โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

สอน ?

สอน ?

ผมไม่มีเวลาจะมานั่งเขียนบล็อกเท่าไหร่เพราะหมดไปกับการฝึก บทความนี้ขอแบ่งเป็นสามส่วนรวมกันครับ



....











Section 01





ประเด็นคำถามที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมากที่สุดอันหนึ่ง ใครบางคนถามผมว่า ในแง่ของการปฏิบัติธรรมเราควรเน้นที่กระบวนการหรือเน้นที่ผลลัพธ์ ในมุมมองของผมนั้นแบ่งผู้แสวงหาออกสองประเภท



หนึ่งคือบุคคลทำสิ่งต่างๆโดยไม่มีครู พวกนี้คือพวกจัดอยู่ในประเภทเน้นผลลัพธ์ เนื่องจากพวกเค้าไม่รู้วิธีที่จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมาก่อน ดังนั้นพวกเค้าจะใช้วิธีไหนก็ได้แต่ขอให้มันได้ผล พวกนี้จำเป็นต้องทดลองทุกอย่าง ผมสังเกตว่าเรามักจะเจอคนประเภทนี้ในระดับปรมาจารย์ในวิชาชีพ คนพวกนี้มักไร้รูปแบบ



สองคือบุคคลเน้นกระบวนการ โดยหลักการคือ เมื่อเหตุถูก ผลที่ถูกย่อมตามมาเอง คนประเภทนี้มีคนประเภทแรกชี้ทางให้ พวกเค้าแค่ทำตามกระบวนการที่ถูกค้นพบโดยคนประเภทแรกแล้ว ถ้าถามว่าอันไหนยากกว่าสำหรับผมมันยากทั้งคู่ เพราะแม้คุณจะมีคนประเภทแรกชี้ทางให้ แต่เรื่องการลงปฏิบัติคุณจะไม่เข้าใจว่าเค้าพยายามจะบอกอะไรคุณ บางครั้งคุณยังมุ่งไปทางผิดเพราะตีความผิดอีกด้วย คนพวกนี้มักจะสงวนรูปแบบไว้



เมื่อคนประเภทแรกสอนคนประเภทที่สอง เค้าจะสอนโดยการเน้นที่กระบวนการหรือเน้นวิธีทำ เพราะเค้ารู้แจ้งแล้วว่าผลที่ถูกต้องนั้นเกิดตามมาจากอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่า คนประเภทที่สอง จะดำเนินตามคนประเภทแรกในระยะเริ่มต้น ต่อมาเมื่อพวกเค้าได้พบสภาวะหรือความรู้แจ้งต่างๆ พวกเค้าจะเริ่มเอนไปอยู่กับปรากฏการณ์เหล่านั้นของตนเอง และพวกเค้าจะถูกทำให้เข้าใจหรือคาดหวังเอาเองว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเค้าจะนำไปถึงจุดหมายได้ ในขณะที่บุคคลประเภทแรกนั้นมองไปที่ผลลัพธ์สุดท้าย พวกเค้าจึงตัดผลลัพธ์ชั่วคราวที่เกิดระหว่างทางออก และนี่คือที่มาของคำครูที่พวกคุณจะได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเบื่อ “อย่าไปสนใจมัน”



เมื่อผมกระโดดลงไปในการปฏิบัติธรรม ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งใดถูกหรือผิด เพราะคำพูด ตัวหนังสือ แม้แต่สภาวะที่เกิด แสดงออกหลายครั้งแล้วว่า มันใช้ไม่ได้ผล การที่เรามีคนประเภทแรกให้คำแนะนำนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างมาก นั่นคือลักษณะของกัลยาณมิตรที่แท้ แต่ทว่าพวกคุณจงฟังคำเตือนต่อไปนี้ให้ดี แม้ว่าใครบางคนในพวกคุณอาจจะมีกัลยาณมิตรชนิดนั้นไว้ข้างๆ แต่ด้วยอาการต่างๆที่คุณจะได้พบระหว่างเดินทางจะทำให้พวกคุณรู้สึกว่า คำแนะนำของกัลยาณมิตรเริ่มไม่เจ๋งสักเท่าไหร่ เพราะอาการปิติที่เกิดกับพวกคุณ ความรู้ที่พุ่งออกมาเกินหยุดลึกล้ำยิ่ง จะทำให้คุณติดไปกับพวกมัน จะเรียกว่าเป็นกับดักในการเดินทางดูจะใช้คำไม่ผิดนัก ถ้าอาการหรือความรู้เหล่านี้ถูกบอกโดยกัลยาณมิตรว่า จงทิ้งเสีย ไม่ได้หมายความว่า เค้าไม่ได้เจออาการแบบที่คุณกำลังเจอ หรือเค้าตามคุณไม่ทัน แต่เพราะประสบการณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกยืนยันว่า มันยังไม่ใช่วิถีที่คุณจะใช้เดินต่อ พวกเค้าจะทำลายสิ่งที่คุณได้มาอย่างยากลำบากลงในทันทีที่พวกคุณเล่าให้เค้าฟังว่า พวกคุณเจออะไรมา หรือพวกคุณรู้อะไรขึ้นแล้ว



ตามความเข้าใจของผม ถ้ากลัยาณมิตรของคุณเป็นผู้ที่เชี่ยวจริงในลำดับขั้นต่างๆ ยิ่งคุณเชื่อฟังเค้ามากเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะขัดกับความเข้าใจหรือสภาวะของคุณอย่างมากในขณะใดๆ จะยิ่งเป็นผลดีกับตัวคุณเองมากเท่านั้น คนที่เดินทางโดยมีคนสอน พวกคุณจำต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการหรือวิธีทำมากกว่าผลลัพธ์ ในขณะที่พวกที่เดินไปก่อนพวกเค้าจะเน้นผลลัพธ์สุดท้ายมากกว่า และที่ผมสังเกตได้จากการฝึกการเจริญสติด้วยการเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียนนั้น กระบวนการและผลลัพธ์สามารถเรียกได้ว่า เป็นสิ่งเดียวกัน กระบวนการของมันคือ รู้สึกตัว และผลลัพธ์ของมันคือ รู้สึกตัว



เค้าถึงเรียกมันว่า อึดใจเดียวไงครับ อะไรที่เกินไปจากความรู้สึกตัวที่ล้วนๆจริงๆ โยนทิ้งไปได้เลยครับ



....





Section 02



หลังจากตื่นทั้งตัวสลับกับตื่นเข้าไปในใจ มาติดกันสองสามวันอีกแล้ว วันต่อมาความรู้สึกเหล่านี้หายไปหมด เหลือแต่ความรู้สึกตัวพื้นๆ ไม่โดดเด่นอะไรเลย มันเรียบๆ สติมันตั่งมั่นดูตัวนี้อยู่ แล้วความรู้สึกตัวบางครั้งแยกออกจากความคิด บางครั้งถูกยึดเข้าไปในความคิด ผมสงสัยและถามตัวเองว่า ผมเป็นใคร ผมไม่รู้ คือความคิดก็ไม่ใช่ คือความรู้สึกตัวก็ไม่มีคำตอบอีก เพราะมันไม่เข้าไปในความคิดก็เลยไม่รู้จะมีคำตอบอะไรออกมาตอบคำถามนี้



ผมนั่งฝึกไปซักพักด้วยความอึดอัดไม่เข้าใจกลไกที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่ดันเข้าใจเรื่องปรกติขึ้นมา เวลาความผิดปรกติมันเกิดขึ้น มันเป็นที่จุดเล็กๆนิดเดียวบนร่างกายเรานี่เอง และพอจิตใจมันเข้าไปจับตัวนี้โลกทั้งโลกเหมือนมีแต่ปัญหานั้นๆ อย่างอาการคันนี้ ชั่ววินาทีที่เข้าไปอยู่กับความคัน มันลืมความตื่นที่สมอง ลืมความรู้สึกที่มือ ลืมความรู้สึกทั้งตัว เวลาปวดเอวขึ้นมา ความรู้สึกที่มือมันไม่ได้ปวดไปด้วยนี่ ความรู้สึกอื่นๆไม่ได้เปลี่ยนไปตามความปวดนี่เลย มันเป็นทุกข์กับเวทนาเพียงเพราะมันเข้าไปยึดจุดผิดปรกติเล็กๆนี่อ่ะนะ บ้าจริงๆโง่มาตลอดชีวิต หลังจากนั้นเข้าใจอาการทุกข์แบบเวทนา รู้จักความหมายของคำว่าปรกติ เริ่มจะใช้เป็นแล้วเจ้าปรกตินี่



