โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ยาก

ยาก

ถ้าการเจริญสติยกไม้ยกมือเดินจงกรมเป็นเดือนๆปีๆ ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งยัง ฝืนใจ ท้อ น่าเบื่อ เสียเวลาทำมาหากิน สงสัยไหมครับทำไมมีคนฝ่าไปได้ หลายคนในพวกคุณอาจชื่นชมในความเอาจริงเอาจังของผม แต่บอกได้เลยว่า ผมไม่ใช่คนเก่ง ผมเคยเป็นคนเหลาะแหละ เกียจคร้าน ขี้ขลาด เอาแต่ใจ และดีแต่พูด มันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่หรอกครับกับการมองและชื่นชมคนอื่น ลองมาเป็นคนแบบนั้นด้วยตัวคุณเองไม่ดีกว่าหรือครับ





เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตผมเปลี่ยนไปมากจริงๆ ถ้าจะถามว่า อะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลง คงสรุปได้แค่ว่า ผมชนกับของที่ยากมาตลอดหกปี ..... การเอาชนะตัวเอง



พวกคุณคงคิดคล้ายๆผม การชนะตัวเอง เป็นหนึ่งในสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า เป็นของยากที่สุดในชีวิต มีคนเก่งบนโลกนี้มีมากมาย ถ้าผมอยากจะเป็นคนเก่งบ้าง ผมควรเลือกปะทะกับของที่ยากที่สุดไม่ใช่หรือ ถ้าอริยบุคคลนั้นยากสุดๆ ผมขอมุ่งชนตัวที่แน่สุดในบรรดาพวกมัน อรหันต์



ผมกล้าพูดแบบนี้ออกมา เพราะผมไม่เชื่อว่า การปฏิบัติธรรม คือการทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึงเอง ตามที่คนส่วนใหญ่บอกมา ในบรรดาพวกคุณ ใครเคยพบเห็นบ้างครับ บุคคลที่ฝึกแบบเรื่อยๆในอดีต แล้วปัจจุบันนี้เค้าถึงที่สุดของทุกข์



ฟังดูเหมือนพวกบ้าพูดไม่เจียมตัว แต่เป้าหมายการฝึกผมชัดเจน คนบ้าคือคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่คนสติดีรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะไปทางไหน แน่นอนว่าความมุทะลุกับความเด็ดเดี่ยวเป็นคนละอย่าง สิ่งที่ทำให้มันต่างกันคือ เชื้อเพลิงที่ไม่เคยหมด กำลังใจที่ถูกโยนลงไปซ้ำๆดื้อด้านสู้ไม่ถอยกับสิ่งที่ยาก พวกคุณว่ากำลังใจแบบนี้มันมาจากไหน ผมเป็นคนหนึ่งที่มีของพวกนี้นิดหน่อย และผมบอกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือบุญเก่าชาติก่อน



สำหรับผมกำลังใจที่รุนแรงระดับนั้น มาจากการที่ผมไม่พอใจในตัวเอง ผมไม่อาจทนรับสภาพอย่างที่กำลังเป็นได้อีกต่อไป ในเมื่อการเป็นอริยบุคคลเป็นเรื่องสุดหินทำไมถึงมีคนทำได้ เด็กคนหนึ่งบอกผมว่า พี่ครับไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะน่าเจ็บใจไปกว่า การที่ต้องนั่งมองคนอื่นทำได้ ในขณะที่เราทำไม่ได้ทั้งๆที่มีทุกอย่างเหมือนกัน ผมจะไม่เสียเวลาแก้ต่างให้คำสอนว่า จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ถ้าใครก็ตามในพวกคุณพอใจในอุปนิสัยความสามารถตนเองในทุกวันนี้อยู่แล้ว อย่าฝืนอ่านจนจบเลยครับ คุณไม่เหมาะกับบล็อกนี้



คนที่ยังไม่เด็ดเดี่ยวพอ เมื่อการฝึกของเค้าดำเนินไปโดยผลของการปฏิบัติไม่แสดงผลเป็นปีๆ กำลังใจของเค้าจะเริ่มแผ่วลงจากการเอาชนะอุปสรรคซ้ำๆไม่ได้ เค้าจะเริ่มแสวงหาความหวังใหม่ โดยเอาคำว่า ถูกจริต หรือ ต่อยอด เป็นข้ออ้าง การที่ผมมีโอกาสสอนคน ถ้าใครพร้อมฝึกจริง ความศรัทธาในตัวผู้สอนไม่ต้องมี ศัพท์ธรรมะไม่ต้องรู้จักขอให้ทำตามแค่ที่บอก ไม่ได้อวดเก่งครับ แต่เรื่องตื่นระยะรูปนามไม่ต้องมาพูด ง่ายเกิน



