โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ของฝากก่อนบินกลับ .....

มีเพียงสองเรื่องที่จะเขียนไว้ก่อนบินกลับ


เรื่องแรก สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง

จนบัดนี้ผ่านมาหกเดือนก็ยังบอกได้เหมือนเดิมว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆอันนี้ มันคงที่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น มันแปลกอยู่อย่างตรงที่เวลาที่พูดเรื่องนี้กับคนอื่น เค้ามักจะกล่าวว่า ไม่มีในตำราซักหน่อยว่าอะไรมันเที่ยง แน่นอนผมไม่ได้พูดจากตำรานี่ ผมพูดมาจากสิ่งที่มันแสดงตัวออกมาให้สัมผัส ให้รู้อยู่

คำว่าเที่ยงที่ผมใช้ผมหมายถึง คือในหนึ่งช่วงชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตายสิ่งนี้จะไม่มีวันแปรเปลี่ยน และมันเป็นอยู่ในคนทุกคนด้วย ไม่ต้องไปบังคับอะไรมัน มันก็เที่ยงของมันอยู่อย่างนั้น

ผมไม่เคยเกิดอารมณ์อยากจะโต้เถียงกับใคร หรือพูดง่ายๆก็คือไม่แยแสความเห็นของคนอื่นที่แบกตำราเลย มาไม่ถึงจุดที่มันเป็นก็ย่อมรู้ไม่ได้อยู่แล้ว คนที่มาเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ เพราะมันถูกการทำงานของขันธ์ห้าบังเอาไว้ ขันธ์ห้าต่างหากที่ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ จะใช้วิธีไหนฝึกก็ตาม หากสิ่งที่เห็นยังเป็นสิ่งที่เกิดจากการทำงานของขันธ์ห้า ย่อมไม่สามารถหลุดจากขันธ์ห้าได้ มันมาได้ไกลสุดคือ แยกตัวออกมาดูการทำงานของมันแต่จะหลุดจากวงจรของมันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังจะดึงออกมา นั่นคือความต่างของปัญญาวิมุต กับเจโตวิมุต

กำลังดึงที่ว่าคืออะไร มันคือ ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกฎไตรลักษณ์ พูดง่ายๆคือ ตัวนี้มันไม่สะเทือนต่อความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เมื่อคุณเข้าใจมัน มันจะเหมือนกับคุณยืนอยู่บนกาบเรือสองลำ ลำหนึ่งเป็นความไม่เที่ยงแท้ถาวร อีกลำเป็นความเที่ยงแท้ไม่แปรผัน

ธรรมชาติของเรือสองลำมันวิ่งไปคนละทิศ ในช่วงที่มันจะแยกไปคนละทาง คุณจะรู้เองว่า คุณจะลงไปนั่งบนเรือลำไหน เรือลำไหนที่มันไม่เป็นทุกข์ หมายความว่าธรรมชาติมันจะผลักให้คุณเลือกเรือเอง ธรรมชาติที่ไม่ประสงค์ทุกข์อันเกิดซ้ำไปซ้ำมา จะปรากฏขึ้น

ขันธ์ห้าจะไม่ถูกมองเป็นของห้าอย่างอีกต่อไป แต่ถูกมองเป็นก้อนทุกข์ มันเหมือนกับทั้งชีวิตมันมีส่วนประกอบอยู่สองอย่างแค่นั้น คือ หนึ่งก้อนทุกข์สุข กับ สองความรู้สึกตัวล้วนๆไม่สุขไม่ทุกข์แต่มันเบิกบาน มันสองตัวอยู่ด้วยกันแต่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด



เรื่องที่สอง ใจว่าง

ผมมักมีปัญหาในการใช้คำนี้เวลาคุยกับคนอื่น เพราะเค้ามักจะเข้าใจว่า “ว่าง” ที่ผมใช้เป็นสิ่งเดียวกับที่เค้ากำลังเจอ จากที่ผมพบสังเกตนั้น ว่างที่คนส่วนใหญ่ประสบ คือ ว่าง แบบยังอยู่ในขันธ์ห้า คือว่างแบบเฉยๆ แต่ว่างแบบนี้จะไม่มีความสดชื่น ไม่ตื่นตัว ไม่กระปรี้กระเปร่า