อาการดีใจในการตื่นหายไปเฉยๆ เหลือแต่ความรู้สึกตัว ความคิดก็ไม่สามารถรู้ว่ามันดีหรือไม่ดี เพราะมันไม่มีอะไรพิเศษเลย ความรู้สึกตัวมันแยกออกมาจากความทุกข์คาดคั้นมันไม่ปนเข้ากับอะไรเลย และเข้าใจแบบไร้คำถามเกี่ยวกับที่ว่า กิเลสไม่มีอยู่จริง ความโกรธ โลภ หลง ก็ไม่มีอยู่ที่ชีวิตแท้ๆของคนทุกคน จะให้ละโทสะโมหะโลภะยังไง ในเมื่อของมันไม่มีแล้วจะไปละอะไร การไปสอนคนให้ละกิเลสจึงเป็นคำสอนของคนที่ไม่สามารถเข้าถึงชีวิตแท้ๆของตนได้ วันนั้นเข้าใจแค่นั้น



วันต่อมาฝึกเหนื่อยอีกแล้ว เหงื่อโชกไปหมด อากาศอบอ้าว ฝึกไปก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากขึ้น คราวนี้ลองไล่ความเข้าใจ อัดมันลงไปที่ความรู้สึกตัวอย่างเดียว ความตื่นระดับนี้ที่เคยผ่านมาเรียกว่าเจ้านี่ พอตื่นขึ้นระดับนี้เรียกเป็นชื่อแบบนั้น ไล่มาจนถึงปรกติ แล้วมันยังไง สับสนอยู่พักหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นมาอีกแล้ว แต่มันมีช่วงหนึ่งที่ความรู้สึกตัวแสดงตัวเลยว่า มันอยู่ล้อมรอบความคิด เหมือนความคิดอยู่ตรงกลาง แล้วความรู้สึกตัวมันล้อมอยู่ ความคิดกระดิกหนีไปไหนไม่ได้ แต่เป็นอยู่พักเดียวยังไม่เข้าใจ อยู่ดีดีก็เป็นขึ้นเองยังจับวิธีไม่ได้ เข้าใจแต่เพียงว่า เรื่องการปฏิบัติธรรม ธรรมะอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น เกิดขึ้นที่ตัวเราเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกใบนี้ซักนิดเดียว จริงๆแล้วโลกคือตัวผมนี่เอง ขอบเขตงานแคบลงมาเยอะมาก เวลาคนด่าเราว่าเรา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนที่มาด่าเรา แต่มันอยู่ที่อาการที่มันเกิดบนตัวเรานี่ต่างหากมันเป็นทุกข์ที่ตรงนี้ ถ้าไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่นแบบนี้ ผมแก้ไขความทุกข์ระดับนี้ได้แน่



วันต่อมาเริ่มจับทางได้ พยายามเคลื่อนไหวช้าๆ ช้าเข้าไปอีก เอาให้ความรู้สึกแน่นที่สุดชัดเจนที่สุด คราวนี้สมองเริ่มแสดงตัวว่ากำลังจะง่วงอีกแล้ว เจอจนชินไม่มีถอยแน่ ความรู้สึกตื่นอีกแล้ว ตื่นมาก มากจนรู้วิธีบังคับความตื่นแบบนี้ หัวใจของการตื่นคือความตั้งใจอย่างแน่วแน่มุ่งมั่น มั่นคงต่อความรู้สึกตัวไม่หวั่นไหวต่อเรื่องราวใดใดของความคิด ความคิดคอยหลอกตลอดเวลา เชื่อความคิดไม่ได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว เรื่องปรกติที่พึ่งรู้พึ่งเข้าใจเมื่อวานซืนถ้าปรากฏออกมาในรูปความคิดต้องทิ้งหมด ความรู้อะไรไม่ต้องยกมาแสดง ถ้าความรู้พวกนี้ใช้ได้จริง ไม่ต้องมาเสียเวลาฝึกให้เหนื่อยแบบนี้หรอก เอาความรู้สึกตัวเป็นตัววัดคุณภาพเพียงอย่างเดียว จนรู้ตัวเองเลยว่ามันเลยความคิด เหมือนเรายืนอยู่สูงๆแล้วมองลงไปเห็นความคิดข้างล่าง มันสูงเกินความคิด สติมันแข็งแรงจนความคิดครอบไม่ได้ สิ่งที่เหนือความคิดคือเจ้านี่เอง กำลังของความตั้งใจผลักตัวมันให้ไกลเกินที่ความคิดจะเข้าไปถึง แต่ความสามารถแค่ระดับนี้ยังไม่เที่ยง เพราะกำลังตกเมื่อไหร่ มันพร้อมจะแพ้ให้ความคิดทันที มิน่ามันต้องขาดกันจริงๆถึงจะพ้นไปได้ มันจะยากไปถึงไหนกัน เคยฟังมาว่าการปฏิบัติธรรมเป็นของง่าย ง่ายอะไรกัน เวลามันวัดเป็นเสี้ยววินาที พลาดเมื่อไหร่มันสอยร่วงทันที ทำไมต้องมาทำเรื่องที่ยากขนาดนี้ด้วย แต่จะให้กลับไปมีชีวิตรับใช้ความคิดไม่เอา เพราะงั้นไม่ต้องบ่นพล่ามในชะตากรรมมาก ความคิดออเซาะมาเจอกันหน่อย ผมเห็นโอกาสชนะกับเสมอ ส่วนความคิดมีแต่เสมอกับแพ้ ใครกันแน่ที่ควรเป็นฝ่ายถอย



....











Section 03



คำสอนประเภท ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปหวังอะไร เพราะท้ายที่สุดมันจะเอาอะไรไม่ได้ซักอย่างเดียวมีแต่ความว่างเปล่า คนที่ฝึกหนักๆมันโลภมันฝึกเพื่อที่จะเอา มันยังไม่เข้าใจ ผมฟังคำสอนประเภทนี้จนเบื่อ ถ้ามันเป็นจริงงั้นทำไมมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดกับผมโดยสิ้นเชิง ยิ่งเข้าใจมากขึ้นผมจะโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันรู้ว่าเวลาในชีวิตเหลือไม่มากเมื่อเทียบกับความลึกซึ้งระดับนี้ ผมคนหนึ่งนี่ล่ะที่กล้าพูดเลยว่าผมฝึกเพื่อที่จะเอา แต่ผมไม่ได้ทำเอาอรหันต์ผมไม่สนพระธาตุ แต่ผมจะเอาความเข้าใจ



ผมต้องการเข้าใจคำสอนของหลวงพ่อเทียน เชือกขาด อะไรขาด ปลายเชือกทั้งสองข้างคืออะไร อะไรคือตัวตัด สะท้อนคืนหลัก หลักอะไร จืดทั้งตัว อะไรจืด หลุดออกจากกัน อะไรหลุด หลุดจากอะไร หวนคืนสู่สภาพเดิม หวน หวนยังไง กลับ กลับไปสู่อะไร เหนือความคิด อะไรล่ะที่มันเหนือ ผมต้องการเข้าใจของพวกนี้ คนที่ไม่มีคำถามแบบนี้ คุณไม่รู้หรอกว่า ความรู้สึกกังขาที่มันมากขนาดที่คุณจะไม่ยอมตายจนกว่าคุณจะได้รู้นั่นเป็นยังไง มันไม่ใช่ความโลภ มันไม่ใช่แรงปรารถนา อย่างที่พวกไม่รู้จักกิเลสลึกซึ่งเอามาพูดเล่นสำนวนกัน ความต้องการในระดับที่คุณพร้อมจะแลกมาด้วยทุกอย่างนั้นมันเข้าไปในโลกของความเด็ดเดี่ยว ต่อให้ตัวคุณเองก็ห้ามความต้องการที่จะเข้าใจนี่ไม่ได้



มีสามีภรรยาคู่หนึ่งไปหาผมที่วัดและขอให้สอน พวกเค้าอ่านบล็อกนี้เหมือนพวกคุณ แต่พวกเค้ารู้จักผมจากคำแนะนำของหลวงพี่ ผมเคยบอกเป็นนัยๆกับพวกเค้าไปแล้วว่า ผมไม่คิดจะสอนใคร หรือไม่รับลูกศิษย์อะไรทำนองนั้น แต่คนสองคนนี้เปลี่ยนความคิดผม พวกเค้ายังต้องทำการทำงาน มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ แต่พวกเค้ามาวัดเกือบทุกวัน ฝึกกันแบบเต็มๆเท่าที่จะมีเวลาได้ เค้ากล้าเชื่อเด็กที่อายุอ่อนกว่าเกินสิบปี พวกเค้าทำตามทุกอย่างที่ผมบอก ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการปฏิบัติเป็นของยาก ถ้าคุณไม่เอาจริงคุณมาไม่ได้แน่ และการที่ผมเริ่มเร็วเกินไปตั้งแต่อายุยังน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นหลายคน ผมจึงเข้าใจว่า ไม่มีเวลาฝึกเจริญสติ มีปัญหาภาระเรื่องครอบครัวก็เลิกซะซิ ต้องเอาเวลาไปทำงานหาเงินหรือ ลาออกซะซิ ไม่มีเงินใช้หรือ ขายบ้านขายรถซะซิ มันต้องกล้าตัดภาระผูกพันเท่านั้น มันถึงจะมาได้ แต่สองคนนี้กำลังแสดงให้ผมเห็นว่า โลกทัศน์ผมยังแคบนัก มันยังมีคนเอาจริงอยู่ ถึงจะเป็นคนละสไตล์กับผม เค้าเข้ามาศึกษาเรื่องนี้หลังจากมีภาระชีวิตเกิดขึ้นแล้วก็จริง แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง มันห้ามความเอาจริงของคนไม่ได้



