โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

สันชาตญาณ ..... Instinct

เคยสงสัยตัวเองไหม ทำไมคนเราคิดได้แต่ทำไม่ได้ มีหลายครั้งที่เราตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง มีแรงฮึดในช่วงแรก สุดท้ายก็ล้มเลิกไป คำตอบนั้นง่ายมากถ้าคุณเข้าใจเรื่องต้นกำเนิดของความคิด



คุณเคยคิดจะออกไปวิ่งตอนเช้าๆ ทำได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็เลิก

คุณเคยตั้งใจว่าจะเลิกลดละเรื่องเซ็กซ์ แต่ก็ทำไม่ได้

คุณคิดว่าต่อไปนี้จะตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน แต่ไม่เกินเดือนก็กลับมาเป็นอย่างเดิม

คุณตั้งใจว่าจะไม่โกรธ แต่ก็อดไม่ได้

บางอย่างที่รู้ว่าผิดจริยธรรม แต่คุณก็ห้ามตัวเองไม่ให้ทำไม่ได้

ทำไมล่ะ ทำไมคิดได้แต่ทำไม่ได้ เรารู้ว่ามนุษย์เป็นแบบนั้นแต่เราไม่เข้าใจว่า ทำไม



ทำไมเวลาคุณปวดฉี่คุณต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ ไม่ฉี่ได้ไหม

ทำไมเมื่อคุณร้อนคุณต้องไปเปิดพัดลมหรือแอร์ รู้ว่าร้อนแต่ไม่เปิดพัดลมได้ไหม

เมื่อคุณหนาวคุณจะต้องหาเสื้อมาใส่ ปล่อยให้มันหนาวไม่หาเสื้อมาใส่ได้ไหม

เมื่อคุณคอแห้ง คุณต้องหาน้ำมาดื่ม ให้คอมันแห้งต่อไปได้ไหม

เมื่อคุณเมื่อย คุณจะเปลี่ยนท่านั่ง ไม่ขยับปล่อยให้มันเมื่อยต่อไปตลอดได้ไหม

ของแบบนี้ แม้คุณคิดว่าจะไม่ทำ คุณก็จะทำมันลงไปอยู่ดี ทำไมล่ะ ทำไมทีเรื่องแบบนี้ฝืนไม่ได้





ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น คำตอบนั้นง่ายมากเพราะว่า ความคิด ความตั้งใจ นั้นแพ้ความรู้สึกตัว

ความรู้สึกตัวถูกธรรมชาติสร้างมาให้มีอำนาจเหนือความคิด ตัวอย่างที่จะทำให้เห็นชัดคือเรื่อง incest ไปหาข้อมูลเอาเองนะครับว่ามันคืออะไร สมองบอกเลยว่าเรื่องแบบนี้มันผิด แต่ทำไมคนเรายังทำมันลงไปได้ เพราะความรู้สึกตัวมันคุมหรือบังคับความคิดในช่วงเวลาหนึ่งให้ตอบสนองตัวมัน





การที่คุณจะเปลี่ยนใครสักคนจริงๆ ไม่ใช่ทำให้เค้าเปลี่ยนความคิด เพราะความคิดนั้นสามารถกลอกกลับไปมาตามข้อมูลที่มันได้รับ คุณจะต้องทำให้เค้ารู้สึกตัว คุณสอนลูกคุณว่า ช่วยงานนะขยันนะ ชี้ข้อดีข้อเสียให้เค้าเห็น แต่ลูกๆของพวกเค้าก็ไม่ดีขึ้น ทำไมคนเป็นพ่อแม่มักบอกว่า ลูกชั้นไม่เอาถ่าน คุณลองเริ่มสังเกตตัวเอง หรือคนใกล้ตัวของคุณก่อนก็ได้ จุดพลิกใหญ่ๆที่ทำให้คุณสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ คือคุณต้องรู้สึกตัวจริงๆก่อนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แล้วความรู้สึกตัวชนิดนี้จะไปบังคับความคิดให้ไปตามทางนั้น