คุณลองสังเกตเอาเองว่า เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าว่าง มันจะคงตัวอยู่ระยะเวลาหนึ่งและจบไป คุณจะไม่รู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร ทำไมอยู่ดีดีมันถึงรู้สึกว่างออกมา

ตำราพูดดีแล้ว ทุกอย่างนั้นเกิดแต่เหตุ มันมีเหตุมันถึงแสดงตัวออกมา คนที่พบกับความว่างแบบนั้นจะไม่สามารถทำให้มันปรากฏขึ้นได้อีกอย่างใจ คือบังคับบัญชามันไม่ได้ บางคนเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน อยู่ดีดีมันก็เกิดขึ้นมาให้รู้อีก แต่สำหรับคนที่เข้าใจสาเหตุการเกิดของมัน เดินจงกรมไม่กี่ก้าว หรือยกมือไม่กี่ที มันก็แสดงตัวออกมาทุกครั้ง คนที่รู้จักกลไกเท่านั้น ถึงจะคุมกลไกได้ ของมันบังคับบัญชาได้นี่ กระตุ้นมันให้ถูกวิธีแค่นั้นเอง

ความว่างที่เกิดกับผม หรือที่ผมเข้าใจนั้น มันไม่ใช่ว่างแบบเฉยๆว่างแบบไม่มีอะไร แต่มันว่างแบบตื่น มันสดชื่น ใจมันร่าเริงเบิกบาน กลไกที่ผมค้นพบก็คือ เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกกายล้วนๆเพียงอย่างเดียว ปล่อยให้ขันธ์ห้าทำงานโดยไม่ห้ามมัน พูดง่ายๆคือไม่สนใจจิต คือไม่ตั้งใจดูจิตเลย การเห็นกายชัดๆจิตมันก็ปรากฏให้เห็นชัดๆ โดยไม่ต้องไปตั้งใจดู มันเห็นชัดของมันเองทั้งกายทั้งจิต

เหมือนถาดที่ลอยทวนกระแสน้ำนั่นล่ะ น้ำมันก็ไหลของมัน ถาดมันไม่ไหลไปด้วยนี่ ถาดหรือความรู้สึกกายล้วนๆที่แนบแน่นตัวนี้ จะไปตัดการทำงานของขันธ์ห้าหรือตัดการทำงานของจิต ขันธ์ห้ามีอยู่แต่มันทำงานไม่ได้ ถาดเล็กๆเพียงใบเดียวสามารถควบคุมการไหลของแม่น้ำทั้งสาย

สิ่งแปลกประหลาดก็คือ การที่ให้มันรู้สึกกายล้วนๆอยู่แค่นั้น ปล่อยทุกข์สิ่งให้เกิดขึ้นเลื่อนไหล ความสบายบางอย่างจะเกิดขึ้น กายมันสบายมันตื่น พอกายตื่นใจมันก็ตื่นด้วย พออธิบายเรียกว่ากายกับใจ คนอ่านก็เริ่มชักจะรู้สึกยุ่งอีกแล้ว คือ สภาวะที่มันเกิด กายกับใจมันเป็นสิ่งเดียวกัน มันไม่แยกกัน เพราะใจตัวนี้หรือจิตตัวนี้ เป็นคนละตัวกับที่เกิดจากการทำงานของขันธ์ห้า ตราบใดที่คุณยังไม่หลุดจากขันธ์ห้า ซึ่งคุณโกหกตัวเองไม่ได้แน่ ประสบการณ์ที่พวกคุณประสบทั้งหมดในการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นมายาขันธ์ทั้งหมดเลย

ส่วนใจตัวที่ผมพูดนี้ ไม่ได้มาจากการทำงานของขันธ์ห้า มันอยู่นอกเหนือ หรือมันอยู่คนละส่วน ใจแบบขันธ์ห้านั้นเกิดมาเพราะสติสัมปชัญญะหรือความรู้สึกกายยังไม่ดี มันจึงว่างบ้างไม่ว่างบ้าง แต่ใจตัวนี้เกิดมาจากสติสัมปชัญญะหรือเกิดมาจากความรู้สึกของกายที่เป็นฐานอย่างแนบแน่น มันว่างมันสบายมันกระฉับกระเฉง ทำกี่ทีก็เป็นอยู่อย่างนั้น


ไม่ได้เขียนเพื่อให้เข้าใจ แต่เขียนถึงความจริงที่จะเป็นอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เท่านั้น



ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป