น เมื่อเราเห็นสิ่งใด สิ่งนั้นจะถูกให้ค่าและมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด อะไรคือความหมายของการ มองผ่านหมด กันแน่

    ผมกำลังเดิน เนื่องจากมันนานแล้ว และวันนั้นเดินมาหลายรอบ ขาก็เริ่มปวดมากขึ้นทุกที แวบเดียวที่ผมได้เห็นการขาดความเชื่อมต่อของขาที่ปวด กับ ใจที่เป็นทุกข์ ผมพบว่า แม้ขาจะปวดแต่ใจไม่ได้ทุกข์ไปด้วยนี่  ตัวใจจริงๆนี่มันอยู่ตรงไหนกัน และเมื่อผมมองหาใจตัวเอง ผมกลับพบความจริง ที่ทำให้กระบวนการทางการฝึกทั้งหมดเปลี่ยนไปแบบผลิกกลับทั้งหมดอีกครั้ง

    ใจผมไม่มี ผมหาใจตัวเองไม่เจอ เพราะ ใจ คือ สิ่งที่ไม่มีอยู่ สภาวะของใจที่แท้จริง เป็น สิ่งที่ไม่มีอยู่ มันมีอยู่ที่นั่น แต่ธรรมชาติลักษณะที่มันแสดงตัวออกมาแบบแท้ๆของมันคือ ความไม่มี  มันไปไกลยิ่งกว่า ความว่าง เสียอีก ว่างหรือไม่ว่าง ไม่ใช่สมมตภาษาที่จะเรียกสภาวะแท้ๆของสิ่งนี้ได้ตรงๆเลย

    ในเมื่อศูนย์รวม ความสุขและความทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่ใจ เมื่อใจไม่มีตัวตน สุขหรือทุกข์ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็เข้าใจระบบ มายา ทั้งหมด ความสุขทุกข์ ชอบไม่ชอบ หรือสภาวะใดใดที่เคยเกิดตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด เป็นเพียงมายาอาการ ของผู้ไม่เห็นใจตัวเองอย่างแท้จริงเท่านั้น ทุกข์ไม่มี สุขไม่มี หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ของที่ไม่มีต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก ยังไงก็ไม่มีทางหาเจอ

    หลังจากนั้น กระบวนการ เห็น จะย้อนศรกลับทิศทั้งหมด จากที่เคยไม่เข้าใจว่า จะเห็นอะไรดี ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึก หรือ ความคิด หรือเห็นพร้อมๆกัน การเห็นลักษณะนั้นเหมือนการเห็นย้อนแสง มันแสบตาและไม่ชัด มันชัดแค่บางอย่างที่เราตั้งใจจะเห็นมัน   เมื่อการเห็นมาตั้งอยู่ที่ใจที่ไม่มีนี่ มันจะเห็นชัดทั้งหมด มันเป็นทิศทางเดียวกันตลอดสาย ขันธ์ 5 ถูกจัดระบบ หมวดหมู่อย่างชัดเจนโดยไร้คำอธิบายใดๆ

    ไม่มีการเลือกดูเลือกเห็นอะไรอีก เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะวิ่งมาลงที่ใจ ไม่มีการโฟกัสในสภาวะใดใดอีก เมื่อทุกอย่างวิ่งมารวมลงในจุดที่ไม่มี ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งเห็นสิ่งใดอีก ไม่มีอะไรอื่นใด นอกจากความ รู้สึกตัว ที่ไม่ก่อให้เกิดสิ่งใดใด มันไม่เป็นอะไร ต่อให้เกิดก็ไม่เป็นอะไร


    หลังจากนั้นผมตีโศลกเว่ยหล่างแตกทันที “เดิมทีไม่มีกระจกใส ฝุ่นละอองจะต้องลงจับสิ่งใด”

    หลวงพ่อเทียนกล่าวว่า “เคยเห็นไฟไหม้ท้องฟ้าไหม”

    ฝุ่นละอองนั้นมีอยู่ แต่สิ่งที่รองรับมันนั้นหามีไม่ เมื่อไม่มีกระจก การมานั่งขัดถูให้สะอาดย่อมไม่จำเป็น จะไปขัดถูสิ่งที่ไม่มีย่อมตลกเกินไป ไฟนั้นมีอยู่ แต่มันไหม้ท้องฟ้าไม่ได้ เพราะธรรมชาติของฟ้า คือ สิ่งที่ไม่มี เราเห็นมันเราเรียกมันด้วยภาษาว่าท้องฟ้า  แต่ตัวตนแท้ของท้องฟ้าจะไปจับฉวยเอาได้ที่ตรงไหนกัน

    ไม่ต่างกับใจจริงแท้ของคนเลย เราเรียกสภาวะที่เรารู้สึกที่ใจ ว่า ใจ แต่ผู้ที่ได้สัมผัสใจตนนั้น จะทราบอย่างดียิ่งว่า นั้นไม่ใช่ใจแท้ๆ ใจแท้ๆของคนนั้นไม่เคยเป็นทุกข์ เพราะมันไม่มีอะไร

    ผมนึกถึงหน้าบ้านผมที่เมืองไทย มันมีต้นมะม่วง เมื่อผมไม่รู้จักการออกแบบ มันก็รกสกปรกอยู่อย่างนั้น แล้วผมก็หลอกตัวเองว่า มันงามแบบธรรมชาติ ถูแถกด้านๆไปตามเรื่อง

    พอผมได้เรียนออกแบบ ผมก็เริ่มขยันทำมันให้ดูดีขึ้น ผู้คนก็เข้ามาชื่นชม บางคนก็เอาไปทำบ้าง บางคนก็ริษยา บางคนก็ว่าไม่ถูกหลักการออกแบบ แม้ว่าผมไม่ค่อยจะแยแสคำชมและคำด่าซักเท่าไหร่ แต่มันเป็นช่วงที่ผมเหนื่อยจริงๆ ที่ต้องมานั่งทำให้มันดูดีอยู่ตลอด ต้องกวาดใบไม้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง มันเป็นภาระ ครั้งจะปล่อยให้สกปรกเหมือนก่อน ก็โง่เกินไป

    อยู่ดีๆ วันนึง แผ่นดินที่ใช้เหยียบก็หายไปเฉยๆซะอย่างนั้น ต้นไม้นั้นยังอยู่ ใบไม้ยังคงร่วงหล่น แต่ไม่มีพื้นไว้รองรับใบของมันอีกแล้ว ไม่มีที่ให้ใบไม้ทับถมกลายเป็นปุ๋ยให้พลังแก่ต้นไม้อีก และเมื่อไม่มีใบไม้กองบนพื้นคนกวาดย่อมไม่จำเป็น และไม่มีทางสกปรก และไม่เกี่ยวกับความสะอาด ไปไกลยิ่งกว่าความสวย และไปพ้นจากความอัปลักษณ์


    มันไม่มีอะไรจะรองรับขันธ์ทั้ง 5


    คุณพ่อครับ จนถึงจุดตรงนี้ ผมเคลียร์ทางไว้ให้แล้ว เหลือเพียงคำถามเดียวในใจผมที่ยังมีอยู่ เป็นคำถามที่คุณพ่อเคยถามผม เมื่อ 3 ปีก่อน “การที่เราเห็นความคิดและเห็นความรู้สึกตัวอยู่อย่างนี้ เราทำไปไม่มีวันจบสิ้นใช่ไหม”


    ผมจะใช้พลังชีวิตทั้งหมด เพื่อหาคำตอบนี้มาให้ครับ

    ลูกชายสยายปีก
    จากคุณ : koknam   - [ 14 ก.ค. 51 00:18:09 ]
 
 

       ความคิดเห็นที่ 1 

      สงสารคุณจังเลย  กี่ปีกี่ปีก็ยังไปไม่ถึงไหน
      เมื่อใดที่คุณยอมรับได้เต็มปากต่อหน้าสาธารณชน  ว่าที่ผ่านมาคุณหลงเดินทางผิดไป
      เมื่อนั้นแหละกระมัง  ที่คุณจะมองเห็นหนทางที่ถูกต้องกับเขาเสียที

      จากคุณ : บักหัมน่อยตุหรัดตุเหร่  - [ 14 ก.ค. 51 03:48:20 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 2 

      เรียน จขกท.
      คุณ : koknam

      อ่านข้อเขียนของท่านแล้วรู้สึกเหนื่อยตามไปด้วย
      พออ่านไป ๆ เห็นว่าท่านค้นพบอะไรหลายอย่าง
      ก็เอาใจช่วยหวังว่าจะทำให้ท่านบรรลุธรรมได้
      แต่ตอนจบ
      ท่านก็ยังไม่ได้อะไรอย่างที่ท่านต้องการ

      ท่านรู้ไหมว่า
      เป็นเพราะอะไร ?????