คุณเคยอ่านหนังสือประเภท ฮาว์-ทู ไหม คุณรู้สึกว่าข้อแนะนำนั้นเยี่ยมยอดแต่คุณไม่ทำ คุณอ่านไปเรื่อยๆแต่ไม่ทำ มันก็เหมือนหนังสือธรรมะทั่วไปทุกเล่ม อ่านแล้วรู้สึกเยี่ยมแต่ไม่ทำ หนังสือพวกนี้จึงจำต้องยกตัวอย่างให้คุณรู้สึกถึงแรงบันดาลใจ ใช้คำพูดดีดีคมคาย ทำให้เห็นเป็นเรื่องง่ายๆ เพื่อกระตุ้นให้คุณรู้สึกถึงแรงบันดาลใจว่าชั้นเองก็ทำได้ แต่พักเดียวคุณก็ลืม ทำไมล่ะ



เพราะธรรมชาติการลงมือทำของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่ความคิด แต่อยู่ที่ความรู้สึกตัว คนจะลงมือทำเมื่อความรู้สึกตัวมันเอื้อให้ทำ ทำไมคุณช่วยตัวเองล่ะ ทำไมคุณยอมจ่ายเงินเข้าไปกินอาหารแพงๆล่ะ ทำไมคุณไม่ยอมเดินเข้าไปในสถานที่น่ากลัวที่คุณไม่รู้จักล่ะ เพราะว่าความรู้สึกตัวมันบังคับความคิดว่าให้ทำหรืออย่าทำ เมื่อความรู้สึกตัวประเภทนี้เกิดขึ้นคุณจะไปห้ามมันด้วยความคิดก็ไม่เป็นผลแล้ว เพราะของมันแพ้ทางกันอยู่



บทความนี้ผมกำลังพูดถึงการกระทำลักษณะของสันชาตญาณนะครับ ไม่ใช่การลงมือทำเพราะคิดแล้วจึงทำ อันนั่นเป็นความคิดแบบหยาบๆ แต่ลักษณะที่ผมกล่าวนี้คือ การลงมือทำเพราะแรงผลักภายในที่ไม่ได้เป็นไปเพราะความคิด



สิ่งที่ผมพบอย่างหนึ่งคือ สัณชาตญาณนั้นแก้ได้ ถ้าเราอ่านมันทะลุถึงการเกิดของมัน เมื่อคุณเกิดความกลัวมันไม่มีอะไรเลยนอกจากความรู้สึกตัวที่ผิดปรกติไปจากธรรมชาติเดิมแท้ การแก้หมากของมันต้องใช้ความรู้สึกตัวที่ล้วนๆ เพราะมันจะมีอำนาจเหนือความคิด คือเมื่อความรู้สึกตัวมันมากขึ้นคุณจะคิดน้อยลง และถ้ายังคิดอยู่ทิศทางการคิดจะถูกกำหนดด้วยความรู้สึกตัว และถ้าความรู้สึกตัวมันจัดจ้านจริงๆมันจะคิดขึ้นมาไม่ได้เลย



ผมเองยังไม่เจนกับสิ่งนี้เต็มที่ แต่ว่าความรู้สึกมันจะสว่างทั้งตัว ไม่ใช่สว่างแบบตาเห็นแสงสว่างนะครับ มันจะไม่รู้อะไรเลย หัวสมองมันว่างไปหมด มันเพียงรู้สึกตัวเฉยๆเบาๆแค่นั้น มันไม่มีความกังวลอะไรในชีวิต ไม่มีเรื่องทุกข์เรื่องสุข ไม่สนใจพิจารณาธรรมะข้อไหนทั้งนั้น ไม่มีไตรลักษณ์ ไม่มีการปฏิบัติ ไม่มีการบอกตัวเองว่ารู้สึกตัวอยู่

จะถามใคร ..... Whom should I ask?

