โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

เครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง

ผมฟังคำสอนจากหลวงพ่อเทียนมาตลอดว่า สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง และกิเลสอย่างกลางคือความสงบ แต่ผมไม่เคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่า อะไรคือความสงบ ผมพอจะทราบความหมายคร่าวๆจากการตีความตามตัวหนังสือว่า มันหมายถึงพวกที่นั่งหลับตาทำสมาธิดิ่งลึกลงในอารมณ์อันประณีตแล้วจมแช่กับอาการสุขลึกล้ำ การติดกับของอย่างนั้นคือ กิเลสอย่างกลาง ตอนนั้นผมเข้าใจอย่างนั้นนะครับ

แต่ในเมื่อผมไม่ได้ฝึกตนมาด้วยวิธีการเพื่อมุ่งเข้าหาความสงบประเภทนั้น ผมจะไปมีความสงบอันปราณีตเช่นนั้นได้อย่างไร มันหมายความว่าผมข้ามกิเลสอย่างกลางได้เลยหรือเปล่านะ นี่ผมเก่งขนาดนี้เชียว ผมคงเป็นชายผู้ไม่มีกิเลสอย่างกลาง ผมหัวเราะตัวเองแล้วบอกว่า งี่เง่า

ผมจึงเริ่มสังเกตตัวเองและถามตัวเองว่าอะไรคือความสงบกันแน่ และผมได้ทราบว่า เมื่อเราเจริญความรู้สึกตัวมากเข้าๆ ความรู้สึกตัวที่ตื่นขึ้นทั้งตัวจะไปกลบทับอาการทั้งหมด มันจะตื่นตัวอย่างเดียว และผมจะพอใจในอาการตื่นที่ไม่มีอะไรมารบกวนนั้น ในเมื่อมันเกิดบ่อยๆ ผมก็เข้าใจว่า ยิ่งฝึกเก่งเท่าไหร่มันต้องตื่นอยู่อย่างนี้ตลอดไป

เมื่อผมเข้าใจเรื่องของอารมณ์ และได้อ่านสิ่งที่ครูบาอาจารย์สายหลวงพ่อเทียนถ่ายทอดไว้ แม้แต่คำสอนของตัวท่านเอง ท่านกลับบอกว่า “ต้องให้มันเป็นอารมณ์” “ถ้าไม่มีอารมณ์นั่นแสดงว่าเราเขาไปติดความสงบแล้ว” “ต้องทวนอารมณ์” “วิปัสสนาเป็นเรื่องของอารมณ์” คำพูดพวกนี้สื่อถึงอะไรบางอย่างฟังผ่านๆเหมือนผมจะรู้ แต่ผมไม่เข้าใจ ผมไม่แตกฉานพอ

ผมเพิ่งจะมาเข้าใจคำพูดพวกนี้อย่างแจ่มแจ้งไม่นานนี่เอง แม้ว่าการตื่นขึ้นทั้งตัวจะเกิดขึ้นบ่อยมากหรือถี่มาก แต่อาการของความคัน ความเมื่อย ความคิดก็ยังต้องเกิดตามปัจจัยที่มากระทบมัน มันจะคอยขึ้นมาเบียดทำลายความมั่นคงแนบแน่นของความรู้สึกตัวและสร้างความท้อถอยให้เกิดแก่ผู้ฝึก ของพวกนี้พัฒนาให้ไกลไปกว่านี้ไม่ได้เพราะธรรมชาติของขันธ์ห้าเป็นเช่นนั้นเอง จะห้ามไม่ให้รู้ไม่ได้ในเมื่อวิญญาณขันธ์เป็นหนึ่งในขันธ์ห้า

แต่การที่เราตั้งมั่นอยู่กับความรู้สึกตัวที่ล้วนๆโดยไม่หวั่นไหวต่ออาการใดใดของขันธ์ห้าอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก กลับทำให้ธรรมชาติแห่งความรู้สึกตัวล้วนๆแสดงความเป็นจริงออกมา นั่นคือ สิ่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลงตามขันธ์ห้าแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เจ็บปวด เมื่อยล้า ร้อนจัด ความรู้สึกตัวล้วนๆไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย มันคงที่ของมันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ผมเข้าใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าอะไรคือกิเลสอย่างกลาง และทำไมสมาธิคือเครื่องกำจัดมัน นอกจากนั้นมันยังรู้ไปถึงกิเลสอย่างละเอียดด้วย ผมมั่นใจมากด้วยว่า สติสัมปชัญญะที่ฝึกจนเต็มที่ถึงที่สุดแล้วนั้น จะรู้เป็นตลอดเวลา