      ปัญหาของท่านก็คือ

      ท่านไม่ยอมใช้แผนที่การปฏิบัติ
      ตามแนวทางของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

      ท่านต้องการจะเขียนแผนแนวทางการปฏิบัติขึ้นมาใหม่
      ที่เป็นของท่านเอง

      การปฏิบัติของท่าน
      จึงวกวนเหมือนอยู่ในเขาวงกฎ
      แบบไม่รูจบอยู่อย่างนื้

      ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำ

      ขอให้ท่านลองเริ่มต้นใหม่
      ให้ถูกต้องตามแนวทางของพระพุทธเจ้า
      ที่แท้จริง
      และให้ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
      สักระยะเวลาหนึ่ง
      แล้วท่านก็
      อาจจะพบว่า
      เรื่องมันง่ายกว่าที่ท่านคิดอย่างนี้มาก ๆ ๆ

      การบรรลุธรรมนั้น
      เป็นเหมือนกับเส้นผมบังภูเขา
      ที่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
      ที่จะทรงค้นพบคำตอบได้

      และคำตอบนั้นก็มีเผยแพร่อยู่แล้วในปัจจุบันนี้
      คำตอบนี้ก็คือ พระธรรม

      แล้วท่านจะมัวแต่พยายามคิด
      ที่จะสร้างทฤษฏีใหม่
      ให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ
      ทำไมกันเล่า ?????

      ขอให้ท่านโชคดี

      และขอให้ทุก ๆ ท่านเจริญในธรรมแก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 06:55:15
      แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 05:23:55

       
       


      จากคุณ : kongsilp2000  - [ 14 ก.ค. 51 05:18:22 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 3 

      ผมว่าท่านเจ้าของกระทู้ยอดเยี่ยมครับ ต้องหารากฐานความจริงที่มนุษย์ทุกท่านมีอยู่ เลิกเข้าใจผิด ตรงตามที่ท่านเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีค้นพบ ท่านเว่ยหล่าง ท่านหลวงปู่ดูลย์ ท่านหลวงพ่อเทียน ล้วนกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ) ไม่มีสูงมีต่ำ เท่ากันทุกคน หลอกตัวเองไม่ได้ รู้ก็คือรู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ อธิบายเป็นคำพูดได้ยากมาก ท่านเจ้าของกระทู้สามารถสื่อออกมาได้ นี่คือสิ่งที่ผมทึ่งและขอคารวะ ท่านเป็นนักสู้ตัวจริงขอให้ถึงหลักชัยครับ...

      จากคุณ : ศิษย์ปู่หมอ  - [ 14 ก.ค. 51 07:34:39 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 4 

      สภาวะที่ ท่าน จขกท เกิด มันเหมือนที่เกิดกับผม
      เริ่มแรกจากเห็นก่อนว่า ไม่มีจิตใจ ทีแท้จริง
      แล้ว ผมเห็นเวทนาตอนไปทำฟัน  เห็นอาการเจ็บที่เกิดขณะทำฟัน  แต่ไม่มีผู้รับอาการทางเวทนานั้น  แปลกแต่จริง เจ็บมีจริง แต่ไม่มีผู้รับความเจ็บนั้น

      ตอนนี้ ผมเห็นความไร้ตัวตนมากขึ้นในชีวิตประจำวัน  ไม่มีจิตใจ
      มีแต่สภาวะทางธรรมที่ปรากฏให้เห็น  แต่นี่ยังไม่ถึงที่สุดหรอกนะ