คำถามนี้คงคาใจใครหลายๆคนเป็นอย่างมาก เวลาที่เรามีปัญหาในการฝึกฝน เราต้องการผู้ที่รู้จริงๆ มาช่วยตอบปัญหาให้ใช่ไหมครับ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครรู้จริง ใครรู้ไม่จริง ทุกวันนี้มันคลุมเคลืออย่างมาก เพราะลักษณะของธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ การรู้ได้เฉพาะตัว สำหรับธรรมะใครๆอ่านหนังสือออกก็นำมาพูดได้ แต่พูดได้แล้วทำได้กลับเป็นอะไรที่เป็นคนละเรื่อง คนบางคนไม่พูดแต่ทำด้วยซ้ำ

คนส่วนใหญ่ที่ผมสังเกตชอบเข้าหาผู้ที่พูดฟังดูมีเหตุผล มีข้อมูลอ้างอิง และเป็นผู้ที่ได้รับการศรัทธาเป็นจำนวนมากจากคนอื่นๆอยู่แล้ว แต่โดยส่วนตัว ผมไม่เข้าหาใครผมถนัดการหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะแต่แรกเดิมทีที่ผมเริ่มฝึกผมมีคำถามมากอย่างเช่นคนทั่วๆไป แต่บุคคลที่ผมเข้าไปขอคำแนะนำส่วนใหญ่ไม่พูดกับผม พวกเค้าเดินหนี เมื่อพวกเค้าพูดด้วยผมก็ฟังไม่เข้าใจว่าเค้าพูดอะไร ผมจึงตั้งใจว่า ในเมื่อมันวุ่นวายนัก งั้นผมจะหาทางไปของผมเอง

เมื่อผมพัฒนาตัวเองขึ้นผมจึงเข้าใจ เมื่อก่อนนั้นผมเพียงถาม ถามไปอย่างนั้น พอได้คำตอบเรื่องนี้ก็ไปถามต่อเรื่องนั้น ผมไม่ได้ฝึกเลย ผมชินกับการถามคำถามอาจารย์ในห้องเรียน เช่นเดียวกับธรรมผมเพียงต้องการคำตอบจากคนอื่นเพื่อมาตอบปัญหาตัวเอง และผมเคยเชื่อว่าคำตอบจะทำให้เราเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ถ้าเป็นวิชาความรู้ที่เราเรียนกันมามันอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ธรรมไม่เหมือนกัน ต่อให้คุณได้คำตอบถ้าคุณไม่ได้เป็นคุณก็จะไม่เข้าใจ

กลับมาที่ว่า เราจะถามใครเมื่อเรามีปัญหาเพราะเราไม่รู้เลยว่าใครรู้จริง คำตอบที่ผมจะบอกพวกคุณคือ ไม่ต้องถามใครทั้งนั้น เพราะว่า
หนึ่ง คุณไม่มีทางเข้าใจคำตอบ ต่อให้คุณถามคนที่รู้จริงก็ตาม
สอง คุณจะตีความคำตอบเอาเองว่าคุณเข้าใจ ผมไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอยๆนะครับ ผมเคยคุยกับพระอาวุโสศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงพ่อเทียนท่านหนึ่ง ท่านกล่าวว่าคนที่มาฟังธรรมจากท่าน มักรับคำว่าครับๆ ค่ะๆ เข้าใจครับ เข้าใจค่ะ แต่ไม่ค่อยมีคนเข้าใจหรอกว่าจริงๆท่านหมายถึงอะไร และพวกเค้าก็นำไปปฏิบัตผิดๆถูกๆ
สาม เมื่อคุณสงสัยและหาคำตอบได้เองคุณก็หมดคำถามไม่ต้องหาคนตอบให้แล้ว

ผมเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า การฝึกด้วยกรรมวิธีรู้สึกตัว ความรู้จะหลั่งไหลมาเอง มันรู้ขึ้นเองจริงๆ รู้ทุกเรื่องที่คุณสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง และมันเป็นความรู้เพื่อตัวคุณเองจริงๆ คุณใช้ความรู้นั้นๆได้จริง แต่คุณต้องฝึกแบบจริงๆจังๆ และมันจะค่อยรู้ตามลำดับไม่ใช่รู้มันทีเดียวทุกเรื่องจากต้นจนจบ แต่มันก้มีข้อเสียในตัวมันเอง คือคุณจะกลายเป็นคนที่ไม่สนใจจะอ่านตำรา คุณจะไม่เชื่อถือในอะไรเลย คุณจะหมดความเคารพในคำกล่าวของคนรุ่นก่อนที่ว่าตามๆกันมา คนทั่วไปจะมองคุณว่าเป็นคนแปลกๆ คิดอ่านไม่เหมือนชาวบ้าน