ผมมักจะบอกคนที่ผมแนะนำเพื่อเตือนว่า พวกเค้ากำลังจะเจอเข้ากับอะไร จากการประเมินส่วนตัวของผม ผู้ที่ถึงระดับศีลปรมัตถ์มีเพียงสองในร้อย ฉะนั้นใครก็ตามที่ไว้เนื้อเชื่อใจผม ใช้หัวใจของคุณตบปากผมเพราะคะเนผิด จงมาเป็นคนที่สามและที่สี่ให้ที ในชีวิต ผมพบเห็นคนไม่กี่คน ที่ผมมั่นใจว่าเกินระดับศีลปรมัตถ์อย่างแน่นอน พวกเค้าล้วนเป็นพวกฝึกอย่างหนักมาก่อน ผมยังไม่เคยเห็นใครที่ฝึกเรื่อยๆสบายๆแล้วพูดความรู้ในขั้นศีลปรมัตถ์ออกมา ทัศนะที่เหมือนกันอย่างหนึ่งของบุคคลจำนวนไม่มากนี้ คือการพูดถึง สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สำหรับขั้นต้นกำเนิดของความคิด พวกคุณสนใจจะมาเป็นหนึ่งในหมื่นหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ สน จงหยุดสอนคนอื่น แล้วจงโหมฝึกตนให้หนักอย่างถูกวิธี



โดยส่วนตัวผม ระยะรูปนามมันง่ายไป ในหนึ่งร้อยคนต้องมาอย่างน้อยเจ็บสิบถึงแปดสิบคน เมื่อผมรับผิดชอบสอนใคร สายตาผมเล็งไปขั้นต่ำสุดคือขั้นศีลปรมัตถ์ ตัวผมเองเดินมาในระยะแรกไม่มีคนชี้ แต่พอได้มีโอกาสชี้ให้คนอื่น ผมต้องยอมรับว่า คนสอนเป็นปัจจัยนอกตัวที่สำคัญที่สุด เมื่อเค้าก้าวลงสนาม เกมทั้งกระดานจะพลิกหมด ถ้าผมได้พบใครซักคนที่ฝึกมาอย่างหนักและจริงจังเป็นปีๆ แต่ไม่พัฒนาไม่เข้าใจอะไรเลย ผมไม่เชื่อว่าหมอนั่นโง่หรือยัยนี่ทึบเกิน ผมสันนิษฐานก่อนว่า คนสอนไม่เก่ง หรือไม่ก็เกิดการตีความคำสอนผิด ในบรรดาพวกคุณที่อ่านบล็อกมีใครบ้างครับที่กำลังเป็นครูสอนคนอื่นอยู่ หัวใจของคุณตระหนักอยู่ไหม ว่านี่เป็นงานที่สำคัญอย่างมาก หากว่าคำสอนคุณไม่เกิดผลต่อคนที่คุณสอน สำหรับผมนอกจากมันเป็นคำสอนที่ไร้ประโยชน์ ยังก่อโทษเสียเวลาอีกด้วย และมันมีโทษหนักถึงขั้นหลอกลวงผู้อื่น การสอนคนเป็นหน้าที่ใหญ่หลวง เราไม่สามารถทำเหมือนกับระบบการศึกษาที่ได้เกรดเฉลี่ยห่วยๆก็สามารถจบออกไปสอนคนได้ สำหรับผมคนที่จะสอนคนบนเส้นทางนี้ได้ต้องจบด้วยเกรด A+ อย่างเดียว ตัวผม คนที่ไว้ใจผม รวมถึงพวกคุณที่วนเวียนมาอ่านบล็อกซ้ำแล้วซ้ำอีก เสี่ยงมากทีเดียวนะครับ ที่มาฟังเด็กที่ยังเรียนไม่จบ



ต้องขอโทษใครหลายๆคนที่อ่านบล็อกนี้ ผมต้องสารภาพตามตรงว่า การสอนตัวต่อตัวระยะประชิดส่งผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่าการเขียนบนบล็อกให้พวกคุณอ่านมาก ผมยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไม การแก้ปัญหาแบบยืนคุยมองหน้ากันตรงๆ มีพลังมากกว่าการบอกวิธีแก้ปัญหาพูดคุยทางโทรศัพท์ มันมีบรรยากาศบางอย่างห่อหุ้มสถานการณ์แบบนั้นไว้



หลายๆคน ไม่เห็นด้วยกับทัศนะของผมในเรื่องการสอน ทำไมถึงเลือกสอนแค่บางคน ทำไมต้องมีข้อแม้ คนที่สามารถลงลุยได้ทันทีผมจะเข้าหาก่อน ไอคิวหรือพื้นฐานความรู้ธรรมะอะไรไม่มีจะดีกว่า ผมไม่สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาเรื่องแฟนนอกใจลูกไม่พูดด้วยตกงานญาติเสียหมาถูกรถชนกิจการเจ๊งด้วยการปลอบใจพรรณาหลักธรรมตามตำรา ต้องใช้ธรรมะข้อนั้นข้อนี้มาแก้ ของพวกนี้ผมไม่เก่ง ผมไม่รู้จะช่วยคุณแก้ปัญหายังไง ผมไม่มีแฟนผมไม่มีงานทำหมาผมก็พึ่งตาย ถ้าคุณเคลียร์ตัวเองมาก่อน มาเพื่อฝึกอย่างเดียว จะทำให้งานผมง่ายขึ้นมาก ผมเลือกคนที่เตรียมตัวรับมือความทุกข์ในวันข้างหน้า ไม่ใช่มีความทุกข์แล้วจนตรอกต้องมาฝึก วัดวาในประเทศนี้มีเยอะแยะพวกเค้าจะอ้าแขนรับคนแบบนั้น