มันประจวบเหมาะกับความตระหนักได้ของผมเองด้วย หลวงพ่อเทียนบอกว่า รู้ธรรมะแล้วไปอยู่คนเดียวมันก็ดีแต่มันไม่ถูกต้อง สิ่งที่ผมเข้าใจแม้จะไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่ผมรู้แน่ๆว่า มีผู้เจริญสติไม่มากนัก ที่มีความเข้าใจอยู่ที่ระดับเดียวกันนี้ ผมไม่ได้กระหายอยากสอนใคร ผมไม่สนซักนิดว่าพวกคุณทั้งหลายจะฝึกตัวเองหรือไม่ ผมไม่สนซักนิดว่าโลกมันจะพังพินาศ โดยส่วนตัวแล้วที่ผมไม่สอนเพราะคนเอาจริงมันไม่มี หรือพอรู้อะไรนิดหน่อยก็ตั้งสำนักมุ่งโปรดสรรพสัตว์ แต่ผมฉุกคิดได้ว่า ถ้าผมไม่สอนแล้วคนอื่นที่มาถึงจุดเดียวกันนี้ตั้งใจไม่สอนเหมือนผมล่ะ แล้วใครจะทำ ธรรมชนิดนี้มีความเป็นไปได้มากว่าต้องสูญหายแน่ ผมเหมือนหลังติดกำแพง ต่อให้สอนได้แค่คนเดียวก็ต้องทำ



แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าผมไปถึงที่สุดได้จริงผมคงต้องสอน ผมเคยสนทนาธรรมกับหลวงพี่ว่า ถ้าผมจะสอน ผมจะเลือกคนที่ผมจะสอนเองได้หรือไม่ ผมจะไม่สอนทุกคน ผมจะยื่นมือไปจับเฉพาะคนที่ออกแรงยื่นมือออกมาให้ช่วยเท่านั้น หลวงพี่บอกไม่ได้ อาจารย์ไม่สามารถเลือกศิษย์ได้ แต่ศิษย์มีสิทธิเลือกอาจารย์ คุยไปคุยมากลายเป็นผมติดอารมณ์ มีทิฐิมานะอยู่หรือเปล่า มันเป็นเรื่องน่าคิดทีเดียว



สมัยหลวงพ่อเทียนเท่าที่ผมทราบ ท่านสอนทุกคน ผมคิดเอาเองว่า เพราะในช่วงนั่นมีคนเพียงคนเดียวที่ตื่นอยู่ ต้องสร้างคนรู้ขึ้นให้มากที่สุด แต่ท่านก็พูดด้วยว่า ในบรรดาคนที่ท่านสอนที่ถึงระดับสูงสุดนั้นมีน้อยคน แต่ในปัจจุบันนี้คนเข้าถึงธรรมที่ท่านสอน มีกระจายปะปนไปในระดับต่างๆ พวกเค้าสอนขัดกันเอง บ้างแยกไปตั้งสำนัก บ้างอ้างว่าเป็นออริจินอล ซึ่งมันตลกที่ข้าก็ว่าของข้าถูก ทั้งๆที่หลวงพ่อเทียนกล่าวไว้ชัดมากว่า ธรรมแท้นั้นต้องรู้อย่างเดียวกัน



หลวงพ่อเทียนอาจจะเก่งมากเค้าถึงมั่นใจว่าสอนได้ทุกคน แต่สำหรับผมไม่ใช่ ผมประมาณความสามารถตัวเอง ผมรู้ว่าผมไม่เก่ง ผมรู้ว่าผมมีกำลังแค่ไหน และคนแบบไหนที่ผมสอนได้ แทนที่ผมจะเอาเวลาไปเสียให้กับคนที่ผมสอนไม่ได้ ผมหมดไปกับคนที่ผมมั่นใจแน่ๆไม่ดีกว่าหรือ ผมจะสอนคนที่เอาจริงเท่านั้น ผมยังไม่เห็นด้วยกับการสอนเหมากระจาด และไม่เห็นด้วยซักเท่าไหร่กับการสอนลักษณะขึ้นเทศน์ฟังธรรมรวมกัน ผมสนใจการเข้าตัวต่อตัวมากกว่า เพราะแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน มันมีลักษณะเฉพาะของแต่ล่ะคน สิ่งที่ผมเห็นรอบตัวเพราะใช้ชีวิตอยู่ในวัดก็คือ พวกที่มาได้ไม่สุดจริงมักมีคำสอนบางอย่างที่ขัดกันเอง แม้จะใช้วิธีของหลวงพ่อเทียนเหมือนกัน คนสอนบางคนอาจจะพอใจกับการที่ช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้ในระดับปัญญาของคนผู้นั้นพึงจะมาได้ แต่ผมไม่สนผลลัพธ์แบบนั้น ผมมองไปที่ระบบการสอนทั้งหมด ถ้าผมจะต้องสอนผมจะมองหาคนประเภทเดียวกันก่อน ผมไม่สนการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ผมจะอัดเงินลงไปในตะกร้าเพียงหยิบมือ จริงอยู่ครูที่เก่งอาจสอนศิษย์ได้เก่งกว่าตัวเอง แต่ครูที่เก่งที่สุดสามารถสอนคนให้เก่งได้เท่ากับตัวเองเท่านั้น เพราะเก่งกว่านี้ไม่มีอีก ถ้าคุณไม่คิดว่าจะมาได้เท่ากันไม่ต้องมาเรียกให้สอน ผมไม่สอนส่งเดชแน่ ผมจะสอนคนให้เหมือนกับที่ผมตั้งใจฝึก แล้วหากคุณมาได้จริง คุณจะสอนใครสไตล์ไหนเป็นดุลพินิจของคุณที่ผมยินดีเคารพ



ผมยังไม่แน่ใจว่าความคิดแบบนี้ ผมกำลังติดทิฐิหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมพร้อมจะติด เพราะถ้าผมย้อนกลับว่า แล้วการติดเมตตาล่ะ จะสอนทุกคนไม่เลือกอย่างนี้ติดทิฐิหรือเปล่า ติดความดีหรือเปล่า คำถามนี้ผมขอทิ้งเอาไว้ก่อน เนื่องจากผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันแล้วผมคิดว่า มันต้องไม่ได้ผลมากเท่าไหร่กับการเที่ยวเจอใครก็สอนหมด ใครมาขอก็สอนให้ ต่อให้เสียเวลายินดีสอนให้ทุกคน ซึ่งทุกวันนี้พระหรือผู้รู้ทั้งหลายก็ทำหน้าที่นี้กันอยู่ คนเข้าถึงระดับลึกมันก็น้อยอยู่ดี และพวกที่ก่อปัญหาคือพวกระดับตื้นที่เข้าใจว่าตัวเองอยู่ระดับลึกทั้งนั้นไม่ใช่หรือ พวกเค้ารีบร้อนสอนคนเกินไป วิธีคิดแบบนี้ทำให้ผมกรองคนออกไปได้อีก เมื่อไหร่ที่คุณพร้อมจะรับมือผม ผมจะพร้อมสำหรับคุณ



แต่หลังจากที่ผมสอนสามีภรรยาคู่นี้ ก็มีปัญหานิดหน่อยตามมา นั่นคือผมเริ่มถูกจับตามองจากคนรอบข้าง เนื่องจากเมื่อก่อนผมไม่สนใจใคร ผมไม่เคยปริปากเรื่องปฏิบัติกับใคร พอผมเริ่มสอน ผมรู้โดยสันชาตญาณว่าผมถูกจับตามอง พวกเค้าเริ่มเปิดเทปเสียงหลวงพ่อเทียนซ้ำๆเรื่องคนฝึกแล้วติดอารมณ์วิปัสสนู มันเป็นเหตุการณ์ชาชินในวัดพอใครซักคนเริ่มทำอะไรผิดแปลกไปจากเดิม ข้อสงสัยตัวแรกของบรรดาคนวัดคือ หนึ่งติดอารมณ์ สองติดวิปัสสนู ผมวนเวียนเข้าออกวัดฝึกหนักตลอดโดยไม่เคยมีอาการพิสดารอวดเก่งอะไร พอเริ่มสอนคน มันก็คือ อาการติดวิปัสสนูกำลังเล่นงานผมแล้วในสายตาของคนอื่น