ผมเคยถูกพระจีนคนหนึ่งถามว่า ในเมื่อผมไม่สนใจนรกสวรรค์และการไปเกิดชาติหน้าผมจะฝึกปฏิบัติไปเพื่ออะไร ผมเพียงยิ้มแล้วบอกว่า มันมีประโยชน์กับชีวิตชั้นแค่นั้นล่ะ สิ่งหนึ่งที่ง่ายมากๆในการดูว่า คนคนนั้นเข้าถึงธรรมจริงหรือไม่ก็คือ เค้าทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ เรามักได้ยินคำกล่าวว่า โลกนี้เป็นดั่งมายา ใครๆก็พูดได้แต่ ถ้าคุณสังเกตดีดี จะมีเพียงไม่กี่คนที่ตอบสนองโลกนี้อย่างที่มันเป็นมายาจริงๆ เค้าทำอย่างที่เค้าพูดจริงๆ คนพวกนี้ไม่แคร์อะไรเลย

อีกคำถามก็คือ ทำไมคนเราเข้าใจธรรมช้าเร็วต่างกัน ผมไม่มีทัศนะเกี่ยวกับบุญบารมีชาติปางก่อน ผมไม่เชื่อถือของพวกนี้ สิ่งที่ผมสังเกตได้ถึงความช้าเร็วที่ต่างกันคือ ความเด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อ ความตั้งใจ ความกระหายในการเข้าใจตัวเอง ความต้องการเอาชนะให้ได้ และการเข้าใจระดับความละเอียดของความทุกข์ ผู้ที่มีความทุกข์มักจะเข้าใจธรรมได้เร็วแต่เมื่อทุกข์จางคลายไป พวกเค้าก็เริ่มหยุดฝึกและกลายเป็นพวกงั้นๆในสายตาของผม

พวกคุณลองสังเกตดีดีทุกวันนี้เราจ่ายเงินแต่ละอย่างเพื่อซื้ออะไร
คุณจ่ายค่าตั๋วหนัง คุณจ่ายค่าน้ำดื่ม คุณจ่ายค่าฟิตเนส คุณจ่ายค่ารีสอร์ท คุณจ่ายหนี้ คุณจ่ายค่าบ้าน คุณบริจาค คุณส่งเสีย คุณไปเที่ยวกลางคืน ผมจะไม่นั่งร่ายตัวอย่างยาวยืด เอาเป็นว่าทุกอย่างที่คุณนึกออก คุณทำไปเพื่อซื้อความรู้สึกให้ตัวเองในรูปแบบต่างๆ

ถ้าความรู้สึกตัวคุณอิ่มตัวอยู่ตลอด คุณจะตัดรายจ่ายจากชีวิตไปได้มากเลยครับ



ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

..........................................................................................................................................................................


Whom should I ask?



When we have a problem about meditation, we want someone, who can give an answer. The question is How can we know who is a real one who isn't. Now a day many people talk or teach Dharma, but the dharma has a spacial character that you can't refuse. It is a personal knowing. It means someone are saying about something, that they don't actually understand what thay are talking about. One can talk and one can do it very different.

Many people, who have problem, go to a famous teacher or a person, who speaks logically, and has a reliable source. But for me I don't do like that. And I never open any books to look for an answer. I always discover an answer from my practice.

When I started meditation five years ago, I had many questions like other beginners. I went to many monks, but nobody talked with me, they even didn't see me and went away. Someone said to me and gave me an answer, which I could not understand. After that I felt complicated and made a decision. I would not ask other people any more. I would find answer by myself.

After I meditated and understood few things. I recognized I only asked someone for an answer, then I asked another new question for a new answer that never end. Dharma isn't so. You can understand it when you are. Understanding from any meditation books or any persons is ridiculous.

back to the question Whom should you ask a question? My answer is YOU.
because :
- you can't understand an answer from a real one.
- you will think that you understand his answer, but actually not.