ต่อให้คุณมาแบบพร้อมจัด เมื่อคุณลงเผชิญหน้ากับตัวเอง ด้วยความยากของมันคุณยังมีโอกาสสะบักสะบอมสูง แล้วคนที่อมทุกข์มาเต็มที่ สภาพจิตใจอ่อนแอ คุณจิตนาการออกไหมว่ามันจะลงเอยยังไง ความทุกข์มันไม่สนหรอกครับว่า คุณเป็นคนใหม่พึ่งฝึก ส่งตัวกระจอกง่ายๆไปให้คุณก่อน ความทุกข์จะอัดคุณเต็มเหนี่ยวตลอด มันไม่เคยออมมือให้คนเก่าหรือคนใหม่ ถ้าหัวใจคุณไม่แน่จริง คุณจะร่วงลงไปกองเพราะตัวคุณเองนั่นล่ะ แต่ผมไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ว่า คนที่มีความทุกข์มากจะไปได้ดีพอๆกัน เพียงแต่ประสบการณ์ที่ผมเจอมา คนพวกนี้พอผ่านความทุกข์ตัวนั้นได้ เค้าจะเริ่มทิ้งการฝึก คนที่ฝึกเพราะความทุกข์บังคับ จะต่างจากคนที่ตั้งใจฝึกเพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเอง เพราะประเภทหลังเค้าไม่หยุดฝึก



ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่พร้อม ผมรับรองได้ว่า ฝึกไปไม่นาน คุณจะรู้ตัวเองว่า มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงจากภายใน ตรงนั้นนั่นล่ะครับจะค่อยๆเป็นแรงผลักดัน หรือเป็นกำลังใจให้คุณฝ่าฟันต่อไปเรื่อยๆ จากความเก็ทจะเปลี่ยนเป็นเก็ทขึ้นๆ คุณจะเดินหน้าต่อไปเพราะเกิดมรรคเกิดผลสลับกันไป คุณจะค่อยๆโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที คุณจะเริ่มพูดสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ และนานวันเข้าคุณก็จะเลิกพูดไปเอง ผมบอกเรื่องนี้เพราะคุณต้องเข้าใจไว้ก่อนเลยว่า ผลของการเจริญสติมันไม่ได้นำมาซึ่งความเปี่ยมสุข ปรีดาทุกขณะจิต อย่างที่หลายๆคนคาดหวัง คุณต้องชนกับอุปสรรคแต่ละตัวที่โคตรยากและหลอกล่อคุณ ทุกขณะต่างหาก ถ้าคุณต้องการฝึกแล้วอิ่มเอิบในจิต คุณจะไม่ได้มันจากการฝึกด้วยวิธีนี้ แม้ว่ามันจะเกิดกับคุณแน่ แต่นั่นแสดงว่าคุณกำลังถูกมันหลอกตบหน้าแล้วครับ



เด็กคนหนึ่งบอกผมว่า เค้าชักจะไม่อยากฝึกต่อแล้ว เพราะรู้สึกไม่สนุกเวลาเฮฮากับเพื่อนฝูง ผมตอบว่า ผมก็ไม่สนุกเหมือนกัน ความสนุกแบบเด็กๆแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว ทุกวันนี้ผมมีปัญหาเรื่องงานเลี้ยงรุ่นเพราะผมไม่ไป ข้ออ้างที่ผมบอกเพื่อนคือ ผมไปแล้วผมไม่สนุก ความสนุกของผมเป็นคนละเรื่องแล้ว ผมมันส์กับการถล่มความง่วง ผมคึกกับการข้ามของยาก ผมรู้สึกเซ็งกับการฝ่ารถติดไปไกลๆเพื่อดื่มเหล้าร้องเพลงแข่งกันเต้นรำ ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีสังคม ไม่มีใครคบ ให้มันเกิดขึ้นกับผมทีเถอะ ผมถวิลมันจริงๆ



แม้ว่าเราจะเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มเปลี่ยนตัวเองคุณจะเริ่มลืมการเปลี่ยนโลก และเมื่อคุณเปลี่ยนตัวเองมาถึงระดับหนึ่งคุณจะรู้ว่าโลกนี้สรรพสิ่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย มันซ้ำๆอยู่แค่นั้น จริงอยู่ว่าธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผลลัพธ์ของการเข้าถึงความธรรมดาคือ สิ่งที่ไม่ธรรมดา