      เรื่องเกิดสมาธิที่คงการอยู่ได้อย่างยาวนาน  ใหม่ ๆ ก็ดูน่าตื่นเต้น แต่ผมพบว่า
      มันเป็นกลลวงที่ทำให้ติดใจ อยากจะได้มันบ่อย ๆ
      ผมขว้างมันทิ้งไปแล้วละ เจ้าสมาธินี่ไม่สนใจมันเลย
      มันจะเกิดก็ช่าง ไม่เกิดก็ช่าง  
      การรู้ที่ไร้ตัวตนต่างหาก นี่สิ น่าสนใจ ดูมันจะติดต่อเนื่องเข้าไปทุกที ทุกทีแล้ว
      คนโง่เช่นผม บ่นให้ฟังนะ อย่าได้สนใจแก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 08:12:38

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 14 ก.ค. 51 08:05:01 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 5 

      กดปุ่มเข้าคลังกระทู้เก่าแล้วแก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 08:21:41แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 08:21:15

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 14 ก.ค. 51 08:09:30 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 6 

      แสดงผลการค้น ลำดับที่  3 / 6
      สุญญตา “ความเป็นสภาพสูญ”, ความว่าง
            1. ความเป็นสภาพที่ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะที่ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา คือ ไร้ตัวมิใช่ตน ว่างจากความเป็นตน ตลอดจนว่างจากสาระต่างๆ เช่น สาระคือความเที่ยง สาระคือความสวยงาม สาระคือความสุข เป็นต้น,
                โดยปริยายหมายถึง หลักธรรมฝ่ายปรมัตถ์ ดังเช่นขันธ์ ธาตุ อายตนะ และปัจจยาการ (อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท) ที่แสดงแต่ตัวสภาวะให้เห็นความว่างเปล่าปราศจากสัตว์ บุคคล เป็นเพียงธรรมหรือกระบวนธรรมล้วนๆ

            2. ความว่างจากกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ก็ดี สภาวะที่ว่างจากสังขารทั้งหลายก็ดี หมายถึง นิพพาน

            3. โลกุตตรมรรค ได้ชื่อว่าเป็นสุญญตา ด้วยเหตุผล ๓ ประการ คือ
                เพราะลุด้วยปัญญาที่กำหนดพิจารณาความเป็นอนัตตา มองเห็นสภาวะที่สังขารเป็นสภาพว่าง (จากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน)
                เพราะว่างจากกิเลสมีราคะเป็นต้น และ
                เพราะมีสุญญตา คือ นิพพาน เป็นอารมณ์

            4. ความว่าง ที่เกิดจากความกำหนดหมายในใจ หรือทำใจเพื่อให้เป็นอารมณ์ของจิตในการเจริญสมาบัติ เช่น ผู้เจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติกำหนดใจถึงภาวะว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย;
            สุญตา ก็เขียน


      แสดงผลการค้น ลำดับที่  4 / 6
      อรูป ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ได้แก่ อรูปฌาน, ภพของสัตว์ผู้เข้าถืออรูปฌาน,
            ภพของอรูปพรหม มี ๔ คือ
                ๑. อากาสานัญจายตนะ (กำหนดที่ว่างหาที่สุดมิได้ เป็นอารมณ์)
                ๒. วิญญาณัญจายตนะ (กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ เป็นอารมณ์)
                ๓. อากิญจัญญายตนะ (กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์)
                ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)


      แสดงผลการค้น ลำดับที่  5 / 6
      อากิญจัญญายตนะ ฌานกำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์,
            ภพของผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนฌาน
            (ข้อ ๓ ในอรูป ๔)


      แสดงผลการค้น ลำดับที่  6 / 6
      อาฬารดาบส อาจารย์ผู้สอนสมาบัติ ที่พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยู่ด้วยคราวหนึ่ง ก่อนที่จะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา,
            ท่านผู้นี้ได้สมาบัติถึงชั้นอากิญจัญญายตนฌาน;
            เรียกเต็มว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร




      พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
      http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อากิญ&detail=on
      http://www.84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%D2%A1%D4%AD&detail=on

      จากคุณ : JitZungkabuai   - [ 14 ก.ค. 51 08:26:41 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 7 

      ดูความแตกต่างของข้อ 3 กับ 4 ในผลการค้นลำดับที่  3 / 6

      จากคุณ : JitZungkabuai   - [ 14 ก.ค. 51 08:35:48 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 8 

