โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

สถานที่เกิดของทุกข์

หลังจากที่ผมเริ่มสังเกตว่าตัวเองเริ่มผ่อนการปฏิบัติลง อีกทั้งคำบอกเล่าจากหลวงพี่ว่า ถ้าเราไม่เร่งรัดพัฒนาฝึกตนต่อไป เราจะกลายเป็นคนขี้เกียจฝึก หลวงพี่เองก็ยังมีอาการนี้อยู่ ผมมาสังเกตดูพบว่า อาการนี้เกิดจากการไม่ทุกข์ในขันธ์ห้านี่เอง ขันธ์ห้ายังปรุงอยู่นะครับ แต่มันเพียงอยู่เหนือการปรุงเท่านั้น มันไม่เดือดร้อนใจเวลาป่วยไข้ หรือจะสูญเสียทรัพย์ มันปล่อยวางเรื่องต่างๆได้ง่ายๆ มันรู้ตัวนะครับว่ายังไม่ถึงที่สุดของทุกข์ แต่ความสบายๆไปกับชีวิตที่ไม่ทุกข์กับโลกนี่เอง ความพอใจในชีวิตง่ายๆ กินง่ายอยู่ง่ายไม่รบกวนใครนี่เอง ที่ทำให้มันเริ่มจะไม่ฝึกแบบอัดจนกว่าจะสลบต่อไป

ผมจึงเริ่มฮึดขึ้นอีกรอบ พอเริ่มฝึกติดต่อได้สองวันตัวปวดเมื่อยกับตัวง่วงก็กลับมาอีก แต่คราวนี้ผมไม่ยอมอีกแล้ว ที่ผ่านมามันมาแล้วก็ไปเป็นช่วงๆ แต่คราวนี้ผมตั้งใจว่า จะต้องให้มันเด็ดขาดไปเลย อย่างน้อยที่สุด อาการง่วงจะต้องหายไปอย่างชนิดที่ไม่กลับมาอีก ผมสู้อยู่กับมันประมาณสามวัน ทุกครั้งบอกตัวเองเพราะรู้ก่อนเลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องง่วง ผมขอให้มันง่วงสุดๆทีเถอะ ขอให้ตัวแสบที่สุดออกมาเจอกันหน่อย ผมอยากจะเจอกับตัวที่เจ๋งที่สุดเพื่อคว่ำมัน คำว่าหลับคำว่าวูบไม่มีอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผมเหมือนกลายเป็นพวกบ้าท้าทายการสู้กับตัวเอง

ในระยะสามวันนั้น ผมไม่มีความรู้สึกวอกแวกอย่างอื่นเลย นอกจากปวดเมื่อยกับง่วง ผมไม่เป็นทุกข์กับมัน แต่มันเป็นความรู้สึกรำคาญเหมือนโรคที่รักษาไม่หายขาดเสียที ครั้งนี้ผมเอาจริงกับความง่วง และผมจะต้องชนะด้วย ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นนะครับ

ผมสู้กับมันประมาณเจ็ดแปดครั้งแบบหนักๆ ผมไม่ได้หลับหรือวูบ แต่มันทำให้ผมต้องเปลี่ยนท่าฝึกจากท่านั่งมาเป็นท่าเดิน มันสู้ไม่ไหวมันจึงต้องใช้การเปลี่ยนท่าเข้าช่วย แม้ผมจะไม่หยุดฝึกแต่ผมไม่พอใจทำไมผมถึงยังแพ้ไอ้ตัวง่วงนี่

การสะสมการต่อสู้แบบพอฟัดพอเหวี่ยงแบบไม่หยุดนี่เอง เป็นผลให้ผมเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นจุดสำคัญช่วยให้จิตใจเปลี่ยนสภาวะอีกครั้ง ผมพบความจริงว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นของมนุษย์ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่รู้สึกขึ้นมานั้นจะมีความชอบใจหรือไม่ชอบใจติดมาเองโดยอัตโนมัติเสมอ

ถ้าผมง่วงหรือปวดเมื่อยสัญชาตญาณจะรู้เองทันทีว่าไม่พอใจอาการนี้และสมองจะพยายามสั่งให้หนีออกจากความรู้สึกแบบนี้ ในขณะที่ผมร้อนเหงื่อซกฝึกหนักขอเพียงมีลมพัดผ่านมาวูบนึง อาการพอใจจะเกิดขึ้นเอง มันมาพร้อมกับสัญชาตญาณว่า พอใจในการบรรเทาความร้อนลง

พอผมเก็ทตรงนี้ ผมเข้าใจว่า ความรู้สึกนั้นทำงานร่วมกับสมองแบบอัตโนมัติ บางครั้งความคิดเกิดก่อนแล้วจึงเกิดความรู้สึกตามมา แต่ถ้ามีอะไรภายนอกมากระทบ ความรู้สึกตัวจะเกิดก่อนแล้วไปบังคับสมองให้คิดต่อว่า จะเอาหรือจะหนีความรู้สึกนั้น

ผมสังเกตและแปลกใจว่า สมองแปลความหมาย ความชอบใจไม่ชอบใจจากอะไรนะ ทำไมทุกความรู้สึกที่มันเกิดขึ้น สมองมันรู้เองหมดได้ว่า อันนี้ทุกข์อันนี้สุข ทำไมมันตัดสินเอาเองแบบนี้

มีความรู้สึกชนิดไหนไหมนะที่เมื่อรู้สึกแล้ว สมองตีความอ่านค่าไม่ได้ มีความรู้สึกอันไหนหรือเปล่าที่สมองไม่รู้ว่า อันนี้เป็นสุขอันนี้เป็นทุกข์ ความรู้สึกอันไหนนะที่สมองบอกไม่ได้ว่า นี่พอใจนี่ไม่พอใจ และแค่เฮือกเดียวหลังจากผมถามตัวเองจบ คำตอบก็ทะลักขึ้นเอง

ก็ความรู้สึกล้วนๆนี่ไง เรารู้จักมันมาตั้งแต่รูปนาม ศีลปรมัตถ์ ยันต้นกำเนิดของความคิดแล้ว นี่มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพียงแต่เราถูกความยินดีปรีดาที่เราได้เข้าไปรู้มันนี่เองปิดบังไว้ แต่ตัวมันเองนั้นเหมือนเดิมตลอด เมื่อเราเข้าไปรู้มันสมองจะทำงานไม่ได้ทันที สมองอ่านค่าของสิ่งนี้ไม่ออก สมองตอบสนองต่อสิ่งนี้ไม่ได้ เมื่อตอบสนองไม่ได้ จึงมีเพียงการปล่อยให้ความรู้สึกตัวล้วนๆแบบนี้ดำเนินต่อไป โดยสมองไม่สามารถห้ามปรามหรือยุยงได้ เพราะมันไม่มีการจะเอาหรือไม่เอาในความรู้สึกนั้น

อย่างผมเดินกอดอกอยู่นี่ ความรู้สึกที่แขนกำลังแนบชิดกับหน้าอกอยู่นี่ สมองก็บอกไม่ได้ว่า มันพอใจหรือไม่พอใจในความรู้สึกอันนี้ สมองทำอะไรกับความรู้สึกประเภทนี้ไม่ได้เลย มันจึงเฉยต่อการเข้าไปจัดการใดใดต่อความรู้สึกแบบนี้ จากนั้นผมก็เข้าใจเรื่องอารมณ์แบบแตกฉานทันที ไม่มีคำถามอะไรค้างคาว่าไม่รู้อีกแล้วกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า อารมณ์

