พวกคุณเคยสังเกตไหมครับว่า หลวงพ่อเทียนมักจะพูดเปรียบเทียบเรื่องสงบในถ้ำ สงบนอกถ้ำ สงบแบบน้ำแข็ง สงบแบบน้ำลึก เค้ามักจะพูด(ในซีดี)ว่า อย่าไปนั่งสงบ ความสงบมันมีอยู่แล้ว คุณแค่ไม่รู้จักมันเท่านั้น ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่าเข้าใจ แต่เมื่อมารู้มาเห็นความสงบแบบนี้ กลายเป็นว่า สิ่งที่ผมเคยเข้าใจนั้นผิด ผมจะไล่กระบวนการให้ฟังนะครับว่า ความเข้าใจความสงบแบบนี้มีที่มาอย่างไร สำหรับคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ผมขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วย
ครั้งสุดท้ายที่ผมฝึกอยู่ที่วัดนั้น ผมตื่นกายอยู่ตลอดในการฝึกเข้ารูปแบบ ที่ผมทำได้เพราะผมรู้วิธีระดับหนึ่งที่จะบังคับกลไกให้มันตื่น มันตื่นต่อเนื่องอยู่อย่างนั้น ผมจึงได้เข้าใจว่า ทำบุญ ทำบาป ด้วยกายมันจะไปตกนรกสวรรค์ ชั้นไหนเป็นยังไง ทำบุญด้วยกายก็คือ ความรู้สึกตัวที่มันตื่นขึ้นที่กายนั่นเอง พอมันตื่นขึ้น คุณจะกลายเป็นคนที่ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ สามารถทำงานประเภทจิตสาธารณะได้โดยไม่เหนื่อยหน่าย ไม่ด่าว่าคนอื่นในใจ ความคิดจะถูกบังคับไม่ให้คิดไปในทางเอาเปรียบคน มันมีความละอายเวลาโยนงานให้คนอื่นทำอยู่คนเดียว ระดับจิตใจมันยกขึ้นจากคนสู่ชั้นมนุษย์ ในทางตรงกันข้ามหากว่า ความรู้สึกที่กายไม่ตื่นขึ้น มันจะเหลาะแหละ คอยหาช่องทางอู้งาน จิตใจจะตกลงไปอยู่ชั้นสัตว์ เดี๋ยวง่วง เดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวหาช่องทางสืบพันธุ์ เดี๋ยวเบื่ออ้างโน่นอ้างนั่น สลับปนไปอยู่อย่างนั้น ระดับนี้ยังต้องชดใช้กรรมทุกข์ทรมานเรื่องความง่วง ความเมื่อย
มีอยู่วันหนึ่งครับมันตื่นเข้าไปในทรวงอก ความรู้สึกช่วงนั้นมันเหมือนต้นไม้เล็กๆที่ถูกรดน้ำตอนเช้า ผมจึงเข้าใจเรื่องการทำบุญด้วยวาจาว่ามันมีที่มาจากอะไร ทำไมบางครั้งเราพูดดี เราไม่ว่าร้ายใคร ไม่ยโสโอหัง คอยพูดให้กำลังใจคนอื่น นั่นเพราะว่ากลไกการตื่นในทรวงอกมันบังคับเอาไว้ อวัยวะในทรวงอกมันเป็นปรกติ จิตใจมันก็เลยยกระดับจากมนุษย์เป็นเทวดา ระดับนี้จะไม่มีอาการง่วง ไม่ปวดเมื่อย แต่ก็ยังไปไม่พ้นความคิดที่ไม่เข้าใจในกลไกการตื่นอย่างแจ่มแจ้ง มันยังชดใช้กรรมเรื่องความค้างคาใจ
ช่วงที่มันตื่นในอก มันเป็นอย่างนั้นทั้งวัน ผมไม่แน่ใจว่าอาการตื่นแบบนี้จะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน แต่ผมรู้สึกว่า ผมรู้สึกดีมากที่มันตื่นแบบนี้ ด้วยนิสัยของผม ผมพยายามจับกลไกให้ได้ ว่าการตื่นขึ้นที่ใจแบบนี้มันมีสาเหตุมาจากอะไร เพราะถ้าผมรู้ ผมจะได้กดสวิตท์แช่มันอย่างนั้นตลอดไป แต่ผมหาไม่เจอ ค่ำวันนั้นผมยังมุ่งหาคำตอบ มันก็ไม่รู้วิธี พอเริ่มไม่รู้มันก็ลองส่งเดชไปเรื่อย เหมือนเดินในเขาวงกต แล้วมันก็ตกลงไปในความไม่เข้าใจอีกแล้ว อาการตื่นใจก็หายไป สภาวะล่วงลงมาอยู่ระดับมนุษย์ แล้วมันก็กลับมาง่วงอีกแล้ว ผมเฉลียวใจนึกถึงคำสอนที่ว่า สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา มันเป็นแบบนี้นี่เอง ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์หรือเทวดา มันจะเกิดการสลับสับเปลี่ยนระหว่างชนชั้น เป็นสัตว์อสูรกาย เดี๋ยวเป็นเทวดาเป็นมนุษย์ วนไปวนมาเป็นวัฏจักรอย่างนี้ไม่จบสิ้น โบราณถึงสอนว่า หมดบุญก็ไปเกิดเป็นคน ทำบุญไปเกิดเป็นเทวดา ทำบาปไปตกนรก เราไม่ได้ฝึกตัวเองให้เป็นเทวดา แต่ฝึกให้พ้นยิ่งขึ้นไปอีก ผมไม่ยอมที่จะรับสภาพแบบนี้ตลอดชีวิต ผมไม่ยอมก้มหัวให้สภาพสัตว์นรกเกียจคร้าน ผมไม่ต้องการให้ชีวิตนี้ต้องตกอยู่ในภพภูมิของภูตผีปีศาจ จิตใจหน้าด้านเห็นแก่ได้ต้องไม่มีที่ชีวิตนี้อีก เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้วิธีไปพ้นจากวงจรนี้
ต่อมาผมเข้าใจว่า ในสภาพที่ตื่นสุขขนาดนั้น ให้มองหาความปรกติ สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เพราะถ้ามันติดอยู่ที่ตัวสุขมันจะวนกลับไปทุกข์เสมอ ต้องเห็นสิ่งที่เป็นปกติอยู่ตลอดให้ได้ ต่อให้เป็นช่วงที่ตื่นจัดไม่ว่าจะชอบยังไงก็ตาม ให้หาความปรกติในอาการตื่นนั้นให้เจอ แต่ผมยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้มาก ผมรู้ตัวว่าตัวเองเจริญสติเป็นแต่ยังไม่รู้วิธีรักษาเอาไว้ ง่วงอีกด้วยอะไรของมัน ผมยังคงฝืนฝึกไปด้วยความอึดอัดไม่เข้าใจเดี๋ยวตื่นเดี๋ยวไม่ตื่น และผมรู้ว่า ผมผ่านสภาวะนี้ไม่ได้แน่ๆหากยังใช้วิธีเดิมๆ มันต้องมีจุดผิดพลาดตรงไหนซักแห่งแน่ๆ ในตอนนั้นผมบอกตัวเองอย่างยอมรับหมดใจว่า ความรู้ทั้งหมดที่ผมมีมาก่อนหน้านี้ช่วยอะไรไม่ได้เลย
ทันใดนั้นมันเหมือนกับผมเป็นตุ๊กตาที่มีเชือกคอยบังคับให้เคลื่อนไหว แล้วตุ๊กตามันหลุดออกจากเชือก เหมือนกับร่างกายมันไม่ฟังความคิด ผมรู้สึกเดินตัวเอียงๆ และทำอะไรไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน มันเป็นอยู่ประมาณสิบนาที จากนั้นความเข้าใจมันบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้เป็นเรื่องของการฝึกเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวล้วนๆอย่างเดียวแล้ว เพราะความรู้ความเข้าใจไม่สามารถนำมาใช้ในระดับต่อจากนี้ได้อีก ต้องทิ้งความรู้ไว้ข้างหลังเท่านั้น อย่างอื่นจะไม่เอาอีกเลย พอมันเริ่มจับความเข้าใจนี้ได้ ความรู้สึกของกายจะตื่นขึ้นอย่างมาก เป็นอยู่อย่างนั้นประมาณสามวัน