พอเริ่มสอนคนหนึ่งคนอื่นก็จะเริ่มตามมา ผมเริ่มมองคนอื่นทั้งที่แต่ก่อนผมไม่เคยชายตามอง พอผมเห็นใครหน่วยก้านโอเค แต่ยังจับทางไม่ได้ ผมจะพยายามบอกอ้อมๆ แต่ช่วงนี้จะไม่ทำอีกแล้ว เพราะพอบอกไป จะถูกทับกลับด้วยคำพูดพระ ผมบอกว่าให้ตั้งใจรู้สึกตัว พระบอกว่าถ้ายังตั้งใจรู้แสดงว่ายังขี่จักรยานไม่เป็น ผมบอกห้ามนอนเด็ดขาด พระบอกง่วงให้นอน ผมบอกไม่ว่าอะไรจะเกิดเช่นความง่วงสติคุณต้องคงที่เสมอจงยกมือด้วยความเร็วสม่ำเสมอคงที่ตลอด พระบอกง่วงให้ยกมือเร็วๆตีมือลงมาที่ขาแรงๆ ผมบอกว่าให้ช่วยงานวัดทุกอย่างที่ทำได้แต่การฝึกต้องมาก่อนถ้าจำเป็นให้หลีกเลี่ยงงานซะ พระบอกให้อยู่กับการกับงานทำงานช่วยวัดมากได้บุญ พวกเค้าเชื่อในจีวรและตำแหน่งอาจารย์มากกว่าที่จะเชื่อความรู้สึกตัวของตัวเอง บางคนเดินเข้ามาถามผมเอง ผมแนะนำวิธีทำให้เคลื่อนมือช้าๆ เค้าบอกว่าทำแบบนั้นกลัวหลวงพ่อด่าว่าเพ่ง ทั้งๆที่บอกออกมาเองว่า เคลื่อนช้าๆแล้วสบายขึ้นมาก



หลังจากเริ่มมองคนอื่น มันทำให้ผมเริ่มสำนึกอะไรบางอย่าง ผมคงเหมือนผู้ชายธรรมดาทั่วไปที่ชอบมองผู้หญิงที่มีเสน่ห์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่หัวใจผมสะเทือนกับผู้หญิงที่มองไปกี่ทีก็ยังนั่งสร้างจังหวะและเดินจงกรมไม่หยุด ผมละสายตาไม่ได้จากผู้หญิงที่กล้าบอกกับผมว่า ถ้ามัวผ่อนให้มันจะพัฒนาไปจากจุดนี้ได้ไง ป้าแก่ๆที่เป็นโรคกระดูกแต่ยังตั้งใจฝึกทุกวัน ผู้ชายที่ง่วงนอนจัดเหงื่อไหลสะลึมสะลือแต่ไม่หยุดฝึก คนพวกนี้ทำผมกระสับกระส่าย คนประเภทเดียวกับผมยังมีอยู่นี่ ผมเคยคิดว่าผมเดินคนเดียวมาตลอด ไม่ใช่เลย ผมมีเพื่อน ถ้าผมจะสอนผมจะปรี่เข้าหาคนพวกนี้ก่อน ผมจะเลือกเองว่าผมจะสอนใคร คนที่อ่านบล็อกนี้แล้วชื่นชอบผม ผมไม่ได้สนคุณเหมือนที่คุณสนผม ผมสนคนที่การกระทำ แสดงให้ผมเห็นว่าคุณเอาจริง เขย่าใจผมด้วยหน้าที่มันแผล็บของคุณจากการฝึกในวันร้อนจัดติดกันหลายๆวัน ทำให้ผมต้องชำเลืองมองคุณด้วยการแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ยอมจำนนต่ออาการง่วงจัด ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามชื่อคุณจากแววตาซ้ำซากที่ไม่ยอมถอยของคุณ สยบใจของผมจากการแสดงออกว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณซิครับ







ก่อนที่จะจบบทความนี้ลง ขอให้เอามือจับไปที่ชีพจรตรงข้อมืออีกข้างของพวกคุณ และผมได้กำลังทำแบบเดียวกัน นั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นทางเข้าถึงหัวใจของเราทั้งคู่ แสดงให้เห็นหน่อยครับว่า พวกเราเป็นคนที่มีจังหวะหัวใจแบบเดียวกัน



จังหวะของคนที่ไม่แพ้ใจตัวเอง







ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

Posted by koknam at 21:43 Labels: 41 สอน ?

30 comments:

Anonymous said...

ผมเข้าใจคุณนะ

แค่อยากจะเข้ามาบอกว่า

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากสัมผัสกับภาวะ

ที่หลวงพ่อเทียนบอกว่ามันขาดออกจากกัน

แล้วไม่สามารถเอามาต่อกันได้อีก

จนเกิดญาณขึ้นกับตัวเองว่า

ชีวิตนี้ไม่มีงานที่ต้องทำอีกแล้ว จบแล้ว

ภาวะแบบนี้มันดึงดูดความสนใจผม

ได้มากกว่าภาวะนิพพานที่เป็นบ้านเป็นเมือง

หรือเป็นความสุขอนันตกาลเสียอีก

ความโลภ โกรธ หลง

มันไม่มีอยู่จริง จะขว้างมันทิ้งไปเหมือนทิ้งของ

ที่เรากำอยู่ในมือไม่ได้

มีอยู่ทางเดียวคือกลับมาอยู่กับของ

ที่มันมีจริงเท่านั้น

แต่อะไรหล่ะคือของจริง^_^



7 Mar 2011 02:27:00

พี่ปู said...

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุค่ะ



7 Mar 2011 07:30:00

kaoim .... เรื่องเล่าเก้าอิม said...

ดีใจที่คุณก๊อกน้ำมีความรู้สึกที่อยากจะสอน



งานภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน เป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆค่ะ

มันก็เหมือนๆ จะค้านกับการปฏิบัติของหลายคน



ในขณะที่พวกเขานั่งสงบหลับตานิ่ง

และขณะที่เก้าทำความเคลื่อนไหว

ถ้าเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่เขานั่งกันนิ่งๆ เรากลับสร้างจังหวะ

ซึ่งมันโดดและก็แปลกแยก บางทีก็ต้องแอบๆ กระดิกมือ สร้างจังหวะ หรือไปเดินจงกรมแทน



หลายต่อหลายครั้งเคยเกิดความท้อนะคะ

เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่ารู้สึกตัวหรือ มันไม่มีใครมาให้คำตอบว่า ที่ทำไปนี่มันใช่นะ หรือมันไม่ใช่





แต่เมื่อคุณก๊อกน้ำมาเขียนบล๊อคอีก ก็ทำให้เชื่อมั่นว่า เอ้อ ยังมีคนนี้อยู่นะ คนที่เราพอจะถามได้ถ้าเรามีคำถามเกิดขึ้น



7 Mar 2011 22:00:00

หัดเดิน said...

เข้ามาเก็บความรู้ แนวทาง และกำลังใจอยู่เสมอค่ะ



8 Mar 2011 00:27:00

tantawan said...

ถูกทางวัดจับตามองว่าติดวิปัสนูแบบนี้ ถ้าเราเข้าไปฝึกที่วัดตามวิธีของคุณก๊อกน้ำแล้วจะมีปัญหาอะไรกับคุณก๊อกน้ำรึเปล่า สำหรับเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ใจพร้อมกายพร้อม100% ^^



8 Mar 2011 17:28:00

koknam said...

ไม่ใช่วิธีของผมครับคุณทานตะวัน เพียงแต่ผมพอจะจับทางได้ว่า ทำอย่างไรให้มันง่ายขึ้นสำหรับ คนที่ยังจับทางความรู้สึกตัวไม่ถูก



ขอเวลาให้ผมซักระยะครับ ถ้าผมต้องว่ายน้ำโดยพยุงคนไปซักสามสี่คนยังพอไหว แต่ถ้าโดดมาเกาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตอนนี้ ผมจะพาพวกคุณไปตายทั้งกลุ่ม



8 Mar 2011 19:27:00

tantawan said...

การปฏิบัติตอนนี้อาการปวดหัวไม่ค่อยมี ความง่วงก็มีแต่ไม่ค่อยเป็นอุปสรรค ส่วนความคิดก็มี(น้อยลง)แต่ไม่ได้สนใจเลย เวลาเดินจงกรมยืดหลังตรงๆ(พยายามทำตามที่บอก) แต่มีอาการปวดหลังมากเวลาเดิน (เดินไม่นาน ทนได้แค่ 15 นาที ) ต้องทำอย่างไร ?



อยู่บ้านเวลาปฏิบัติในรูปแบบมีน้อย ไว้ไปเก็บอารมณ์่ ค่อยอัดให้สลบทีเดียว แต่ก่อนไปอยากทำให้ถูกวิธีก่อน โปรดชี้แนะด้วยนะ ^^



คนหนึ่งที่จะไม่ยอมแพ้ใจตัวเอง



9 Mar 2011 05:03:00

koknam said...