ความรู้สึกอะไรก็ตามที่สมองรู้ว่า จะตอบสนองสิ่งนั้นอย่างไรโดยสัญชาตญาณ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ทั้งหมด เช่นง่วงนี่เป็นอารมณ์เพราะมันรู้ทันทีว่าจะนอน ปวดเมื่อยนี่เป็นอารมณ์เพราะมันรู้ว่าไม่ชอบต้องหยุดความเมื่อยนี้เสีย ร้อนนี่เป็นอารมณ์เพราะมันรู้ว่าจะต้องพัด ความรู้สึกทั้งหมดของมนุษย์เป็นอารมณ์ทั้งหมด เพราะสมองรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบในสิ่งนั้น ความคิดนี่เป็นต้นเหตุของอารมณ์ ส่วนทุกข์หรือไม่ทุกข์เกิดตามมาว่าสามารถตอบสนองต่อการบอกของสัญชาตญาณนั้นได้หรือไม่

พอผมเข้าใจจุดนี้ มันเหลือองค์ประกอบเพียงสองอย่าง คือ หนึ่งความรู้สึกที่เป็นอารมณ์ สองความรู้สึกที่ไม่มีอารมณ์ และตัวสำคัญที่จะชี้ได้ว่า ความรู้สึกอันไหนเป็นอันไหนอยู่ที่สัญชาตญาณ ถ้าบอกได้ว่าชอบความรู้สึกนี้หรือไม่ชอบความรู้สึกนี้ หรือรู้ว่าจะเข้าจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร ความรู้สึกนั้นจะเป็นอารมณ์

ผมจึงประชิดหมากไปที่ความรู้สึกตัวล้วนๆอย่างเดียว ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นครับ ผมกำลังนั่งสร้างจังหวะอยู่ ความรู้สึกตัวตื่นขึ้นทั้งตัวเช่นที่ผ่านมา ความง่วงยังมีอยู่ปวดเมื่อยยังมีอยู่ ผมตั้งใจไว้เลยว่า ผมต้องคว่ำมันให้ได้

ผมทะลวงหาที่มาของความง่วงครับ มันเกิดมาจากตรงไหน ผมจะเข้าไปดูให้เห็นชัดๆตรงบริเวณที่มันเกิดหน่อย ความรู้สึกทุกอย่างต้องมาจากกายทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกอะไรลอยเด่ๆมาโดยไม่มีอวัยวะรองรับ เพราะนี่คือกฎธรรมชาติของรูปนาม

ตอนนั้นผมให้ความสนใจไปที่การหาตำแหน่งการเกิดของความง่วงประมาณ70% อีก30%ที่เหลือปล่อยให้ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นทำงานไป พออาการง่วงเกิดมาเพียงเสี้ยววินาที ผมวิ่งหาดูตำแหน่งเกิดของมันทันที มันอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกายนี้ พอความปวดเมื่อยเกิดผมวิ่งไปดูตรงจุดที่เกิดทันทีมันอยู่ตรงไหนของร่างกายนี้ พออาการอึดอัดเสียดใจเกิดขึ้นผมหาตำแห่งมันทันที มันเกิดตรงในบนหน้าอกนี้ เกิดข้างในข้างนอกยังไง ตอนนั้นมันสลับสับเปลี่ยนตัวกันอยู่แค่สามตัวนี้แบบเร็วจัด ผมตามทันทุกตัว ประมาณยี่สิบหน้าทีผ่านไป มีบางอย่างเกิดขึ้นครับ

อยู่ดีดีผมเข้าไปสัมผัสความรู้สึกแท้ๆของเนื้อสมองในก้อนกะโหลก ผมเข้าไปสัมผัสความรู้สึกแท้ๆของอวัยวะในทรวงอก แล้วตอนนั้นมันมีความรู้สึกของกายล้วนๆที่เคลื่อนไหวรออยู่อีก 30%ก่อนแล้ว อยู่ดีดีมันก็รวมตัวกันเข้ามา กลายเป็นการรู้สึกทั้งตัวที่แทงไปยันก้อนสมองทิ่มเข้าไปในทรวงอกล้อมรอบด้วยความรู้สึกกายทั้งตัวแขนขา

พอตัวนี้เกิดขึ้นผมนึกไปถึงบล็อกของคุณ mingxing เรื่อง เพชรตัดมายา นึกถึงหลวงพ่อเทียนพูดเรื่องการรวมกันเข้า เข้าใจความหมายของการทวนอารมณ์แต่ไม่ไปทวนอารมณ์ของรูปนาม