I confirm by the meditation with the awareness of the physical feeling method you get every understanding about your life automatically. Every knowing that you know is only for you. You can use it all the time you want. You will understand yourself step by step. BUT this meitation method has a negetive side. It makes you don't believe anything, don't care any books, don't respect for any hearsay. Many people will see you like a strange person.

Once I was asked by a chinese monk "why do I meditate when I don't trust paradise, hell and next life". I smiled and told him "it just useful for my life". He was speechless. It is very easy to know who understand dharma. He/She does what he/she says. Have you heard the sentence? "Our life is an illusion". Only wise persons react the life as the illusion. These persons don't care anything.

Another question is why do someone understand dharma fast someone slow? I observe it depends on hardihood, attention, enthusiasm, self-restraint and suffering.

Have you thought? you pay for dinner, ticket, fitness, debt, water, electricity, etc. whatever you can think. You pay it for your better feeling. If your feeling is full you can save much money.


Have a nice feeling !

ราคะ.....sexual desire

ราคะในความหมายนี้คือ ความต้องการทางเพศ เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราต้องปะทะกับมันแน่นอน หากแต่คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง หรือมักตอบคำถามเลี่ยงโดยการใช้ตำราเป็นตัวอ้างอิง เพราะมีคนจำนวนน้อยที่ปะทะแล้วผ่านได้กันแบบจริงๆ ผมยังไม่เคยอ่านบทความไหนที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องของการสิ้นไปซึ่งกามาสาวะว่า กระบวนการขั้นตอนมันเป็นยังไง และในบทความนี้ผมจะเขียนมันออกมา

เมื่อผมต้องการเช็คตัวเองว่า ผมฝึกไปได้ไกลแค่ไหน ผมมักใช้ความต้องการทางเพศเป็นตัววัดเสมอ เพราะโดยอายุและนิสัยของผม ผมรู้สึกว่า ความต้องการทางเพศผ่านยากที่สุด บางครั้งสามารถเอาชนะมันได้หลายเดือนแต่มันมักกลับมามีอำนาจเหนือชีวิตจิตใจผมเสมอ ผมหาทางเอาชนะเจ้านี้เป็นเวลาห้าปี ข้อมูลจากตำรากล่าวว่า อนาคามีละแล้วซึ่งกามารมณ์ คำถามคือ มันละยังไง วิธีขั้นตอนมันเป็นยังไง รู้ได้ยังไงว่าเราหลุดแล้วจริงๆ คำตอบที่ผมได้พบส่วนใหญ่ในยุคนี้จะมาทำนองที่ว่า จนกว่าจิตจะเห็นว่า ราคะไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงสภาวะธรรม

คำตอบลักษณะนี้มองโดยผิวเผินเป็นคำตอบที่ดี แต่สำหรับผมผมเคยสงสัยอย่างมาก เพราะไม่มีอะไรรองรับความเป็นไปได้เลย นอกจากกล่าวลอยๆว่า จนกว่าจิตเค้าจะเห็นเอง.... แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะที่เค้าจะเห็นเอง ขั้นตอนจิตที่เค้าเห็นเองนี่มันมายังไง พอจิตเห็นแล้วว่า ราคะเป็นสภาวะธรรมแบบหนึ่ง ตั้งแต่วินาทีนั้นตัดราคะออกจากชีวิตได้ทันทีเลยหรือ บุคคลที่กำลังอ่านสิ่งที่ผมเขียนอยู่ขณะนี้ ต้องมีอยู่แล้ว คนที่เห็นเข้าใจจริงๆว่า ราคะว่าเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่คำถามมีอยู่ว่าเมื่อคุณเห็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมอารมณ์ทางเพศยังไม่สิ้นไปอีก ทำไมจิตใจคุณยังหวั่นไหวอ่อนแอกับของแบบนี้อีกล่ะ