      ยอดเยี่ยมทุกความเห็น...ผมจะรออ่านครับ

                ท่าน นมสิการ ..ที่สุดแล้วก็ทำและอยู่ เพื่อรู้หรือครับ แต่จิตจะมีกำลังวิปัสสนาได้ก็ต้องใช้สมาธินี่ครับทิ้งคงไม่ได้ ..ใช้วิปัสสนา แล้วมันละเองใช่ไหม ..ครับ

      จากคุณ : เกิดเป็นคนช่างยากแท้  - [ 14 ก.ค. 51 09:22:50 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 9 

      คห.1... ท่าน"บักหัมน่อยตุหรัดตุเหร่"

               ท่านต้องมีดีแน่...ช่วยไขขานหน่อยซีครับว่า คุณก็อกน้ำ เขาหลงทางอย่างไรครับ ถือเป็นธรรมทานครับ

      จากคุณ : เกิดเป็นคนช่างยากแท้  - [ 14 ก.ค. 51 09:45:30 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 10 

      คุณ จขกท . ก็อกน้ำ........สภาวะที่คุณเล่า ตรงกับ พระอาจารย์ สมภพ ในแผ่นที่4 วิฝึกปฏิบัติ อาณาปาณสติ ครับ

            สภาวะที่ เฉย...อยู่เป็นเดือนๆ หรือ จุดที่ทุกข์แท้ๆ เย็นเฉียบไปทั้งร่างกาย ไม่สามารถหาคำตอบได้.....(ยกมาบางส่วน)

       ลองหามาฟัง หากหาไม่ได้ต้องการก็แจ้งผมหลังไมด์ได้ ผมจะส่งให้ครับ หากกลัวว่าจะรู้ที่อยู่ ก็อ้างที่อยู่เพื่อนๆมาก็ได้

          ท่านอื่นๆผมก็ยินดีครับ ทุกท่น

      จากคุณ : เกิดเป็นคนช่างยากแท้  - [ 14 ก.ค. 51 10:06:02 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 16 

      อ่านแล้วเวียนหัว เข้าไม่ถึง ขอยึดแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ว่า
      เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง
      ดีกว่า น่าจะปลอดภัยกว่า

      จากคุณ : สุภวิโมกข์   - [ 14 ก.ค. 51 11:55:57 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 17 

      ตอบ คห 8 คุณเกิด
      ท่าน นมสิการ ..ที่สุดแล้วก็ทำและอยู่ เพื่อรู้หรือครับ แต่จิตจะมีกำลังวิปัสสนาได้ก็ต้องใช้สมาธินี่ครับทิ้งคงไม่ได้ ..ใช้วิปัสสนา แล้วมันละเองใช่ไหม ..ครับ

      1 ใช่ครับ สำหรับผม เพื่อรู้แบบไม่มีตัวตน ไม่ใช่ฉันรู้  มีแต่ธรรมชาติล้วน ๆ ที่จิตไปรู้ได้เองแบบไม่จงใจที่จะรู้  ไม่มีการสร้างสิ่งใดเพื่อจะรู้สภาวะ

      2 เรื่องจิตสมาธิ  ผมไม่ทราบครับว่าจะใช้กำลังสมาธิสำหรับวิปัสสนาหรืออย่างไร   มันจะเป็นอะไรก็ได้  ไม่เป็นอะไรก็ได้ มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน  ผมไม่สนใจมันเลยครับ  มันเป็นของมันเอง อย่างนี้เอง

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 14 ก.ค. 51 13:39:54 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 18 

