โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ตัดไตรลักษณ์ .....

ความคล้ายกันระหว่าง ที่ว่าง และ เวลา ......... ความรู้สึกตัวล้วนๆ และ ความคิด

จากความเข้าใจที่ผมมีต่อทฤษฎี ที่ว่างและเวลา มันมีความคล้ายกันกับลักษณะเฉพาะของความรู้สึกตัวล้วนๆและความคิดสูงมาก เท่าที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีระดับเหนือสามัญสำนึกอันนี้ คือการอธิบายธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างที่ว่างและเวลา แต่ยังไม่ใช่การบอกว่าจะตัดมันขาดออกจากกันได้อย่างไร ผมไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้แบบนักวิทยาศาตร์ แต่ผมเทียบเคียงมันในลักษณะของสถาปัตยกรรม ผู้ศึกษาด้านสถาปัตย์ต้องเรียนเกี่ยวกับเรื่อง ที่ว่าง และ บริบท ซึ่งเป็นสิ่งเบสิคและเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการออกแบบขั้นต้น

คุณลองจิตนาการ เก้าอี้ซักตัว ที่ตั้งอยู่ โดยไม่มีคนสร้าง ไม่มีเวลา ไม่มีบริบท ไม่มีภูมิอากาศ ไม่มีอุณหภูมิ ไม่มีความสว่างและความมืดมาเกี่ยวข้อง ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวมันเอง เก้าอี้ตัวนั้นจะเป็น อมตะ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และไม่มีวันถูกทำลายลง

ในความเป็นจริงของยุคสมัยนี้ก็ยังไม่มีใครที่แยก วัตถุออกจากเวลาได้ แต่ถ้าถามว่ามีอะไรซักอย่างไหมที่มนุษย์รู้จัก แล้วมีสภาพที่อยู่เหนือ กาลเวลา คำตอบคือ มี


และสิ่งนั้นคือ “ที่ว่าง”

คุณลองเดินออกไปที่ถนน แล้ว มองไปที่ ที่ว่างของมัน ไม่ว่าถนนจะสว่างหรือมืด ฝนตก แดดร้อน หรือหิมะโรย ต่อให้มีสงคราม เลือดสาดกระจายตามพื้น อาคารบ้านเรือนพังพินาศ แต่ที่ว่างจะยังคงสภาพเดิมเสมอ มีเพียงใจมนุษย์ที่เปลี่ยนตาม สิ่งที่เกิดบนที่ว่างนั้น เหตุการณ์ต่างๆ เป็นเพียงตัวที่บังความเป็นจริงของคุณลักษณะของที่ว่างเอาไว้

ที่ว่าง เริ่มมีมาก่อนที่จะมีโลก ไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์ ไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์หรือดาวเคราะห์ มันเป็นหนึ่งเดียวกับของทั้งหมดในจักรวาล ไม่ถูกแบ่งแยกโดยออกซิเจนหรือสูญญากาศ ไม่เกี่ยวกับการถูกแทนที่ด้วยก้อนหินหรือน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ในที่ว่าง แต่เนื้อหาคุณลักษณะของที่ว่างไม่เคยเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มันบรรจุอยู่เลย

ใจของมนุษย์ที่เดินทางผ่านเวลาในที่ว่างเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง เวลาแค่นั้นเองที่ทำให้ทุกสิ่งแปรผันและเป็นจุดเริ่มต้นของกฏไตรลักษณ์

“ที่ว่าง” มีความเหมือนกับ “ความรู้สึกตัวล้วนๆ” อยู่หลายประการนั่นคือ ความไม่แปรเปลี่ยนตามเวลา ไม่แปรเปลี่ยนตามสภาวะจิต ไม่ขึ้นอยู่กับการปรุงของขันธ์ห้า ไม่มีจุดกำเนิดและไม่มีจุดสิ้นสุด มีความคงที่ถาวรอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญที่ทำให้มันเหมือนกันมากคือ ความรู้สึกตัวล้วนๆนั้น “ว่าง” โดยตัวมันเอง มันสะอาดบริสุทธิ์เพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวมัน มันไม่เข้ากันกับอะไรเลย ไม่มีอะไรจะทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

คุณอาจไม่สามาถเดินออกไปที่ถนนแล้วเข้าใจเรื่องที่บอกให้ดูที่ว่าง ให้ดูอะไร เพราะคุณจะเห็นอะไรเต็มไปหมด และมันไม่ใช่ให้คุณหลับตาแล้วสัมผัสเอา แต่ความเข้าใจระดับนี้เป็นเรื่องของบุคคลที่เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เห็นโดยปัญญา เหมือนกับที่มีคนจำนวนน้อยมากที่สามารถมองเห็นความรู้สึกตัวล้วนๆได้ เพราะเค้าถูกความคิดบดบังไว้

ความคิดนั้นไม่ต่างอะไรกับเวลาเลย มันเดินทางไปทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต มันทำให้เวลายืดและหดสั้นได้ มันบรรจุไปด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ อย่างที่รู้กันว่า เรื่องราวทางประวัติศาตร์มักถูกบิดเบือน ความคิดก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน มันถอดความเป็นจริงมาเป็นคำพูด แต่ไม่ใช่ตัวความจริงนั้น