แสดงตัวออกมาเลยครับว่าผมพูดมั่วๆขึ้นมาเองผมจะขอบคุณอย่างยิ่ง ใครที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่แล้วจิตเห็นได้เองแล้วว่า ราคะไม่ใช่เรา ตัดแล้วซึ่งความต้องการทางเพศด้วยปัญญา ช่วยอธิบายให้ละเอียดเป็นวิทยาทานเถิดครับว่า ก่อนที่จิตจะเห็นความต้องการทางเพศไม่ใช่เรามันเป็นยังไง แล้วหลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของคุณต่อเรื่องแบบนี้เป็นอย่างไร

(ผมขอลบความเห็นที่ตอบไม่ตรงคำถามออกไปนะครับ เพราะผมจะรวบรวมคงไว้เฉพาะเนื้อหาที่สำคัญเท่านั้น)

ผมเคยฝึกมาอย่างหนักด้วยวิธีแบบนั้น ผมรู้ว่า มันไม่ได้ผลและไม่ได้ผิดที่ตัวผมที่ยังฝึกไม่ดี แต่มันพลาดตรงวิธีที่ผมใช้ฝึกต่างหาก ผมไม่เห็นด้วยเลยกับคำสอนที่ว่า จิตมีราคะก็ให้รู้ว่าจิตมีราคะ ผมเคยฝึกมาแล้วและไม่ได้ฝึกเล่นๆด้วยใช้เวลาฝึกอย่างน้อยที่สุดสี่ปี มันได้ผลต่อการหน่วงเวลาของการเกิดอารมณ์ทางเพศมันทิ้งช่วงเวลา แต่มันไม่สิ้นไปมันยังต้องคอยตามรู้อยู่ตลอด คำว่า "สิ้นไป" ใช้ไม่ได้ผลกับวิธีนี้ จากประสบการณ์ที่ผมประสบมาการที่จะสามารถผ่านอารมณ์ได้แต่ละตัว ปัญญาความเข้าใจของผู้ฝึกจะต้องเห็นแจ้งความเป็นจริงต่อกระบวนการการทำงานของอารมณ์แบบไร้ข้อกังขา ไม่ใช่ให้จิตไปเห็น และต่อจากนี้ผมจะกล่าวถึงวิธีที่ผมใช้ได้ผลจริง

เมื่อคุณรู้สึกว่า คุณกำลังมีอารมณ์ทางเพศ แล้วคุณเป็นคนหนึ่งที่ฝึกความรู้สึกตัวมาเป็นอย่างดีและต้องอยู่ในระดับที่ดีมากด้วย คุณจะทราบว่า อารมณ์ทางเพศประกอบด้วย

หนึ่ง คุณจะหยุดหายใจช่วงสั้นๆ ในเสี้ยววินาทีแรกที่อารมณ์ทางเพศเกิด
สอง เลือดจะไม่ไหลมาหล่อเลี้ยงที่มือเท้าแขนขาชั่วขณะ เพราะเลือดไหลไปรวมกันอยู่ตรงอวัยวะเพศ
สาม กล้ามเนื้อส่วนหน้าอกจะเกร็ง สายตาคุณจะมองไม่เห็นอะไร แต่คุณจะมองเห็นภาพจากความคิดแทน
สี่ ความรู้สึกจะไปชัดที่สุดตรงอวัยวะเพศ
ห้า ความคิดจะตีความเอาเองจากอาการทั้งหมดด้านบนว่า นี่คือความต้องการทางเพศ
ทั้งหมดเกิดในช่วงเสี้ยววินาที

ในกรณีของคนทั่วไปสมองจะอ่านภาพรวมของความรู้สึกตัวซึ่งประกอบด้วยหลายๆส่วนที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน โดยไม่มองความรู้สึกตัวเป็นส่วนๆ และตีความเอาเองว่า นี่คือ อารมณ์ทางเพศ ยกตัวอย่างเป็นสมการนะครับ 1+2-3*4/5 = อารมณทางเพศ (ตัวความคิดคือเครื่องหมายบวกลบคูณหารและเท่ากับ