ปัญหาของคุณไม่ได้อยู่ที่หลังแต่อยู่ที่ไหล่ครับ เดินเปิดไหล่ไว้ อย่าให้ความอ่อนแอกับความคุ้นเคยเดิมๆคอยบอกว่า สรีระไม่เหมาะกับการเดินแบบนั้น ที่ให้เปิดไหล่นั้นเพื่อที่ว่าให้มันพ้นไปจากความคุ้นเคยเดิมๆ เหมือนกับคนนั่งหลังงอๆ พอนั่งยืดหลังตรงมันจะมีความรู้สึกตัวมากกว่าแต่ก่อน และพอมันกลับไปนั่งหลังงออีก มันจะเกิดการฝืนตัวเองให้นั่งหลังตรงไว้ แม้มันจะปวดหลังในช่วงแรก ผมไม่สนับสนุนให้ฝึกไปตามความเคยชิน จริงอยู่เราไม่ได้ฝึกเอาท่าเท่ๆ แต่เราจะใช้ทุกอย่างที่มีบนร่างกายเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวครับ อะไรที่หยิบมาใช้ได้ผมจะใช้ทั้งหมด และผมหวังจะเห็นคุณเป็นแบบเดียวกัน



ในระยะของคุณตอนนี้ ผมขอแนะนำว่าให้คุณฝึกนั่งยกมือช้าๆในท่าที่คุณคิดว่ามันไม่เท่ให้มากกว่าเดิน





"ไว้ไปเก็บอารมณ์่ ค่อยอัดให้สลบทีเดียว" "คนหนึ่งที่จะไม่ยอมแพ้ใจตัวเอง"

ประโยคพวกนี้เอาไว้พูดหลอกเด็กเถอะครับ เอาไว้ให้ได้อย่างน้อยวันละ 9 ชม.แบบไม่โอดครวญ แล้วผมจะหูผึ่งตั้งใจฟังคุณอีกที



เขย่าใจผมด้วยจังหวะเคลื่อนและหยุดอย่างสม่ำเสมอของคุณหน่อยครับ



9 Mar 2011 21:59:00

tantawan said...

9 ชั่วโมงนี่หมายถึงเอาเวลานอนมาปฏิบัติด้วย ใช่รึเปล่า ถ้าใช่ ก็จะเหลือเวลานอน แค่ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าจัดสรรเวลาแบบนี้ทำได้รึเปล่า โปรดชี้แนะด้วยนะ



ขอบใจนะที่เขย่าใจเราให้กระหายการปฏิบัติ



10 Mar 2011 01:58:00

koknam said...

ตื่น6โมงเช้า

เริ่มฝึก 07.00-12.00 = 5 ชม.

พัก

เริ่มฝึก 13.00-18.00 = 5 ชม.

พัก

เริ่มฝึก 19.00-20.00 = 1 ชม.



ทั้งหมดเป็น 11 ให้หักลบไปทำอะไรได้อีกตามใจ 2 ชม. ไม่พออีกหรือ



10 Mar 2011 20:15:00

Anonymous said...

ขอบคุณ คุรุ ก็อกน้ำ

ดอกทานตะวันต้องทนแดด+ฝน ๙ ชั่วโมง จิ๊บๆ

....ลูกกบ



11 Mar 2011 06:49:00

tantawan said...

ถามคุณก๊อกน้ำ

ให้รู้สึกทุกอย่างเหมือนตอนที่หยุดอยู่รึเปล่า??



ลองทำดูไม่รู้ถูกรึเปล่าแต่มันรู้สึกสบายดี



โปรดชี้แนะด้วยนะ



12 Mar 2011 06:53:00

koknam said...

ไม่ใช่ให้ทำความรู้สึกขึ้นมานะครับ

แต่ให้สังเกตความรู้สึกตัวที่คนเรานั้นมีอยู่แล้ว เน้นนะ "มันมีอยู่แล้ว" ครับ



เวลาที่เราเคลื่อนไหวนั้นเราจะรับรู้ความรู้สึกที่กายมันเคลื่อนไหวใช่ไหมครับ

แต่การที่ผมบอกว่าให้เคลื่อนไหวช้าๆนั้น เพราะความรู้สึกตัวมันมีระดับตื้นและลึกต่างกันตามระดับสติปัญญาในระยะนั้นๆของผู้ฝึก การที่คุณทดลองเคลื่อนมือช้าๆสิ่งที่จะตามมาเองโดยอัตโนมัติคือ



-ความตั้งใจในการเคลื่อนไหว

-การสังเกตความรู้สึกที่เกิด

-และการผกผันกับความคิดอันเป็นกลไกธรรมชาติของมัน



ถ้าเคลื่อนเร็วๆมันขาดความตั้งใจ ถ้าคุณเคยเคลื่อนเร็วแล้วมาเคลื่อนช้า คุณจะรู้ได้เองว่า ความตั้งใจคืออะไร และมันไม่ใช่การเพ่ง เพราะปัจจัยตัวต่อไปคือ การสังเกต เมื่อเราสังเกตเราไม่ได้เอาอะไรจากมัน เราแค่ต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับมัน ต่างจากการเพ่ง เราเพ่งเมื่อเราจะเอา



สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกตัว ถ้าเคลื่อนเร็วๆมันจะสังเกตไม่ทัน แล้วมันจะไปอยู่กับความรู้สึกวูบๆ พลิ้วๆ พอมันไปอยู่กับความพลิ้วรู้สึกเบาๆ มันจะไปอยู่กับการพยายามทันความคิดแทน ซึ่งลักษณะการฝึกแบบนี้เอาชนะอารมณ์ที่เผชิญหน้างานจังๆไม่ได้ ซึ่งคุณคงรู้ชัดเรื่องนี้อยู่แล้ว



คนส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตเห็น ทำไมพวกเค้าไม่สามารถพัฒนาไปจากจุดเดิมได้เป็นเวลาหลายๆปี เพราะว่า พวกเค้าไม่ตั้งใจในความรู้สึกตัว พวกเค้าฝึกแล้วเน้นไปที่ความสบาย ซึ่งผมกล้าชนกับใครก็ได้ที่สอนว่าให้ฝึกแล้วเอาสบายๆ"เป็นหลัก" ความสบายที่ผมพอจะเข้าใจไม่ใช่ความสบายแบบที่คนทั่วไปเข้าใจกัน แต่เป็นความสบายที่คุณสิ้นไปซึ่งภาระที่คุณแบกมาตลอด เป็นความสบายไม่ใช่สบายใจ แต่สบายที่ชีวิตเดิมแท้ที่มันปรากฏตัวขึ้นมา ว่าชีวิตของมนุษย์จริงๆแล้วไม่ได้มีความทุกข์อะไรเลย กิเลสอะไรก็ไม่มี มันไปไกลยิ่งกว่าการตื่นเสียอีก ซึ่งระดับของคุณหรือใครก็ตามที่ยังไม่ผ่านเรื่องความสงบแบบวิปัสสนา ผมไม่มานั่งเสียเวลาฟังเรื่องความสบายหรอกครับ มันเป็นคนละระดับซึ่งห่างกันมาก จงจับตาดูพฤติกรรมของคนที่สอนคุณให้สบายๆเอาไว้ให้ดี เท่าที่ผมเห็นคนพวกนี้สอนเก่งมาก แต่ไม่เคยมาช่วยล้างจาน และมักสอนคนอื่นว่าตัวเองรู้อะไรมากกว่าจะสอนว่าคุณต้องทำอย่างไร



และต่อมาทำไมผมถึงเน้นกับคุณเรื่องจังหวะหยุด มันมีเคล็ดบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ให้คุณตั้งใจสังเกตว่า ความรู้สึกระหว่างเคลื่อนและหยุดนั้น ในสภาวะเดิมแท้ของเนื้อคนนั้นแตกต่างกันหรือไม่



ทั้งหมดที่แนะนำคุณนั้นจึงไม่ใช่ให้คุณทำความรู้สึกตัวให้เหมือนตอนจังหวะหยุด เราไม่ฝึกเอาความสบายแต่เราฝึกเพื่อเข้าถึงความเป็นจริงว่า จริงๆแล้วความรู้สึกตัวมันเป็นอย่างไรกันแน่ ให้ความคิดมันเข้าไปปะทะกับความจริง เมื่อนั้นความคิดจะศิโรราบให้กับสิ่งที่มันเห็นตามความจริง เราไมสนสภาวะ เราสนปัญญา และปัญญานี้ผมหมายถึงการเป็นกันจริงๆไม่ใช่การรู้ด้วยการคิด



ถ้าความรู้สึกตัวเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ และชื่อของคุณคือทานตะวัน ให้คุณหันหน้าตามดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ให้ดวงอาทิตย์โคจรตามคุณ



13 Mar 2011 03:45:00

koknam said...