      อนุโมทนาทุกคห.และคุณจขกท.ค่ะ

      ดิฉันอ่านเนื้อความก็งงบ้างเขาใจบ้าง

      แต่หลักใหญ่ใจความเข้าใจก็ตรงคำถามตรงบทสรุปของคุณค่ะ

      ดิฉันก็มีคำถามนี้เช่นเดียวกันแต่ดิฉันถามกับตัวเองค่ะ

      และก็ไม่รู้ว่าจะมีความอดทนฝึกฝนและปฏิบัติตนให้ได้ตลอดชีวิตหรือไม่ค่ะ

      ขอให้กำลังใจและขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

      อนึ่ง การที่จิตไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด ดิฉันก็เพิ่งมีประสบการณ์
      เมื่อวานนี้เองค่ะ แต่อาจไม่รุนแรงนัก จึงไม่แน่ใจว่าเป็นการแยกจิตจาก
      ความรู้สึกได้จริงหรือไม่ เป็นกรณีที่ เกิดปวดศรีษะอย่างแรง และเจ็บคอ
      เริ่มมีน้ำมูกและไอ เหมือนจะเป็นไข้ ไม่มีเรี่ยวแรงตื่นขึ้นมาตอนเช้า
      แต่จิตก็พยายามไม่รับไม่รู้ถึงความเจ็บปวด

      พอสักพักอาการต่างๆ ก็ทุเลาจนหายเป็นปลิดทิ้ง แปลกใจเหมือนกัน

      เพราะอาการแบบนี้ เคยเป็นแล้วจะต้องเป็นไข้ถึงกับต้องนอนทรม
      ถึงขั้นต้องลางาน

      แลกเปลี่ยนเฉยๆ น่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่ากรณีเดียวกับคุณหรือไม่

      จากคุณ : กานต์พิชชา (แก๊ซซ่า)   - [ 14 ก.ค. 51 15:01:43 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 19 

      คห.17 .....รู้แบบไม่มีตัวตน คำๆนี้ผมได้ยินนักปฎิบัติ พูดกันบ่อยแต่น้อยคนมาก ฟังแล้วรู้สึกสูงส่ง ไม่นึกว่าจะได้ยินที่นี่อีก ผมไปไม่ถึง ไม่ทราบการรู้แบบนี้ ...เทียบกับ (ท่านก็อกน้ำ)...เหมือนกับอยู่ดีๆวันหนึ่งแผ่นดินที่ใช้เหยียบก็หายไปเฉยๆแต่ใบไม้ และต้นไม้ยังอยู่......คล้ายๆจิตกับธรรมชาติจะเป็นหนึ่งเดียวกันทำนองนั้น ใช่ไหมครับท่าน นมสิการ

      คห.18 ....ผมอนุโมทนาด้วย ขอให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้น

      จากคุณ : เกิดเป็นคนช่างยากแท้  - [ 14 ก.ค. 51 18:22:50 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 20 

      ตอบ คห 19 คุณเกิด
      คล้ายๆจิตกับธรรมชาติจะเป็นหนึ่งเดียวกันทำนองนั้น ใช่ไหมครับท่าน นมสิการ

      ผมขอตอบสภาวะที่ผมรู้สึกได้ให้คุณเกิดได้พิจารณา  ซึ่งอาจไม่ตรงตามตำราก็ได้

      เมื่อสภาวะที่รู้ที่ไร้ตัวตน  จะมีลักษณะที่ว่า ตัวตนนั้นได้หายไปในความว่างเปล่า มีแต่ความว่างเปล่าที่เกิดอยู่ ที่สัมผัสได้ แต่ในความว่างเปล่านั้น จะมีสภาวะธรรมต่าง ๆ (อันเนื่องด้วยการทำงานของอายตนะ ) เกิดแล้วแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาในความว่างนั้น

      ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นได้แบบโลก ๆ สมมุติท้องฟ้าในคืนอันสงบ ไร้เมฆ ไร้ดวงดาว  ไร้ดวงจันทร์  ท้องฟ้าย่อมมืดสนิท  ในความมือสนิทนั้น
      ก็จะมีดาวตก ที่เกิดตกให้เห็นแว๊บ แล้วหายไป ตกเห็นแว๊บ แล้วหายไป ตกเห็นแว๊บ แล้วหายไป เป็นเช่นนี้ ตลอดเวลา โดยที่ดาวตกนั้น มันก็หายไปในท้องฟ้าที่มืดสนิทนั้นเอง
      กล่าวอีกนัยหนึ่ง  สภาวะธรรมที่เกิดจาก อายตนะที่ทำงานนั้น มันก็เกิดในความว่าง แปรเปลี่ยนในความว่าง และหายไปนั้นความว่าง นั้นเอง
      หมายเหตุ ดาวตก เปรียบเสมือน สภาวะธรรมที่เกิดจากการทำงานของอายตนะ