สิ่งที่ผมเริ่มสังเกตและเห็นจริงตามคำสอนของหลวงพ่อเทียนคือ หลวงพ่อเทียนเชื่อว่าพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้สอนอะไรมาก ยิ่งมาไกลยิ่งไม่มีอะไรมาก แล้วทำไมทุกวันนี้ธรรมะมันมีมากนักล่ะ ผมอยากให้พวกคุณลองนึกถึงคำสอนของคนที่เก่งมากๆในยุคของเรา พวกเค้าสอนมากหรือสอนน้อย มองดูดีๆนะครับ แก่นแท้ๆของพวกเค้ามักสรุปมาเป็นประโยคสั้นๆ และทำมากในแก่นน้อยๆนั่น และอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเค้ามักมีวิธีเฉพาะตัวบางอย่างไม่เหมือนคนอื่น เมื่อคนเหล่านี้ตายไป ลูกศิษย์ใกล้ชิดทั้งหลายจะเริ่มนำคำสอนมาแตกแขนงแบ่งปันคนอื่น และในท้ายที่สุดลูกศิษย์รุ่นต่อๆมาจะตีกันเอง



บางคนบอกกับผมว่า นึกว่ารู้ธรรม ต้องรู้ไปทั่ว รู้มันทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เลยครับ รู้เฉพาะเรื่องตัวคุณเองนั่นต่างหากรู้ธรรม ผมไม่เชื่อเลยว่า พระพุทธเจ้ารู้ค้นพบอิเลคตรอนในอะตอมมาก่อนหน้าเป็นพันปี แล้วจัดมันอยู่ในหมวดใบไม้นอกกำมือ คนที่ค้นพบของลึกซึ้งอย่างการเจริญสติสัมปชัญญะต้องโคตรเก่งมากๆแน่ล่ะ แต่ผมเชื่อว่าไม่ได้เก่งในทิศทางที่คนในยุคนี้ทั่วไปสรรเสริญขึ้นเอง



ความรู้เยอะแยะที่พวกคุณได้อ่านจากบล็อกนี้เริ่มหายไปจากสมองผม ทั้งที่ตัวผมเองเป็นผู้เขียนมันขึ้นมา ความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตัวผมเองอีกแล้ว เพราะมันกำลังจะเหลือเพียงความรู้สึกตัวเพียงอย่างเดียวที่เป็นบทสรุปของความรู้ทั้งหมด ผมเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เหลือเพียงหนึ่ง และมันไม่มีวันแปรผัน ความรู้ที่เคยมีมานั้นยังอยู่แต่มันจะออกมาต่อเมื่อถึงเวลาที่ต้องสอนคนอื่น และเมื่อพวกคุณมาถึงจุดเดียวกันนี้ การสลัดทิ้ง ธรรมะ เหลือไว้แต่ ธรรม จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันแน่นอน ลำดับการพัฒนามันเป็นอย่างนั้นครับ



ผมเคยรู้สึกว่าผมเข้าใจอะไรมากเหลือเกินแต่ก็คุยกับใครไม่รู้เรื่อง และยิ่งนานวันไปผมก็หมดความสนใจในการสนทนาธรรม ณ วันนี้ มันเหมือนผมไม่ได้รู้อะไรเลย ความรู้ในสมองที่พูดหรือเขียนออกมาทั้งหมดล้วนไม่ใช่ของจริง ผมจะดูทรงภูมิเมื่อถูกถาม นอกเหนือเวลานั้นผมเป็นแค่ไอ้โง่ที่ไม่รู้อะไรเลย สาระสำคัญมันมาลงตรงแค่ที่ว่า เรากำลังรู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ ไม่ ความรู้ทั้งหมดที่มีในหัวล้วนไร้ประโยชน์



ผมได้พยายามอธิบายความรู้สึกตัวหลายๆครั้ง และผมทราบแก่ใจว่าพวกคุณยังจับทิศทางไม่ชัดเจน ว่าความรู้สึกอะไรรู้สึกล้วนๆ ผมรู้ว่าพวกคุณรู้สึกตัวกันเป็น แต่อย่าหยุดการพัฒนามันไว้แค่นั้น มันมาได้อีกไกลมาก ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณรู้สึกตัวได้ดีอยู่ ลองถามตัวเองสั้นๆดูซิครับว่า ความรู้สึกตัวระดับที่คุณเป็นอยู่นี้มันมาสุดหรือยัง ความรู้สึกตัวที่เกิดกับผมในระยะนี้จะเหมือนกันในทุกอวัยวะ ไม่ว่าคุณจะเคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่งมันจะเป็นเหมือนเดิมเสมอ ความรู้สึกของเนื้อสมองจะเหมือนกันกับความรู้สึกที่เนื้อมือ ความรู้สึกเนื้ออวัยวะภายในทรวงอกและภายในช่องท้องจะเหมือนกันกับความรู้สึกที่เนื้อเท้า ความรู้สึกที่เนื้อริมฝีปากและเนื้อลิ้นจะเหมือนกันกับความรู้สึกที่เนื้ออวัยวะเพศ มันเหมือนกันหมดทั้งตัว นี่บอกใบ้กันแบบสุดๆแล้วนะครับ