และเมื่อคุณได้มีโอกาสเก็บอารมณ์ตามที่คุณประกาศไว้ มันจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณ เมื่อคุณฝึกติดๆกันหลายๆวันวันละหลายๆชั่วโมง มันไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆหรอกครับ จงอย่าหยุดฝึก ขอให้หัวใจของคุณเข้มแข็งไว้



เมื่อนักโหราศาสตร์ที่เก่งมากคนหนึ่งบอกผมว่า ราหูจะเข้าสู่ดวงชะตาผม ความคิดแรกที่เกิดกับผมคืออะไรรู้ไหมครับ ผมขอให้มันเป็นราหูตัวที่เก่งที่สุด เพราะผมจะคว่ำมัน



เมื่อความง่วงเมื่อยล้าเล่นงานคุณ ขอให้มันเป็นตัวที่เก่งที่สุดเหมือนกัน เพราะผมรู้ว่าคุณจะชนะมันด้วยความเอาจริงของคุณ



13 Mar 2011 03:57:00

koknam said...

tantawan has left a new comment on your post "สอน ?":



ถามคุณก๊อกน้ำ



ระหว่างเดินจงกรม

ช่วงที่หยุดนี่ในร่างกายมันหยุดนิ่งทุกอย่างแล้วก็ไปรู้ลมหายใจเองมันชัดเจนและหายใจสะดวกขึ้นในหัวก็โล่งๆหายใจก็โล่งๆ พอเริ่มเดินก็รู้สึกว่าจะรู้ว่ามันเคลื่อนไหวชัดขึ้นระหว่างที่เดินในร่างกายมันก็นิ่งอยู่เหมือนตอนที่หยุดจะต่างกันก็ตรงที่มันเดินแต่เมื่อวานตอนเดิน เวลาที่เท้ากระทบพื้นมันสะเทือนไปถึงหัวเลย



ยกมือสร้างจังหวะ

ตอนหยุดรู้สึกว่ามือมันชาๆแน่นๆพอเคลื่อนมันก็ยังรู้สึกแบบเดียวกันอยู่บ้างปนกับความรู้สึกอื่น



โปรดชี้แนะด้วยนะ



ขอบคุณทุกคำชี้แนะค่ะ



.....





ความรู้สึกตัวแบบนี้มีอะไรต้องชี้แนะในช่วงนี้อีก



ขอให้ฝึกและสังเกตความจริงของความรู้สึกตัวต่อไป



14 Mar 2011 03:27:00

tantawan said...

วันนี้ ชั่วโมงสุดท้ายของการปฏิบัติ ปวดหลังสุดๆเวลาเดินจงกรม และแถมอีกครึ่งชั่วโมงนั่งสร้างจังหวะต่อ แต่ก็ยังปวดอยู่ ไม่ทราบว่าเราต้องทนกับอาการปวดหลังนี่ เหมือนทนกับความง่วงรึเปล่าแต่ความง่วงนี่ทนแล้วมันยังหายอยู่นะ



โปรดชี้แนะ



15 Mar 2011 06:40:00

koknam said...

จะบอกใบ้ให้นิดหน่อยนะครับ ลองตอบคำถามพวกนี้ให้ตัวคุณเองดูนะครับ



-ความรู้สึกตัวไม่ว่าจะเคลื่อนหรือหยุดที่คุณบอกว่ามันเหมือนกันนั้น เป็นความรู้สึกอันเดียวกับความรู้สึกที่ปวดเมื่อยหรือไม่ เมื่อคุณปวดเมื่อยคุณลืมมันไปชั่วคราวหรือเปล่า



-ถ้าอุปทานหมายถึงการเข้ายึด ทำไมเมื่อรู้สึกตัวที่กายมากขึ้นการเข้ายึดความคิดจึงลดน้อยลง เราสามารถฆ่าการเข้าไปยึดในอาการใดใดด้วยวิธีเดียวกันนี้ได้หรือไม่ ทดลองดูครับ



ให้มันปวด ให้มันง่วง และหาความรู้สึกตัวล้วนๆให้เจอท่ามกลางอุปสรรคเหล่านี้ครับ ดวงดาวจะสว่างมากที่สุดเมื่อท้องฟ้านั้นมืดมิด ในความทุกข์ใดใดที่เกิดให้มองหาความรู้สึกตัวล้วนๆให้เจอ แล้วแนบแน่นกับมันไว้



ผมไม่เชื่อว่าที่สุดของทุกข์คือการเดินไปพลิ้วๆสบายๆ คุณต้องเจอความทุกข์ทุกรูปแบบที่มนุษย์พึงมี และมีปัญญาเพียงพอที่จะผ่านแต่ละตัว ทุกข์อันใดก็แล้วแต่ หากคุณยังรู้จักมันไม่ดีพอคุณจะผ่านมันไม่ได้ครับ



ขอให้ผมได้สัมผัสหัวใจเจ๋งๆของคนที่บอกว่าจะอัดจนกว่าจะสลบหน่อยครับ



15 Mar 2011 08:19:00

koknam said...

KNINE4321 has left a new comment on your post "สอน ?":



สวัสดีค่ะ คุณก๊อกน้ำ



ดิฉันมีคำถามค่ะ



1.สำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ ควรสร้างจังหวะหรือเดินจงกรมให้ช้าที่สุด ช้ามากเท่าไหร่ยิ่งดี? เพื่อจะได้รู้สึกตัวให้ชัดทีุ่สุดใช่มั้ยคะ? ถ้าใช่แล้วจะช้าประมาณไหน แล้วจะทำแบบความเร็วปกติได้เมื่อไหร่?



2.การรู้สึกตัว (สำหรับผู้เริ่มต้น) ตอนฝึกสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรม ให้รู้สึกที่มือหรือเท้าเป็นลำดับต้นๆหรือเป็นหลัก เพราะมันเคลื่อนไหวได้ชัดที่สุด แล้วหลังจากนั้นค่อยรู้สึกอะไรก็ได้ที่เข้ามาชัดที่สุด เช่นรู้สึกคัน ปวด ง่วง ใช่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่ให้รู้สึกแบบไหนอย่างไรคะ?



3.ดิฉันไม่เข้าใจว่า การทำให้ความรู้สึกตัวมีขึ้นมา กับ ให้สังเกตความรู้สึกตัวที่คนเรานั้นมีอยู่แล้ว มันต่างกันอย่างไร เพราะแรกเริ่มนั้นเราต้องอาศัยการทำขึ้นมาก่อนไม่ใช่หรือคะ? หรือดิฉันเข้าใจผิด เพราะความรู้สึกตัวทั้งสองอย่างนั้นไม่ใช่ตัวเดียวกัน?



4.ความรู้สึกตัวตอนหยุดกับความรู้สึกตัวตอนเคลื่อนไหวไม่ใช่ตัวเดียวกันหรือคะ เพียงแต่ความรู้สึกตัวตอนเคลื่อนไหวมันชัดกว่า อย่างไรคะ หรือนั่นก็คือปฏิบัติจนความรู้สึกตัวทั้งสองสถานะนี้ให้มันชัดเท่ากันนั่นเอง



ทั้งหมดนี้ก็เป็นคำถามสำหรับผู้เริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นอีกอย่างดิฉัน ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบค่ะ



17 Mar 2011 17:24:00

koknam said...

1 ตอนที่ผมพึ่งจะเริ่มฝึกใหม่ๆ ผมเองไม่ได้เคลื่อนไหวช้าๆนะครับ ผมเริ่มมาเคลื่อนไหวช้าๆ ตอนที่ดร๊อปเรียนกลับมาฝึกที่เมืองไทย ซึ่งห่างจากจุดเริ่มต้นประมาณสี่ปี ซึ่งเป็นระยะที่เลยเรื่องรูปนาม วัตถุปรมัตอาการ กิเลสตัณหาอุปทานกรรม มาหมดแล้ว



จากการที่ผมมีชีวิตอยู่ที่วัด ผมจึงได้เห็นพัฒนาการบางอย่างของคนที่มาฝึกหลายๆคนทั้งคนไทยและต่างชาติ แน่นอนว่าเป็นพวกที่ยังมาไม่ถึงขั้นรูปนามหรือพวกมือใหม่ พวกเค้าจะเคลื่อนไหวสร้างจังหวะเร็วๆ ส่วนหนึ่งเพราะมันช่วยให้ไม่ง่วง ผมได้สังเกตพวกเค้าบางคนเป็นปีๆ ในความเห็นของผมพวกเค้ามีพัฒนาการน้อยมา เทียบกับเวลาที่เอามาเสียที่เมืองไทยเป็นปีๆ