      จากคุณ : นมสิการ   - [ 14 ก.ค. 51 19:29:14 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 21 

      ด้วยความจริงใจ ผู้อื่นจะวางใจท่าน
      คำพูดที่รุนแรงย่อมแสดงถึงเหตุผลที่อ่อนแอ

                                     พ่อแก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 51 21:56:42

      จากคุณ : koknam (koknam)   - [ 14 ก.ค. 51 21:52:58 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 22 

      ถ้าสิ่งที่ท่านนมสิการกล่าวเป็นความจริง สิ่งนี้นั้นเกิดขึ้นกับท่านแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่มีสิ่งใดต้องกล่าวอีก สำหรับผู้ประสบแล้วย่อมเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่กล่าวเล็กๆน้อยๆได้ว่า ข้าพเจ้าดีใจที่มันเกิดกับท่านแล้ว

      สำหรับเรื่องความต่อเนื่อง เป็นเดือน เป็นปี ความเข้าใจที่เกิดขึ้นนี้จะไม่มีการสั่นคลอนอีกแล้ว ไม่มีทางหลงลืม เข้าใจอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรสั่นคลอนความเข้าใจนี้ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของการคิดเอา แต่มันเห็นของจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น ของมันไม่มี จะไปทำให้มันมีขึ้นมาย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกข์มันไม่มี จะไปทำให้มันมีขึ้นมา ย่อมเป็นไปไม่ได้

      เรื่องความทุกข์ใจทั้งมวลจบลงตรงตั้งแต่ที่เข้าใจนั่นแล้ว ไม่มีอาการเย็นเฉียบทั้งตัวอะไรทั้งนั้น ถึงมันจะมีก็ไม่มีความทุกข์สุขใจใดใดเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว เรื่อง รูป จบลงอย่างเด็ดขาด ไม่มีข้อสงสัยใดใดเกิดขึ้นอีกเลยนับแต่บัดนั้น

      อาจารย์สมภพ คือใครผมไม่รู้จักครับ และไม่เคยได้ยินมาก่อน และผมไม่เคยสนใจการฝึกด้วยวิธี อานาปานสติ แต่ถ้าคุณบอกว่า พูดเหมือนกัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะมันพิสูจน์ได้ง่ายๆว่า อยู่ที่ไหน ก็รู้ ก็เป็น ได้เหมือนกัน และขอโทษด้วยครับ ที่ต้องปฏิเสธความหวังดี เรื่องซีดี อย่าส่งมาเลยครับ ส่งไปให้แก่ผู้ที่เค้าต้องการเถิดครับ ผมขอฝากไว้เพียงว่า ถ้าเค้าสอนสิ่งเหล่านี้ให้คุณจริงไม่ว่าจะจากปากหรือจากซีดี จงตั้งใจเล่าเรียนให้หนัก ไปให้ถึงแก่นของคำสอนนั้น ด้วยสภาวะที่เป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ด้วยการเทียบเคียง


      และคุณพ่อครับ ผมได้พิสูจน์ให้เห็นมาหลายกระทู้แล้วว่า บทความเดียวกัน ความเข้าใจของคนนั้นต่างกัน บางคนไม่ต้องอธิบาย บางคนไม่สนใจคำอธิบาย และผมก็ไม่สนใจจะมานั่งอธิบายทุกประโยคเสียด้วย อย่าให้คำว่า ปัตจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน มาหลอกตัวเองได้ครับ เพราะของจริงจะต้องรู้เหมือนกัน พระอาทิตย์นั้นขึ้นทางทิตย์ตะวันออก ประเทศไหนๆบนโลกนี้ก็รู้แบบนี้ทั้งนั้น ถึงจะเที่ยวป่าวประกาศหรือไม่ป่าวประกาศไปไกลซักหมื่นพันกิโลเมตร มันก็ขึ้นของมันทางนั้นโดยไม่ต้องทำอะไร

      รู้ได้เฉพาะตัว แต่ไปรู้อยู่คนเดียว ย่อมไม่รู้ถูกผิด
      รู้ได้เพาะตัว แต่สามารถทำให้คนอื่นรู้ได้เหมือนตัวเองด้วยการพิสูจน์ ย่อมแน่จริง และผมทำมาแล้วด้วย