ถ้าคุณอยากรู้ว่าความรู้สึกตัวมันช่วยให้พ้นทุกข์ได้ยังไง ผมบอกได้ว่า เพราะความเหมือนเดิมคงที่ของมันครับ ไม่ว่าคุณจะคิด ไม่คิด หรืออะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตก็ตาม ตกงาน ญาติเสีย หมาตาย ขาดทุน ความรู้สึกตัวชนิดนี้มันจะยังคงเป็นเช่นเดิมทั้งตัว มันไม่เปลี่ยนตามกฏไตรลักษณ์ ถ้าคุณต้องการเข้าถึงของพวกนี้ ซึ่งผมไม่บังคับหรือชักนำใครที่หัวอ่อนในบรรดาพวกคุณมาเป็นพรรคพวก ขอให้คุณทำใจไว้ได้เลยว่า ธรรม ที่คุณจะมาสัมผัส เป็นคนละเรื่องอย่างมากกับสิ่งที่กำลังถูกสอนกันอยู่ในบ้านเมืองนี้ หรือวางอยู่บนชั้นในร้านหนังสือส่วนใหญ่ เราจะอัดกันเรื่อง ธรรม ไม่ใช่ธรรมะ



ผมเคยพยายามจะเอาความรู้ตามตำราเข้ามาโยงใยกับสิ่งที่เกิดกับผม ผนวกรวมกันให้ลงรอย ซึ่งเหมือนผมจะบอกตัวเองและคนอื่นเป็นนัยๆว่าผมไม่ได้ฝึกผิดนะ อย่างเช่นมาถึงระยะตรงนี้คือ โสดาบัน มาถึงตรงนี้คือ สกิทาคามี ผมรู้ว่ามันใช่ แต่มันมีประโยชน์น้อยมากและเสียเวลา ข้อมูลตามตำราบวกกับคำเล่าลือ ทำให้มันดูวิเศษวิโสเกินจริง มันเต็มไปด้วยของที่ไม่จำเป็นต้องรู้ การที่คุณเข้าถึงระยะรูปนาม สลัดหลุดและกลับมาเคารพสมมต เท่าทันโมหะโทสะโลภะ แจ้งในกิเลสตัณหาอุปทานกรรม มีประโยชน์มากกว่า การมานั่งท่องแล้วทำตามสังโยชน์สามข้อแรกเสียอีก



มีใครในพวกคุณบ้างไหม ที่อยากจะได้ป้ายตำแหน่งบนโต๊ะทำงานว่า อนาคามี หรือเดินไปไหนมาไหนมีดอกบัวผุดขึ้นมารับ จะนั่งตรงไหนก็มีดอกไม้ร่วงลงมา ผมเปรียบเทียบเพื่อให้คุณเข้าใจว่า ความรู้เกี่ยวกับธรรมะที่พวกคุณรู้ไม่มีประโยชน์เลยครับ ถ้าชีวิตคุณยังทุกข์อยู่ มันจะมีประโยชน์อะไรที่คุณรู้ว่า อิทธิบาทสี่มีอะไรบ้าง แต่ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ หรือร่ายปฏิจจสมุปบาทได้เป็นวันๆ แต่ยังติดอยู่ในวงจรนั้น ผมไม่สนับสนุนเลยให้พวกคุณรู้มาก



ยิ่งผมได้สอนคนยิ่งชัดมาก การพยายามดึงเอาสิ่งที่อยู่ในตำรา หรือคำพูดของคนอื่น ผนวกลงไปในการอธิบาย จะทำให้ผู้เรียนสับสนมากขึ้น เพราะแต่ละคนตีความของในตำราหรือสิ่งที่ได้ฟังมาก่อนต่างกัน ยิ่งผมพยายามเอาความรู้ของผมยัดลงไปอีก สิ่งที่เกิดคือความสับสน ถึงตรงนี้ผมมั่นใจแล้วว่า คนสอนที่เก่งจริง จะสอนเพียงวิธีทำ วิธีแก้ปัญหาและแม่นโพรเซส พวกเค้าจะไม่สอนแบบอธิบายว่า อะไรเป็นอะไร นอกจากจะเป็นไปเพื่อจัดระบบความเข้าใจให้ผู้เดินมาถึงแล้วในระดับต่างๆ เมื่อไหร่ที่คำตอบของคุณตรงกับของผมโดยที่ผมไม่ได้บอก บวกกับลักษณะท่าทางการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของคุณ ผมจะรู้ทันทีว่าคุณผ่านมาจริง ธรรม ได้งอกขึ้นบ้างแล้วในชีวิตคุณ









ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ















ภาพนี้ให้พี่ปูครับถูกแอบถ่าย ปรกติเวลาที่ต้องรอคอย ผมจะนั่งยกมือสร้างจังหวะโดยไม่เกี่ยงสถานที่ครับ ที่ที่ผมชอบที่สุดคือสนามบิน เพราะต้องรอคอยเครื่องที่ดีเลย์บ่อยมาก ทั้งชาวไทยและต่างชาติจะเดินแล้วหยุดมองอย่างสงสัยว่าทำอะไร เด็กบางคนเดินเข้ามาจะเล่นด้วย ผมจะถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิหรือไม่ก็นั่งพับเพียบบนพื้นแล้วยกมือสร้างจังหวะไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีภาพที่สนามบินนะครับ ผมเขินมากกว่าที่ต้องลุกไปตั้งกล้องถ่ายภาพตัวเอง ถ้าพี่รู้สึกบ้าที่ต้องนั่งยกมือในวงสนทนา ผมคงเข้าขั้นวิกลจริตแล้วครับ

Posted by koknam at 08:36 Labels: 43 ยาก

18 comments:

Anonymous said...