เมื่อผมได้สอนคุณพ่อผม ซึ่งเค้าสามารถจับเคล็ดได้ด้วยตัวเองในการบอกใบ้นิดหน่อยต่อการเคลื่อนไหวช้าๆ เนื่องจากผมไม่มีประสบการณ์ในการสอนคน ผมจึงคิดเอาว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็จับได้ แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ต่อมาน้องชายของผม ซึ่งฝึกตามกันมาพูดออกมาเองว่า ถ้าเค้าไม่เคลื่อนช้าๆตามที่บอก เค้าจะไม่มีวันเข้าถึงความรู้สึกตัวประเภทนี้ เพราะ มันต้องใช้กำลังของการสังเกตมากๆ และการค้นพบการสังเกตนี้มาจากคนที่วันๆมันไม่ทำอะไรนอกจากฝึกจนกว่าจะสลบ แต่สำหรับคนที่ต้องทำการงานหาเลี้ยงชีพนั้นเป็นไปได้ยากที่จะสังเกตเรื่องแบบนี้ได้ พวกเค้ามาฝึกๆๆที่วัดแล้วก็กลับบ้าน



เมื่อมีคนมาให้ผมสอนที่วัดทั้งคนใหม่และเก่า ผมเลือกแค่สี่คนเพราะกำลังผมไหวแค่นั้น ผมบอกทั้งหมดว่าให้เคลื่อนช้าๆ พัฒนาการของพวกเค้าเกิดอย่างรวดเร็ว ที่เร็วที่สุดคือห้าชั่วโมง หมอนี่อายุสิบเก้าถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะทะเลาะวิวาท เค้าไม่เคยอ่านบล็อกนี้เพราะผมไม่เคยบอก กินเหล้าสูบบุหรี่เกเรครบสูตร ทำอะไรเป็นเรื่องเล่นไปหมด พูดออกมาเองว่า ผมรู้แล้วครับว่าสติคืออะไร ตอนนี้ยังรู้สึกอยู่เลย ตอนมันเกิดกับผมผมบอกตัวเองว่า กูเป็นอะไรไปวะเนี่ย มันต้องช้าๆครับพี่ไม่งั้นผมไม่รู้ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าท่ายกมือโง่ๆนี่มันจะสำคัญขนาดนี้ และครอบครัวของหมอนี่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และถามเค้าว่าฝึกอย่างไรจะเริ่มฝึกบ้าง สุดท้ายเจ้านี้โยนมาที่ผม ผมบอกพวกเค้าอย่างที่พี่บอกผม แต่พวกเค้าไม่เข้าใจ พี่ไปบอกพวกเค้าทีว่าทำยังไง ผมบอกไม่สอนเพิ่มแล้ว เพราะเห็นแววความเดือดร้อนเริ่มตามมา



อีกคนเป็นภรรยาของชายคนหนึ่ง หลังจากฝึกไปได้ประมาณสี่ถึงห้าวันเริ่มผ่านความง่วงได้เพราะความรู้สึกตัวมันชัดมากขึ้นๆ พอวันที่หกถึงเจ็ดวันคำพูดหลายๆอย่างที่ออกจากปากเค้าทำผมทึ่ง ช่วงแรกๆผมบอกให้เค้าเคลื่อนไหวช้าๆ และถึงทุกวันนี้เค้ารู้แล้วว่า ต้องเคลื่อนไหวช้าเร็วแค่ไหน คงพอตอบคำถามคุณเคนายสี่สามสองหนึ่งได้นะครับ



การให้เคลื่อนช้าๆนั้นเพื่อให้เข้าใจเรื่องความรู้สึกตัวที่เราตั้งใจฝึก ความรู้สึกประเภทนี้ไม่มีอุปทานในตัวมันเอง แต่มันทำหน้าที่ตัดอุปทานในสิ่งอื่น อุปทานที่ว่านี่คืออะไร เมื่อคุณหิว คุณไม่ต้องมีสติปัญญาอะไรคุณก็รู้ว่าคุณหิว อุปทานจะเข้ายึดความรู้สึกหิวโดยอัตโนมัติทันที แต่ความรู้สึกตัวประเภทนี้ไม่ใช่ มีเพียงอย่างเดียวที่ยึดมันไว้ได้ คือ สติปัญญาอันเกิดจากความตั้งใจ



เมื่อคุณเริ่มจับ หรือเข้าใจความรู้สึกตัวประเภทนี้ คุณจะไม่เคลื่อนช้าๆมากๆอีก การเคลื่อนช้าๆเป็นเพียงเทคนิคให้คุณจับตัวนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้นครับ และถ้าถามว่าคุณควรเคลื่อนช้าแค่ไหน ผมขอตอบว่า ช้าจนคุณรู้สึกว่ามันบ้าไปแล้ว ช้าจนคนอื่นมองคุณว่าเคลื่อนไหวโง่ๆ แต่ในความช้านั้นต้องเป็นธรรมชาตินะครับ



2 คำถามนี้สัมพันธ์กับข้อหนึ่ง ความรู้สึกง่วงคันเมื่อย มันจะชัดขึ้นเองโดยอัตโนมัติทันทีเมื่อมันเกิดขึ้น ของพวกนี้ไม่ต้องฝึกคุณก็รู้ชัดอยู่แล้ว ข้อนี้คุณคงไม่สงสัยนะครับ ให้คุณปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่ให้แนบแน่นหรือมองหาความรู้สึกล้วนๆ อันที่มันต้องเกิดจากความตั้งใจถึงรู้ได้ให้พบ แล้วอยู่กับมัน ระดับสติปัญญาของคุณจะเพิ่มตรงการมองออกนี่ล่ะครับ ว่าความรู้สึกตัวล้วนๆคืออะไร



3 ตั้งใจอ่านดีดีนะครับ ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าผมพยายามจะบอกอะไร เวลาเรายกมือสร้างจังหวะ มันมีสองสิ่งที่เกิดด้วยกัน หนึ่งคือความรู้สึกตัวอันมีอยู่แล้ว สองคือการตั้งใจเคลื่อนไหวมือ ให้คุณตั้งใจเคลื่อนไหวมือช้าๆ เพื่อสังเกตความรู้สึกในเนื้อคนอันมันมีอยู่แล้วครับ



4 มันเป็นคำถามที่ผมใช้สอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติเท่านั้นครับ ว่าระดับความเข้าใจของผู้ฝึกอยู่ตรงไหน มีคนที่ผมถามคำถามนี้ แล้วเค้าถามผมว่าคำตอบที่เค้าตอบนั้นถูกไหม ผมบอกว่า ผมไม่ได้เช็คว่าคำตอบของคุณว่าถูกหรือผิด แต่ผมเพียงเช็คว่าคุณอยู่ตรงไหน



มันมีความจริงซึ่งยังเป็นความลับของความรู้สึกตัว ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนและหยุดครับ เข้าไปเอาออกมาให้ผมหน่อย





ขอบคุณสำหรับคำถามที่ดีทั้งสี่ข้อของคุณครับ



17 Mar 2011 18:39:00

koknam said...

ก้อนดิน has left a new comment on your post "สอน ?":



ความรู้สึกตัวไม่ว่าจะเคลื่อนหรือหยุดที่คุณบอกว่ามันเหมือนกันนั้น เป็นความรู้สึกอันเดียวกับความรู้สึกที่ปวดเมื่อยหรือไม่ เมื่อคุณปวดเมื่อยคุณลืมมันไปชั่วคราวหรือเปล่า



-ถ้าอุปทานหมายถึงการเข้ายึด ทำไมเมื่อรู้สึกตัวที่กายมากขึ้นการเข้ายึดความคิดจึงลดน้อยลง เราสามารถฆ่าการเข้าไปยึดในอาการใดใดด้วยวิธีเดียวกันนี้ได้หรือไม่ ทดลองดูครับ



ความรู้สึกนีัที่ว่า คือ "ความปกติ" ใช้หรือไม่ เพราะเค๊าจะสอดแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะสุข หรือ ทุกข์ ทั้งทางกาย และ ทางใจ ถ้าเรารู้จัก เค๊าจะอยู่กับเราทุกที่ ทุกสถานการณ์



...



ใช่หรือไม่ใช่ไม่มีใครตอบได้ครับนอกจากตัวคุณเอง ทดสอบมันครับ จับผิดมันเข้าไป ว่าโดยธรรมชาติของตัวมัน เป็นปรกติในทุกสถานการณ์หรือไม่



รู้จัก แล้วยังไม่พอครับ รู้ให้แจ้งรู้ให้จริง แตกฉานในความรู้สึกตัวอันนั้น



...



ผมขอถามคนที่เขียนคอมเมนต์ในบล็อกนี้ได้ไหมครับ ขั้นตอนเวลาคุณเขียนนั้นเป็นอย่างไรครับ เพราะบางคอมเมนต์มันไม่แสดงในหน้าบล็อกแต่มันจะไปอยู่ในกล่องอีเมล์ผมแทน มันมีให้เลือกด้วยหรือเปล่าครับว่าจะให้แสดงหรือไม่ต้องการให้แสดง



เวลามันไปอยู่ในอีเมล์บอกซ์ ผมรีพลายกลับไม่ได้จึงต้องก๊อปปี้มาลงในหน้าบล็อกอีกที



ขอบคุณครับ



17 Mar 2011 21:35:00

kaoim .... เรื่องเล่าเก้าอิม said...