      บนทางสายนี้เราไม่ได้วัดกันว่า เรารู้อะไร เราเขียนเก่งแค่ไหน เราโต้แย้งชำนาญยังไง แต่เราวัดกันด้วยสภาวะ ที่ไม่ทุกข์ในทุกสถานการณ์ที่เราพบในชีวิตประจำวันครับ


      ขอให้สนุกกับหัวใจที่ไม่เคยทุกข์เลย นะครับ

      จากคุณ : koknam   - [ 14 ก.ค. 51 22:00:31 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 23 

      รู้ได้เฉพาะตัว แต่ไปรู้อยู่คนเดียว ย่อมไม่รู้ถูกผิด
      รู้ได้เพาะตัว แต่สามารถทำให้คนอื่นรู้ได้เหมือนตัวเองด้วยการพิสูจน์ ย่อมแน่จริง และผมทำมาแล้วด้วย

      อนุโมทนาข้อนี้ค่ะ __/\__

      บนทางสายนี้เราไม่ได้วัดกันว่า เรารู้อะไร เราเขียนเก่งแค่ไหน เราโต้แย้งชำนาญยังไง แต่เราวัดกันด้วยสภาวะ ที่ไม่ทุกข์ในทุกสถานการณ์ที่เราพบในชีวิตประจำวันครับ

      ข้อนี้เห็นจริงด้วย


      ขอให้สนุกกับหัวใจที่ไม่เคยทุกข์เลย นะครับ

      หัวใจที่ไม่ทุกข์ คือยอดปรารถนา จะประเสริฐมากๆหากกระทบกับอะไรแล้วไม่มีทุกข์เลย หรือคงมีแต่อุเบกขา

      กำลังพยายามอยู่ ....เหมือนกัน .....

      จากคุณ : รักดี    - [ 15 ก.ค. 51 08:22:43 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 24 

      มันต้องเกิน 1000 ตัวอักษรแน่ๆ จึงขอเขียนต่อตรงนี้อีกนิดหน่อยนะครับ

      ถ้าคุณเข้าใจคำสอนของอาจารย์คุณเป็นอย่างดีแล้ว คำแนะนำใดใดของผมย่อมไม่จำเป็นครับ สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตก็คือ แม้ว่าสภาวะที่ประสบจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ภาษาที่ใช้อธิบายนั้นต่างกัน เพราะกระบวนการของการเดินมาถึงนั้นไม่เหมือนกัน

      ผมถนัดเรื่องกระบวนการการเกิดของสภาวะ และ เรื่องความคิด  จึงมีความสามารถแจกแจงรายละเอียดของสิ่งพวกนี้ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะผมไม่มีครู ปัญหาทุกจุดจึงต้องถูกเคลียร์ทั้งหมด ผมต้องสอนตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นจะไปไม่ได้ สำหรับผมทุกจุดจึงสำคัญทั้งหมด เมื่อผมถ่ายทอด ผมจึงมักถ่ายทอดเรื่องกระบวนการของสภาวะ และทางออกของมัน

      แต่อาจารย์ของคุณ ถนัดเรื่องการชี้ตรงจุดเพื่อสอนคนอื่น ตัดสิ่งเยิ่นเย้อใดใด ที่ไม่จำเป็นต่อคุณออก สำหรับเค้าเค้ามองแค่สิ่งที่จำเป็นต่อคุณครับ มันต่างกันตรงนี้

      เมื่อคุณอ่าน จงแยกสิ่งเหล่านี้ให้ออก สิ่งใดที่คุณใช้ได้ผล จงวิ่งไปตรงนั้น สิ่งใดเยิ่นเย้อเลอะเทอะสำหรับคุณจงทิ้งครับ


      ขอวันนี้สวยงามต่อไปนะครับ

      จากคุณ : koknam   - [ 15 ก.ค. 51 11:10:05 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 25 

      เข้ามาเป็นกำลังใจให้ค่ะ

      จะยังคงเฝ้าดูความสำเร็จของคุณเสมอ
       
       


      จากคุณ : mingxing   - [ 16 ก.ค. 51 14:59:14 ]