พอมันเริ่มแผ่ว เพราะความคิดมันพยายามหาช่องทางไปให้ได้ไกลกว่านี้อยู่ตลอด มันก็เริ่มกลับมาง่วงอีก ผมพยายามจะให้มันตื่นไว้ มันก็ไม่เป็นไปตามนั้น เหมือนกับมันมีความกังวลบางอย่างที่คาใจผม แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคอยขัดขวางการตื่นนี้ไว้ เพราะมันพะวงอะไรซักอย่างจากการที่ผมยังไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง แล้วผมก็เริ่มไล่สังเกตความรู้สึกตัวจากหัวไปเท้าเหมือนเครื่องสแกน มันเหมือนผมกำลังหาทางออกอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้ว่าผมทำอย่างนั้นทำไม เมื่อผมไปสังเกตความรู้สึกตัวที่สมอง เพราะเวลาง่วงสมองมันจะเบลอก่อน และมันก็คิดอะไรของมันไปด้วย เรื่องที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมาลงเอยแบบนี้ก็เกิดขึ้นครับ ความรู้สึกตัวที่ก้อนสมอง ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้มันกำลังทำหน้าที่คิด ผมคุ้นเคยจากสารคดีที่มี หมอเอาสายไฟไปแปะหัวคนแล้วเห็นเป็นคลื่นๆขึ้นๆลงๆ แสดงว่าคนไข้กำลังคิด หรือสมองปล่อยกระแสไฟฟ้าอะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่ผมเข้ามาเห็นมันไม่เป็นแบบนั้นเลย ความรู้สึกของมันเหมือนเดิมตลอด ไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิดความรู้สึกของสมองไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย
เรื่องบ้าๆแบบนี้ก็มีด้วย ผมเข้าใจเรื่องความสงบแบบวิปัสสนาขึ้นทันที สิ่งนี้หยุดอยู่กับที่เสมอ ให้ตายเถอะผมฝึกมาหกปีกว่าด้วยการเคลื่อนไหวเพื่อเข้าถึงสิ่งที่หยุดนิ่งเนี่ยนะ บ้าชัดๆ ตอนนั้นผมงงกับสิ่งที่ผมเข้าไปเห็นมาก ผมไม่คิดว่ามันจะมาลงในรูปแบบนี้ มันเหนือความคาดหมายเกินไป เพราะผมเคยเข้าใจว่า กลไกสมองจะทำงานเปลี่ยนแปลงบางอย่างในช่วงที่คนเรากำลังคิด ความรู้สึกทุกอย่างของมนุษย์เกิดได้เพราะมีฐานของอวัยวะทางกายรองรับ แต่ความคิดไม่ใช่ มันไม่มีตัวตน ไม่มีอวัยวะอะไรเลยที่รองรับการคิด
ชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่ผมจะเอาเรื่องพวกนี้ไปคุยกับใครได้ เพราะมันขัดแย้งกับชาวบ้านเค้ามากเกินไปแล้ว และมันยังขัดแย้งกับตัวผมเองด้วย แต่ผมปฏิเสธความเป็นจริงไม่ได้ พิจารณาดู ของเจ๋งๆในโลกนี้มันก็เป็นของบ้าๆเกือบทั้งนั้นไม่ใช่หรือ จะเพิ่มเจ้านี่ไปอีกตัวคงไม่ประหลาดซักเท่าไหร่ ตอนนั้นผมทึ่งกับวิธีการยกมือสร้างจังหวะของหลวงพ่อเทียนมากว่า โคตรอัจฉริยะ เค้าให้เคลื่อนไหวเพื่อให้มันคอนทราสกับสิ่งที่หยุดนิ่ง ถ้าเราไปฝึกนั่งนิ่งๆมันมองตัวที่สงบนิ่งโดยธรรมชาตินี่ไม่ออก เหมือนกับถ้าคุณอยากเห็นแสงสว่างชัดๆให้เอามันไปอยู่ท่ามกลางความมืด (ทั้งๆที่ความสว่างมันเท่าเดิม)
ธรรมชาติของชีวิตที่ผมเห็นตอนนี้มีเพียงสองอย่าง คือ สิ่งที่เคลื่อนไหว(ทุกข์) กับ สิ่งที่หยุดนิ่ง(นิโรธ) สองตัวนี้กระแทกกันอยู่ตลอดเวลา มันมาวนความเข้าใจเรื่องขันธ์สองอีกแล้ว
โดยปกติแล้วนักปฏิบัติที่แสวงหาความสงบนั้น เค้ามุ่งหวังความสงบที่จิต คือพยายามไม่ให้มันฟุ้งซ่าน แต่ความสงบแบบนี้ไม่ได้สงบที่จิตครับ จิตจะฟุ้งซ่านหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับมันเลย มันไม่เกี่ยวกับความคิด มันแยกออกไปต่างหาก ตัวมันเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จะเรียกมันว่าความสงบ ความหยุด ความปรกติ ได้ทั้งนั้น มันคือตัวเดียวกัน มันมีเพียงว่า เมื่อเราเห็นมันมันจะแสดงอานุภาพ เมื่อไม่เห็นมันเราก็ใช้อานุภาพนั้นไม่ได้
พอมันจับตัวนี้ได้ ผมรู้เลยว่า ความง่วงนั้นแพ้การตื่นขึ้นของสมอง กลไกมันอยู่ที่นี่เอง ให้สมองของคุณตื่นเข้าไว้หรือให้คุณรู้สึกถึงสมองเสมอๆ คุณจะไม่มีวันง่วงเพราะอารมณ์กรรมฐานอย่างแน่นอน อันนี้ผมหมายถึงคนที่ฝึกประเภทอัดจนสลบนะครับ ไม่ใช่พวกทำๆหยุดๆพักมั่ง ดูหนังมั่ง สบายๆ พวกนี้มันไม่ง่วงอยู่แล้วเพราะมันเข้าไปในความคิด แต่ถ้าคุณเดินกับนั่งซ้ำไปซ้ำมาทั้งวันติดต่อกันเป็นอาทิตย์ๆ มันต้องง่วงอย่างแน่นอน แต่มันมีวิธีแก้ครับ
เมื่อก่อนเวลาเราฝึกเคลื่อนไหวร่างกายเราจะแยกออกว่า ความรู้สึกอันนี้เป็นของมือ อันนี้เป็นของเท้า อันนีเป็นของลิ้น อันนี้เป็นของริมฝีปาก แต่พอมาถึงตอนนี้ อวัยวะส่วนไหนมันก็รู้สึกเหมือนกันหมด ความรู้สึกตัวในระดับลึกหรือระดับละเอียดของทุกอวัยวะนั้นเป็นแบบเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกตามอวัยวะ มันไม่เคยแปรเปลี่ยนตามความง่วงความเมื่อยหรือความคิด
ผมจะขอจบลงด้วยสิ่งที่เรียกกันว่า รู้สึก เพราะหลายคนที่ผมสนทนาด้วยไม่เข้าใจมันแบบถ่องแท้ พวกเค้าจึงฝึกไปแบบไม่ตรง คือมันอาจจะตรงไปในทางที่เค้าเข้าใจ แต่ไม่ตรงกับผมครับ และมันไม่ใช่เส้นขนานแต่มันกำลังวิ่งไปคนละทิศ
ตามความเข้าใจของผม รู้สึก นั้นแบ่งได้สองแบบ คือ รู้สึกในขันธ์ห้า(วิญญาณ) กับ รู้สึกตัวล้วนๆ ความแตกต่างของมันก็คือ รู้สึกแบบวิญญาณในขันธ์ห้านั้น คือการรู้สึกที่ไม่ต้องอาศัยการฝึกก็รู้ได้เช่น อิ่ม เจ็บ ง่วง ปวด เมื่อย ฟุ้งซ่าน สุข ทุกข์ ลมพัดกระทบ มีลิ้นมาเลีย ของพวกนี้เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องฝึกเพื่อให้คนเรามันรู้ถึงของพวกนี้ แต่ความรู้สึกตัวล้วนๆไม่ใช่แบบนั้น มันต้องมีความตั้งใจอย่างมากและปัญญาต้องคมถึงระดับ คุณถึงจะเข้ามารู้มันได้ ถ้าไม่ฝึกมันไม่มีทางปรากฏแม้มันจะมีอยู่ที่ตรงนั้นตลอดเวลา
ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