ขอบพระคุณค่ะคุณก็อกน้ำ ที่นำมาฝากกันทั้งธรรมะและข้อฝากพิเศษสุด พี่ยินดีร่วมเป็นคนวิกลจริตด้วยคนค่ะ สาธุค่ะ



อ่านบทความวันนี้ ไม่มีคำพูดใด ๆ ค่ะ นอกจากมองดูตัวเองด้วยความทุเรศอย่างที่สุดค่ะ



สุดยอด .... พี่ขอมอบคำนี้ให้คุณค่ะ



25 Apr 2011 14:06:00

mon369 said...

หลักเกณท์ที่คุณ Koknam จะใช้ในการคัดเลือกคนที่คุณจะสอนมีอะไรบ้างค่ะและสถานที่ที่คุณจะใช้สอน



26 Apr 2011 02:16:00

ใฝ่ธรรม said...

ฝากฝึกกับคุณkoknamค่ะ



26 Apr 2011 06:47:00

koknam said...

KNINE4321 has left a new comment on your post "ยาก":



สวัสดีค่ะ คุณก๊อกน้ำ



คุณแน่มาก ถ้าอย่างนั้นแล้ว ดิฉันจะฝึกตัวต่อตัวกับคุณได้ที่ไหนคะ

หากคุณรับรองถึงขั้นต่่ำระดับศีลปรมัตถ์ และคุณบอกการเผชิญหน้าตรงๆ

มีพลังกว่าการอ่านบล็อกคุณ หรือโทรศัพท์คุยกัน



ทุกวันนี้หากดิฉันทำอย่างคุณได้ ทิ้งทุกอย่างแล้วฝึกอย่างเดียว มันคงจะดี

แต่ต้องเป็นคนแบบไหนกัน ถึงได้กล้าเดิมพันขนาดนั้น



ก็หวังว่าขอให้ดิฉันได้มีพลังเด็ดเดี่ยวแบบนั้นบ้าง หากทางที่เดินอยู่นี้เป็นของจริง



ขอบคุณ คุณก๊อกน้ำค่ะ ที่ทำให้รู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยวระดับนี้่ว่ามีคนเค้าทำกันจริงๆ



ขอบคุณค่ะ







Posted by KNINE4321 to koknam at 26 Apr 2011 01:14:00



26 Apr 2011 18:21:00

ก้อนดิน said...

"สาระสำคัญมันมาลงตรงแค่ที่ว่า เรากำลังรู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ ไม่ ความรู้ทั้งหมดที่มีในหัวล้วนไร้ประโยชน์" ...เหมือนถูกถีบลงจากที่สูง... จุก.. ขอบคุณ..ที่ทำให้เลิกผยอง..เพราะขณะแสดงความเป็นผู้ทรงทธรรม (ความบ้ามากกว่า) หาความรู้สึกตัวไม่เจอ...



26 Apr 2011 20:09:00

koknam said...

คุณ mon369 ครับ

ผมไม่มีหลักเกณฑ์อะไรที่เป็นข้อๆเหมือนกฏทหารหรอกครับ ผมแค่สังเกตเค้าและประเมินว่า คนแบบนี้ผมช่วยได้ มันไม่ใช่ความผิดของเค้าที่ผมไม่เลือก แต่เป็นความผิดของผมที่ความสามารถผมไม่พอจะช่วยเค้าได้





KNINE4321

ผมไม่ได้รับรองขั้นต่ำศีลปรมัตถ์ เพราะในทุกคนที่ผมสอน ยังไม่มีใครมาถึงจุดนี้ครับ เพียงแต่ในฐานะที่บางคนอนุญาตให้ผมสอนเค้า สายตามผมเล็งเอาไว้ว่า ขั้นต่ำที่สุดที่ผมจะต้องช่วยให้ได้คือ ขั้นนี้ ผมจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีลากขึ้นมาให้ได้ แต่ครูเต็มที่แค่ไหนแต่ถ้านักเรียนไม่เอา มันจะช่วยเหลือกันไม่ได้ ผมถึงต้องเลือกคนครับ







ผมยังไม่เก่งพอที่จะสอน เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมามันเหมือนเป็นไฟลท์บังคับ ผมเพียงเล่าประสบการณ์เหล่านั้นให้ฟัง ผมไม่อยากสอน แต่มีคนพิสูจน์ให้เห็นว่าเค้าเอาจริง จากนั้นเค้าพาลูกมา คนน้องพาคนพี่มา เพื่อนของลูกจะพาเพื่อนมาอีก มันชักจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ



ถ้าผมไม่เอาเวลามาฝึกตัวเองเพราะระเริงอยู่กับการสอนคน ไหนจะปัญหาแนวทางไม่ตรงกับพระอีก ผมไม่อยากสร้างความแตกแยกสร้างกลุ่มสร้างก้อนในวัดด้วยการระดมพล ผมอาศัยข้าววัดข้าวพระกิน ผมไม่ควรสร้างปัญหาให้วัดมากไปกว่าที่มันมีอยู่แล้วตอนนี้ อย่าพึ่งเพิ่มภาระให้ผมครับ ให้เรือผมแข็งจนพายุแบบไหนก็ทำให้จมไม่ได้ก่อน แล้วผมจะอาสาเอง





ขอบคุณทุกคนครับที่เสียเวลาอ่านความรู้ครึ่งๆกลางๆมาตลอด



26 Apr 2011 20:13:00

koknam said...