อธิบายเป็นภาษายากแต่จะลองดูนะครับ

เวลาที่เราง่วง ปวดเมื่อย เสียดใจ(ปฏิฆะ) หรืออาการทั้งหมดที่เป็นอารมณ์นั้น เราไม่ได้รู้สึกที่ตัวเราจริงๆครับ แต่ความคิดสร้างภาพขึ้นมาแล้วดึงให้เราไปรู้สึกที่ภาพนั้นแทน ซึ่งไอ้เจ้าความรู้สึกที่ถูกสร้างขึ้นโดยความคิดนี้ มันจะลอยๆยู่ คล้ายๆลอยอยู่ในอากาศ ลอยอยู่ในมโนภาพ สังเกตเอาครับหูตาจะพร่ามัวไม่คมชัด และความจริงที่เป็นตลกโง่ๆตลอดมาก็คือ ความทุกข์สุขของมนุษย์ทำงานได้แค่บริเวณสถานที่หลอกๆนั้น

เวลาที่คุณง่วงนั้นคุณกำลังไปรู้สึกอยู่กับ ความรู้สึกที่ความคิดสร้างขึ้นมาเอง แต่หาใช่ตัวความรู้สึกอันแท้จริงไม่ ความปวดเมื่อย ความเสียดใจนั้นเหมือนกันหมด มันทำงานด้วยหลักการนี้เพียงอย่างเดียว เมื่อเข้าใจหลักการนี้ โครงสร้างของมันถูกทำลายลงทันทีพร้อมกัน

เมื่อผมมาย้อนมองความรู้สึกตัวของเราเองจริงๆ ที่ไม่มีภาพมายาที่ความคิดสร้างขึ้นต่ออารมณ์ ผมพบสิ่งที่อัศจรรย์อย่างที่หนึ่งคือ ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้เพราะไม่มีที่เกิด และความอัศจรรย์ย่างที่สองคือ อาการทุกอย่างจะจบตัวเองลงทันทีเพราะไม่มีที่ให้อยู่

ผมฝึกต่ออีกสามวัน ผมรู้จักการแนบแน่นเข้ากับความรู้สึกที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่มีภาพบังซ้อนทับอีก คนที่ยังไม่ผ่านมาถึงตรงนี้จะไม่ทราบครับว่า ภาพที่ซ้อนทับที่สมองสร้างขึ้นนี้คืออะไร ต้องพ้นมาก่อนครับถึงจะเข้าใจ


มันยังไปเข้าใจเรื่องความปกติ แปลกประหลาดมากพอเข้าใจอะไร มันจะเข้าใจไปทั้งเซ็ทเลยเป็นความรู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกัน ความปรกติอันนี้ คือ ความปรกติของกายอย่างเดียวครับ เรื่องใจไม่ต้องมาพูดแล้ว หากตัดอารมณ์ออกได้ ใจคือตัวเดียวกับกาย

การรู้ปรกติใจ หมายถึง การเข้าไปรู้ความรู้สึกกายในทรวงอก แต่คนทั่วไปจะไม่รู้ความปรกตินี้เพราะ พอเข้าไปรู้สึกในทรวงอกมันจะเป็นอารมณ์ทั้งหมด อวัยวะน้อยใหญ่ในทรวงอกมันกระตุ้นให้ขยับสูบฉีดบีบตัวเมื่อมีความคิด

เมื่อความคิดไม่สามารถทำงานได้ เพราะถูกตัดโดยการเข้ารู้สัมผัสความรู้สึกตัวล้วนๆอยู่อย่างแนบแน่นชัดเจน อวัยวะภายในทรวงอกจึงเป็นปรกติไม่ขยับบีบตัวตามแรงความคิด และเมื่อใครก็ตามจับความรู้สึกในทรวงอกที่เป็นปรกติตอนนั้นได้จะเข้าใจคำว่า ปรกติใจ




ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