^

^

ตามอ่านอยู่นะคะ..



ขอตอบในส่วนที่เรื่องการเขียนคอมเม้นต์ในบล๊อคนะคะ เนื่องจากเก้ามี blogger ที่ไว้ Follow blog ของคุณก๊อกน้ำอยู่แล้ว เวลาตอบมันจะขึ้นในบล๊อคของคุณก๊อกน้ำเลยค่ะ



ซึ่งบางทีก็จะไปปรากฏที่เมล์ของเก้าใน G-mail ด้วย ซึ่งเวลาเขียนคอมเม้นต์กลับจะไม่มาปรากฏที่บล๊อคนี้นะคะ งงไหมอ่า..



17 Mar 2011 22:46:00

Anonymous said...

ตามอ่านและมาร่วมเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันค่ะ



บุญรักษาค่ะ

พี่ปู



20 Mar 2011 10:06:00

Anonymous said...

คุณก๊อกน้ำคะ กรณีที่นอกเวลาฝึก เช่นคุยกันกับครอบครัว พี่จะนั่งยกมือสร้างจังหวะไปด้วย ไม่ทราบผลดีผลเสียอย่างไรคะ เพราะมีความรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลาไปปล่าว ๆ อ่ะค่ะ เพราะเราไม่ได้มีเวลาฝึกมากแบบหลาย ๆ ชม ในแต่ละวันอ่ะค่ะ



ขอบพระคุณค่ะ

พีปู



21 Mar 2011 08:41:00

koknam said...

KNINE4321 has left a new comment on your post "สอน ?":



"ผมขอถามคนที่เขียนคอมเมนต์ในบล็อกนี้ได้ไหมครับ ขั้นตอนเวลาคุณเขียนนั้นเป็นอย่างไรครับ เพราะบางคอมเมนต์มันไม่แสดงในหน้าบล็อกแต่มันจะไปอยู่ในกล่องอีเมล์ผมแทน มันมีให้เลือกด้วยหรือเปล่าครับว่าจะให้แสดงหรือไม่ต้องการให้แสดง



เวลามันไปอยู่ในอีเมล์บอกซ์ ผมรีพลายกลับไม่ได้จึงต้องก๊อปปี้มาลงในหน้าบล็อกอีกที"



ขั้นตอนการเขียน ก็โพสคอมเม้นท์ที่ช่องว่างด้านล่างนี่ พิมพ์เสร็จ ก็ select profile เลือก Name/URL จะมีหน้าต่าง pop up เล็กๆ ขึ้นมา เพื่อพิมพ์ชื่อ หลังจากนั้นเลือกกด continue กลับมากดปุ่ม post comment มันจะขึ้นหน้านี้ซ้ำอีกรอบให้เราพิมพ์ตัวอักษรที่เห็น เพื่อทำการ verify ข้อความ (มั้งคะ?) กดปุ่ม Post comment อีกรอบ ก็เป็นอันเสร็จ ซึ่งตอนที่ดิฉัน โพสข้อความไปแล้ว ก็ยังเห็นข้อความของตัวเองอยู่เลยค่ะ แต่เห็นจากหัวจั่วข้อความตัวเองที่คุณก๊อกน้ำตอบมา คาดว่าคงจะไม่ใช่หรือเปล่า? ส่วนเรื่องการเลือกให้แสดงหรือไม่แสดงในส่วนของการ Post comment ไม่มีให้เลือกนะคะ ก็คงมีเท่านี้ล่ะค่ะ ดิฉันเป็นคนจรที่เข้ามาอ่านเจอเฉยๆ แล้ว Post Comment ไว้เท่านั้นค่ะ ไม่มีเว็บบล็อก แล้วก็อีเมล เป็น option หรอกนะคะ คงพอตอบคำถามคุณก๊อกน้ำได้บ้างนะคะ



Let's see what's the next is?



ขอบคุณในความเอื้อเฟื้อที่ผ่านมาอีกรอบค่ะ ^ ^



21 Mar 2011 21:56:00

koknam said...

ขอบคุณทุกคนนะครับที่ช่วยตอบข้อสงสัยให้



พี่ปูครับ เราฝึกยกมือนั้นจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งคือ ใหรู้จักตัวเองมากขึ้นๆ

เพื่อใช้เวลาไม่ให้เสียเปล่าการฝึกตัวเองในทุกสถานการณ์สถานที่ ในมุมมองของพี่ มันเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ครับ



สำหรับผมมันสมควรทำอย่างมากครับ



ในขณะที่คนที่นั่งล้อมวงกับพี่ พวกเค้ากำลังพัฒนาตนเองอยู่ทุกขณะหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ สำหรับผมนั่นคือสิ่งที่ไม่ควรทำและควรละอายใจที่จะปล่อยให้ใครคนหนึ่งแซงไปต่อหน้าต่อตา



ขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ขอเวลาไปฝึกนะครับ



21 Mar 2011 22:06:00

Anonymous said...

ขอบพระคุณค่ะคุณก๊อกน้ำ พี่คิดว่าสมควรทำอ่ะค่ะ (แต่อยากถามให้แน่ใจค่ะ แหะแหะ) เพราะมาสงสัยว่าเอ แล้วเรายกมือไป แต่ยังต้องมีการฟังการสนทนาไปด้วย จะมีผลเสียอะไรอ่ะค่ะ แต่คุณ

ก็อกน้ำทำให้พี่มั่นใจมากขึ้นแล้วค่ะ ขอบพระคุณนะคะ



พี่ปู



22 Mar 2011 07:44:00

ใฝ่ธรรม said...

ตามอ่านค่ะ



22 Mar 2011 10:09:00

Anonymous said...

สิ่งที่คุณรู้ก็ดีน่ะอนุโมทนาด้วย แต่หลักของธรรมไม่ควรแยกความตั้งใจของคนที่จะปฎิบัติ สมุมติว่าบ้านเราเลี้ยงแมว เราเป็นคนให้อาหารแมวมีหลายๆตัว เราจะให้อาหารเหมือนกันเท่่าๆกันใช่ไหม เราคงจะไม่แยกหรอกน่ะว่า แมวตัวนี้้จับหนูเก่งต้องให้อาหารมันมาก ตัวไหนไม่ค่อยจับหนูไม่ต้องกินฉันไม่เลี้ยงถูกไหม? คุณมีโอกาสให้ธรรมเป็นทานควรทำทันที แล้วคนที่มองคุณอยู่เป็นเจ้าอาวาสหรือเปล่า?



29 Mar 2011 03:35:00

จุ้ย said...

ขอโทษที ลืมพิมพ์ชื่อ เลยกลายเป็นคำถามของคุณ ANONYMOUS



29 Mar 2011 05:20:00

koknam said...

ผมไม่สนเลยว่าบ้านอื่นมีนโยบายเลี้ยงแมวอย่างไร



ขอโทษด้วยนะครับ ผมเห็นต่างกับคุณจุ้ยอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่ผมจะทำคือ ผมจะเริ่มตั้งแต่คัดแมวเข้าบ้าน ปัญหาที่ผมเจอทุกวันนี้คือแมวที่ขี้เกียจจะเอาแต่กินอาหารแล้วคอยคุยโม้ให้แมวบ้านอื่นๆฟังว่าจะจับหนูอย่างไร และมีแต่แมวแบบนี้ที่เอาแต่ขยายพันธุ์



ส่วนคนเลี้ยงแมวบ้านข้างๆก็จะคอยบอกผมว่า ผมควรจะเลี้ยวแมวอย่างไรทั้งๆที่ตัวเองก็รับมือแทบจะไม่ไหวกับจำนวนแมวที่ออกลูกออกหลานมากขึ้นทุกที



ผมไม่เอาปริมาณครับ ผมจะอัดคุณภาพอย่างเดียว ต่อให้มีแมวแค่ตัวเดียว ผมก็จะอัดอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดให้เค้า ผมสั่งแมวทุกตัวในบ้านว่า ห้ามไปลากแมวตัวอื่นมาเพิ่มอีก หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ผม หน้าที่คุณคือตั้งใจจับหนูในบ้าน



ผมจะคัดเองว่า ความตั้งใจระดับไหนที่ผมเข็นได้ แมวตัวไหนที่ไม่จับหนูผมจะเขี่ยทิ้งทันทีครับ ไม่ต้องมาเสียเวลาอ้างเหตุผลมาก ความสัมพันธ์ของพวกเราอยู่ได้ด้วยการฝึกเท่านั้นครับ ถ้าตรงนี้อ่อนแอ แยกทางกันแน่นอน



ส่วนคนที่มองผมอยู่ไม่ใช่เจ้าอาวาสครับแต่เป็นตัวผมเองครับ





ขอให้ประสบความสำเร็จกับฟาร์มแมวของคุณครับ



29 Mar 2011 20:58:00



Post a Comment

รู้สึกตัวซะหน่อย แล้วค่อยๆเขียน