ก้อนดิน has left a new comment on your post "ยาก":



"สาระสำคัญมันมาลงตรงแค่ที่ว่า เรากำลังรู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือ ไม่ ความรู้ทั้งหมดที่มีในหัวล้วนไร้ประโยชน์" ...เหมือนถูกถีบลงจากที่สูง... จุก.. ขอบคุณ..ที่ทำให้เลิกผยอง..เพราะขณะแสดงความเป็นผู้ทรงทธรรม (ความบ้ามากกว่า) หาความรู้สึกตัวไม่เจอ...





...............................................



หัดเดิน has left a new comment on your post "ยาก":



กรุณาแนะนำ "จงโหมฝึกตนให้หนักอย่างถูกวิธี" ด้วยค่ะ



ปัจจุบันตื่น ตี5-6 โมงเช้า พยายามรู้สึกอิริยาบทตั้งแต่เริ่มตื่น ระหว่างขับรถไปทำงาน(ค้าขาย) ระหว่างวัน พยายามรู้สึกตัว เมื่อฟุ้งซ่าน ถ้ารู้ทันจะรีบกลับมาที่ความรู้สึกตัว กลับถึงบ้านประมาณ 3-4 ทุ่ม เริ่มเดินจงกรมทำความรู้สึกตัวประมาณครึ่ง-1 ชม.



ต้องเสริมอย่างไรบ้างคะ เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่สามารถรู้สึกตัวได้อย่างต่อเนื่องพอ ไม่ได้อยากทำได้เร็วๆนะคะ เพราะคิดว่าเป็นอะไรที่ต้องสะสมไป แต่รู้สึกเหมือนตัวเองเรื่อยๆมาเรียงๆน่ะค่ะ จึงอยากขอคำแนะนำว่าการโหมฝึกหนักอย่างถูกวิธี ควรจะเป็นอย่างไรคะ หากไม่สามารถทำในรูปแบบได้ทั้งวัน ที่กำลังทำอยู่ถูกวิธีหรือไม่คะ หรือต้องเพิ่มเวลาการฝึกในรูปแบบในตอนกลางคืนให้มากขึ้น



วิธีการปฏิบัติของดิฉัน ได้จากการอ่านทางinternet ค่ะ จึงอาจดูเหมือนประยุกต์จากหลายแนวรวมๆกัน เช่นถ้ามีโอกาสให้เคลื่อนไหวก็จะเคลื่อนไหว เมื่อต้องอยู่นิ่งๆก็จะมาจับที่การเคลื่อนไหวของท้องพองยุบ สรุปคือพยายามจับการเคลื่อนไหวทางกายไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจเคลื่อนหรือการเคลื่อนเองตามธรรมชาติ แบบนี้ถูกวิธีไหมคะ



ขอบคุณมากๆค่ะ







Posted by หัดเดิน to koknam at 26 Apr 2011 23:13:00



27 Apr 2011 06:24:00

koknam said...

การฝึกตนเองให้หนักและถูกวิธีนั้น หมายถึงคุณต้องเข้าใจความรู้สึกตัวจริงๆครับ และใช้เวลาทั้งหมดที่มีเพื่อฝึกพัฒนามันอย่างเดียว ถ้าเราได้เจอกันจะเข้าใจได้ง่ายมากครับ



ผมคงต้องพูดตรงๆ ขอให้คุณเลิกผสมผสานแนวทางได้ไหมครับ ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ ความรู้สึกตัวเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าคุณจะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว ให้คุณเฝ้าสังเกตความรู้สึกที่อยู่ในเนื้อของคุณเสมอ มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ข้างในเนื้อของคนเราครับ



เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าไม่รู้สึกตัว ให้คุณเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนใดก็ได้ช้าๆ ช้ามากๆ แล้วให้สังเกตความรู้สึกในเนื้อของคุณ ที่เกิดจากการเคลื่อนช้าๆนั่น



คุณจะใช้ท้องพองยุบก็ได้ แต่ให้สังเกตความรู้สึกในเนื้อของท้อง คุณจะกระพริบตาก็ได้ แต่ให้สังเกตความรู้สึกของเนื้อเปลือกตา