แม้โดยตัวของความรู้สึกตัวล้วนๆเองจะคงที่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง แต่การเข้าไปรู้ไปเห็นมันยังถูกระงับยั้งด้วยการเข้าไปในความคิด มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำลายระบบไตรลักษณ์ชนิดที่วงจรทั้งหมดขาดสะบั้น นั่นคือ ความต่อเนื่องของความรู้สึกตัวล้วนๆในระดับสมบรูณ์ และเมื่อสภาวะความรู้สึกตัวล้วนๆและความคิดนั้นขาดออกจากกันเกิดขึ้นเมื่อใด การเข้าถึงความเป็นนิรันด์ ความเป็นอมตะ ความไม่แปรผัน ความคงที่ถาวร ความสะอาดถึงที่สุด จะปรากฏขึ้น

มันมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนเพราะว่า

สติสัมปชัญญะ คือ ต้นกำเนิดของความรู้สึกตัวล้วนๆ
ความรู้สึกตัวล้วนๆ คือ ต้นกำเนิดของความคิด
ความคิด คือ ต้นกำเนิดของอารมณ์
อารมณ์ คือ ต้นกำเนิดของการกระทำ
และการกระทำ คือ ต้นกำเนิดของความวุ่นวาย

สิ่งที่ถูกกำเนิด ไม่มีทางอยู่เหนือ สิ่งที่ให้กำเนิดมันได้ คุณสามารถปราบอารมณ์ด้วยความคิด แต่ไม่สามารถปราบมันด้วยการกระทำที่เกิดจากอารมณ์นั้น

คุณไม่สามารถปราบความคิด ด้วยตัวความคิดเองหรือด้วยอารมณ์ที่เกิดจากความคิดนั้นๆได้ แต่คุณปราบมันได้ด้วยความรู้สึกตัวล้วนๆได้

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเองทั้งหมด ต้นเหตุของมันมีเพียงประการเดียวนั่นคือ ความต่อเนื่องของสติสัมปชัญญะ ตัวนี้เท่านั้นที่สามารถตัดการหมุนของไตรลักษณ์ได้

ผมเชื่อเอาเองว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์สามารถตัดให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ที่ว่างกับเวลา ขาดจากกันได้ เมื่อนั้นภูมิปัญญาของมนุษย์จะมาถึงจุดสูงสุด



การอยู่เหนือดวงชะตา

จากการสังกตของผม การทำนายดวงชะตา มันมีความแม่นยำอยู่ระดับหนึ่งโดยเฉพาะในส่วนลักษณะนิสัย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมันเป็นเรื่องของสถิติ แต่หลังจาการฝึกปฏิบัติธรรม นิสัยหลายอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คำทำนายเริ่มไม่มีผล ผมอธิบายเรื่องนี้ได้จากการสังเกตเอา ก็คือ บุคคลที่ถูกทำนายดวงชะตาอย่างแม่นยำ คือบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในการปรุงของขันธ์ห้าอยู่เสมอ

ขันธ์ห้าของแต่ละคนจะปรุงไม่เหมือนกัน หรือคนเราจะตอบสนองการปรุงแตกต่างกัน มันมีอิทธิพลมาจากราศีเกิด เวลาตกฟากอะไรแล้วแต่ ตามหลักโหราศาตร์ น่าสังเกตว่าดวงชะตาของคนเราจะดีๆร้ายๆสลับกันไปตลอด มันไม่ดีและไม่เลวตลอดไป มันมีความเป็นไปได้ที่ขันธ์ห้าจะปรุงไม่เหมือนกันในระยะที่แตกกต่างของช่วงชีวิตจากการสะสมของประสบการณ์และการเรียนรู้ และนั้นคือสาเหตุว่าทำไม ศาสตร์แห่งการทำนายจึงมีอยู่คะคานวิทยาศาตร์อยู่เสมอ

แต่สำหรับคนที่อยู่เหนือหรือไปพ้นจาการปรุงของขันธ์ห้า คำทำนายมักจะเป็นหมัน หมอดูหรือโหราจารย์ไม่สามารถทำนายชะตาคนประเภทนี้ได้ นั่นเพราะว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆ มันไม่เปลี่ยนแปลงตามวิถีโคจรของดวงดาว ไม่เกี่ยวกับเวลาตกฟาก และบุคคลพวกนี้ไม่ตอบสนองการปรุงของขันธ์ห้าพวกเค้าเพิกเฉย ผู้เข้าถึงความรู้สึกตัวล้วนๆจึงเป็นผู้ไม่ขึ้นกับดวงชะตา หรือถ้าจะเอาลักษณะชาติตระกูลมาจับ ทำไมคนนั้นเกิดมาพร้อมเงินทอง คนนี้จน คนนี้หล่อสวย บุคคลที่เข้าถึงความรู้สึกตัวล้วนๆ ไม่ว่าใครก็ตามจะมีสภาวะเดียวเสมอกัน ไม่แตกต่างด้วยข้อจำกัดของเงินทองชาติตระกูล




ขอให้เป็นอิสระจากเวลาครับ