( ผมเคยถามพระคนหนึ่งเค้ามาจากสายอื่นไม่ขอบอกนะครับว่าจากไหน ในสายตาผมเค้าพูดจาเลอะเทอะ ผมจึงถามเค้าว่า “จริงหรือครับที่ทุกอย่างนั้นตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์” เค้าบอกอย่างมั่นใจว่า “ใช่ทุกอย่าง” ผมจึงถามว่า “ตัวกฎไตรลักษณ์เองนั้นตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์หรือไม่” “ตัวธรรมะที่บอกว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมะข้อนี้เที่ยงหรือไม่” “ความตายนั้นเที่ยงหรือไม่” เค้าและบรรดาศิษย์หัวเราะในคำถามเพี้ยนๆของผมแล้วบอกว่าผมต้องกลับไปศึกษาเรื่องสมมติและปรมัตถ์ให้ดีก่อนแล้วค่อยมาถาม ผมจึงถามต่อว่า “ในเมื่อต้องแยกสมมตและปรมัตถ์ออกจากกันจะใช้คำว่าทุกอย่างได้อย่างไร” พวกคุณที่อ่านบทความนี้ลองหาคำตอบเอาเองนะครับ “สิ่งทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง แล้วความไม่เที่ยงมันเที่ยงหรือไม่” “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แล้วความไม่แน่นอนนั้นแน่นอนหรือไม่” สุดท้ายผมถามเค้าว่า “สติสัมปชัญญะที่ฝึกมาจนถึงที่สุดแล้วเที่ยงหรือไม่” เค้าบอกว่า “ไม่” ผมจึงหมดความสนใจในคนคนนี้ทันที )


กลับมาที่การฝึกนะครับ

พอผมเข้าใจตรงนี้ผมยิ่งบ้าระห่ำเข้าไปใหญ่ จิตใจมันไม่กลัวอุปสรรคในการฝึกอะไรเลย ขอให้ส่งกิเลสหรือความทุกข์ตัวขัดขวางที่เก่งที่สุดออกมาทีเถอะเพราะผมรู้ว่าผมจะผ่านได้ เคล็ดของมันไม่ได้อยู่ตรงการละทำลายอุปสรรค แต่อยู่ตรงการให้อุปสรรคเกิดขึ้นให้อารมณ์เกิดขึ้น แต่ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ฝึกมาดีนั้นจะชัดเจนอยู่ตลอดเวลา มันเข้าไปขัดกระบวนการการเกิดของทุกข์ มันไปเข้าใจเรื่องการทำบุญให้ทานว่าทำยังไงถึงจะทำบุญได้ตลอดเวลา มันแหวกกุศลและอกุศลออกจากกันแล้วทะลวงผ่านช่องกลางระหว่างมันทั้งคู่ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมยอมรับตัวเองว่า เก่ง มีเพื่อนหลายคนเคยบอกว่า เออมึงเก่ง งานมึงดี มึงทำได้ไง กูชอบ แม้แต่อาจารย์ผมเค้าก็เคยชมว่า เราเก่งมากนะที่มาถึงจุดนี้ได้ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เรายอมรับตัวเราได้เองแบบนี้

เมื่อก่อนนี้เมื่อมีความรู้สึกเกิดขึ้นมันจะวิ่งเข้าจับตัวที่หยาบก่อนเสมอ แต่คราวนี้มันวิ่งไปหาความรู้สึกที่ละเอียดกว่าด้วยปัญญาที่ฝึกมาอย่างดี เมื่อก่อนเราต้องปัดความคิดปัดวิญญาณขันธ์ออกเราจึงเจอความรู้สึกตัวล้วนๆ แต่ตอนนี้เราไม่ต้องปัดเราก็เจอ ฐานของชีวิตไม่ใช่จิตอีกแล้วแต่เป็นความรู้สึกตัว เหมือนกับเมื่อก่อนเราแบมืออยู่ เราต้องคอยฝึกเพื่อให้มันคว่ำมือบ่อยๆให้ได้เพื่อให้มันเห็นอีกด้านหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเห็นทั้งหน้ามือและหลังมือพร้อมกัน ผมรู้จักว่า อะไรคือสภาวะเดินออกมานอกห้อง แต่ยังออกไม่ได้มันยังมีแรงดึงผมให้กลับไปอยู่ในห้อง

จากเดิมความอึดอัดใจจะเกิดขึ้นเมื่อผมเผชิญอุปสรรค แต่ตอนนี้ผมรู้สึกสนุกกับอุปสรรคเพราะมันไม่มีทางแพ้ ธรรมชาติสร้างสิ่งนี้ให้เป็นผู้ชนะอย่างเดียว ความรู้สึกตัวล้วนๆมีอำนาจทำลายความทุกข์ยากของมนุษย์จากขันธ์ห้า แต่สิ่งที่เกิดจากขันธ์ห้าทำลายความรู้สึกตัวล้วนๆไม่ได้ กฎธรรมชาติของสิ่งนี้เป็นเช่นนั้น


มาถึงตรงที่ว่าอะไรคือความแตกต่างของวิญญาณขันธ์กับความรู้สึกตัวล้วนๆ เพราะความเข้าใจโดยทั่วไปมันหมายถึงรู้เหมือนกัน คำตอบก็แสนง่าย ความรู้สึกของวิญญาณขันธ์ไม่ต้องมีปัญญามันก็รู้สึกได้เอง เช่นความรู้สึกคัน ความรู้สึกรัก ความรู้สึกเมื่อย ความรู้สึกหิว ความรู้สึกเครียด ความรู้สึกท้อแท้ ของพวกนี้ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรในการรู้ มันรู้ขึ้นได้เอง ความรู้สึกตัวล้วนๆกับความรู้สึกแบบวิญญาณในขันธ์ห้าจึงเป็นคนละตัวกัน


การอธิบายความเข้าใจในระดับนี้เป็นเรื่องยาก ถ้าเลือกได้ผมจะสอนวิธีทำมากกว่าที่จะมานั่งอธิบาย แม้มันจะยากในการเคี่ยวเข็ญคน แต่ง่ายกว่าการอธิบายด้วยคำพูด

บางคนสงสัยว่าผมสอนพ่อตัวเองได้อย่างไร พ่อผมไม่ได้โง่ เค้าหัวแข็งไม่เชื่ออะไรง่ายๆและประสบการณ์ชีวิตเยอะ พระเณรอะไรไม่สนใจธรรมะอะไรไม่ต้องมาพล่าม แต่ทำไมเค้าเชื่อฟังผมในเรื่องฝึกเจริญสติ นั่นเพราะว่า ผมวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ดร็อปเรียน จนเลิกเรียน จนขายบ้านช่อง เพื่ออะไร จุดมุ่งหมายมีเพียงอย่างเดียวคือ แสดงให้คุณพ่อเห็นว่า ผมลงทุนไปเพื่อเอาเวลาทั้งหมดในชีวิตมาฝึก ผมเอาจริงกับสิ่งนี้และสิ่งนี้ส่งผลกับผมจริง แล้วทำไมไม่บวชมันไปซะเลยล่ะ นั่นเพราะว่า การเป็นโยมแสดงออกให้คนใกล้ตัวเห็นได้ชัดมากกว่า ว่าคนที่จะไปจนสุดไม่จำเป็นต้องเป็นพระ ธรรมที่แท้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อพระ แต่มีไว้เพื่อทุกคนขอให้ฝึกให้ถูกวิธีให้ต่อเนื่องเท่านั้น

การเจริญสติไม่ใช่เรื่องของความสนุก เพราะมันจะขัดใจตัวเองในทุกเรื่อง มันต้องเป็นคนที่สนใจจริงๆเท่านั้น ถึงจะยอมเสียเวลามานั่งฝึกเพื่อขัดใจตัวเอง และต่อเมื่อสามารถในการเอาชนะใจตัวเองได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า คุณจะเข้าถึงความสนุกบางอย่าง คือ สนุกที่ได้คว่ำตัวเอง สนุกกับการได้เห็นว่าสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าทำไม่ได้หรอกขี้โม้ทั้งเพ มันไม่ใช่แค่ทำได้แต่กำลังเป็นอยู่นี่ไง





ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