ผมอยากให้คุณทดลอง กางขาและกางมือออกข้างลำตัวทั้งสองข้าง จากนั้นให้หมุนเอวแบบกายบริหาร แต่ให้หมุนช้าๆ ช้ามากๆ เมื่อคุณกวาดมือเป็นวงกลม คุณจะมีความรู้สึกเมื่ออากาศผ่านผิวหนังของคุณใช่ไหมครับ ความรู้สึกแบบนี้ให้มันเกิด แต่ความรู้สึกผิวสัมผัสแบบนี้เราไม่เอา ของแบบนี้ใครๆก็รู้ได้ไม่จำเป็นต้องฝึก ในระหว่างที่คุณกวาดมือเป็นวงนั้น ให้ตั้งใจสังเกตอย่างมาก ของความรู้สึกในเนื้อแขนเนื้อมือของคุณครับ จับความรู้สึกตัวนี้ให้ได้ก่อน พอจับได้แล้ว ให้อัดมันแค่ตัวนี้ตัวเดียวอย่างอื่นไม่ต้องทำ



ข้อสังเกตนะครับ เมื่อคุณจับตัวนี้ได้ถูก ทุกอย่างจะหยุดหมด พิสูจน์ครับว่าผมโกหกคุณหรือเปล่า



27 Apr 2011 07:18:00

Anonymous said...

พี่ปูไปเมืองไทย ไปขอฝึกกับคุณก็อกน้ำด้วยได้มั้ยคะ



ขอบพระคุณค่ะ



27 Apr 2011 15:20:00

Anonymous said...

พี่ปูจะร่วมพิสูจน์ด้วยคนค่ะ สาธุค่ะ



27 Apr 2011 17:17:00

koknam said...

ถ้าพี่จะกรุณาไม่ทำบรรยากาศอึกทึก และจะฝึกกันจริงๆจังๆ พูดมาคำเดียวว่าพี่มาถึงเมื่อไหร่ ผมจะเคลียร์เวลาเตรียมไว้ครับ



27 Apr 2011 18:16:00

Anonymous said...

ด้วยความยินดีและเต็มใจทำตามกฏอย่างที่สุดค่ะ พี่ไปประมาณสิ้นปีอ่ะค่ะงืออ อยากไปให้ได้เร็วกว่านี้ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงพี่จะแจ้งคุณก็อกน้ำไปโดยเร็วที่สุดค่ะ



ขอบพระคุณค่ะ

พี่ปู



28 Apr 2011 15:27:00

หัดเดิน said...

สวัสดีค่ะคุณก็อกน้ำ

แม้จะไม่ค่อยเข้่าใจความแตกต่างแบบผิวสัมผัสกับความรู้สึกในกล้ามเนื้อ แต่ละพยายามสังเกตดูค่ะว่าเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างไร



ขอบคุณมากๆค่ะ



4 May 2011 01:17:00

Anonymous said...

สวัสดีค่ะคุณก็อกน้ำ



พีปูอาจได้กลับเมืองไทยเร็ว ๆ นี้ค่ะ



ไม่ทราบว่าจะติดต่อคุณก็อกน้ำได้อย่างไรบ้างคะ



benyapabecks@จีเมล์.com ค่ะ



ขอบพระคุณค่ะ



5 May 2011 16:28:00

ดอกไม้ said...

ชอบคำนี้จริงๆค่ะ



รู้สึกตัวซะหน่อย แล้วค่อยๆเขียน



คำนี้ก้องอยู่ในหัวเลยค่ะ



11 May 2011 09:25:00

Anonymous said...

อยากกล่าวคำขอบพระคุณมากมายสำหรับความเสียสละและความเมตตาที่มีให้แก่กันนะคะคุณก็อกน้ำ :)



พี่กลับถึงบ้านแล้วค่ะ มีโอกาสคงได้คุยกันอีกนะคะ รีบมาส่งข่าวให้ทราบก่อนค่ะ



บุญรักษาค่ะ

พี่ปู



8 Jun 2011 19:46:00

Anonymous said...

ดอกไม้ has left a new comment on your post "ยาก":



มีข้อสงสัยอยากเรียนถามค่ะ เนื่องจากเป็นคนใหม่จึงยังไม่เข้าใจมากนัก ในระยะรูปนาม

ในความหมายของลพ.เทียนหมายถึงการตื่นตัวรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วใช่มั้ยคะ

สำหรับบทความในเรื่องนี้ที่คุณkoknamบอกว่าความรู้สึกในเนื้อสมองจะเหมือนความรู้สึกที่เนื้อมือ ....มันเหมือนไปหมดทั้งตัว อ่านแล้วคาดเดาเอาว่าเมื่อความรู้สึกได้พัฒนามาถึงจุดนี้ มันจะไม่มีการแยกส่วนหนึ่งส่วนใดอีก ทุกสิ่งเป็นสภาวะเดียวกัน รู้แต่

ว่ามีบางอย่างเกิดเท่านั้น ไม่ทราบเข้าใจถุกหรือไม่ กรุณาชี้แจงให้ด้วยเพราะสนใจจะ

ศึกษาในแนวของลพ.เทียนค่ะ จะได้ไปต่อได้ถูกต้อง ขอบพระคุณค่ะ







Posted by ดอกไม้ to koknam at 10 Jun 2011 00:40:00



12 Jun 2011 16:11:00

Anonymous said...

ใช่ครับ



koknam



12 Jun 2011 16:12:00



Post a Comment

รู้สึกตัวซะหน่อย แล้วค่อยๆเขียน