แต่ในกรณีที่ใครก็ตามมีความรู้สึกตัวที่เร็วแนบแน่นลงไปกับความรู้สึกกลไกการทำงานของความต้องการทางเพศ สามารถอ่านความรู้สึกของอวัยวะทุกส่วนแยกขาดออกเป็นส่วนๆได้ทั้งหมดจากการชุมนุมพร้อมๆกันของความรู้สึกตัวของอวัยวะนอกในหลายๆแบบ สมองจะไม่สามารถตีความได้ว่านั่นคือ ความต้องการทางเพศ ราคะจะตายทันที ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับข้างบนนะครับ 1 2 3 4 5 เมื่อไม่มีเครื่องหมายบวกลบคูณหารก็ไม่มีเครื่องหมายเท่ากับ ตัวเลข 1 2 3 4 5 จะเป็นอิสระขาดจากกันไม่เกี่ยวข้องกัน มีแต่ความเป็นธรรมชาติของตัวมันเองแต่ละตัว สมการจะถูกทำลายค่า แต่มันไม่ได้มีแค่นี้ ความรู้สึกตัวมันมีส่วนอื่นๆอีก เพียงแต่เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ อาการความรู้สึกตัวพวกนี้จะแสดงตัวชัดกว่าตัวอื่นๆ

ถ้าความรู้สึกคุณชัดเจนทุกส่วนในขณะที่คุณเกิดอารมณ์ทางเพศ ความรู้สึกตัวจะไม่แสดงออกชัดที่ตัวใดตัวหนึ่ง (มันมักจะไปชัดตรงอวัยวะเพศ) แต่เมื่อมันชัดทุกตัว และเพราะความที่มันชัดทุกตัวนี่เอง ความรู้สึกที่สมองตีความว่า กำลังต้องการทางเพศจะถูกฉีกกระชากขาดออกจากกัน


ภาพนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมากของการทำงานตีความของสมอง ถ้าเรามองภาพรวมมันคือ จรเข้ แต่ถ้ามองลึกลงไปแบบละเอียดมองเป็นนิ้ว เป็นเล็บ สมองจะไม่สามารถเห็นมันเป็นจรเข้ได้อีก แต่นี่คือตัวอย่างที่ใช้สายตามอง จึงสามารถเห็นแค่ทีละส่วนชัดๆ เช่นเห็นเล็บไม่เห็นนิ้ว แต่ความรู้สึกตัวไม่ใช่แบบนั้น มันเห็นแยกเป็นส่วนๆได้ และชัดๆพร้อมๆกันทุกส่วนด้วย ผมขอถามให้ผู้อ่านตอบหน่อยว่า จรเข้ ที่เห็นนั้นเป็น ของจริงหรือปลอม (*ภาพประกอบจากเฟอเวิดเมล์)

บางคนปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นอาทิตย์เป็นเดือนๆ มักจะคิดเอาเองว่า ละได้แล้ว ผมเคยเป็นมาก่อนมันไม่เป็นอย่างนั้นเลย มันเพียงนอนก้นอยู่ ขอให้มีอะไรไปกระทบมันจังๆแบบไม่ตั้งตัวซักทีเถอะจะรู้เอง

มันแตกต่างอย่างมากกับการที่อาการราคะยังเกิดอยู่เสมอ การมองเห็นการประกอบกันขึ้นของความรู้สึกตัวเป็นส่วนๆเป็นตัวที่สำคัญที่สุด เพราะธรรมชาติของความคิดไม่สามารถตีความเอาเองหรือไม่สามารถปรุงจากสิ่งที่เห็นชัดเจนเป็นส่วนๆได้ คงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ความจริงนั้นไม่ต้องคิด สิ่งที่ยังต้องคิดนั้นไม่จริง

มันก็เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่ตอบว่า การปฏิบัติธรรมที่สุดคือเห็นว่าทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ในเมื่อเค้าพูดออกมาแบบนี้ สอนคนอื่นได้แบบนี้ ทำไมเค้ายังไม่บรรลุธรรม พวกคุณที่อ่านๆอยู่นี่ก็รู้แบบนี้สอนคนอื่นเรื่องไตรลักษณ์ ทำไมพวกคุณยังไม่บรรลุธรรมล่ะ ผมไม่ได้กล่าวว่าใครนะครับ ผมเพียงจะบอกว่า มันไม่เกี่ยวเลยว่าจะพูดธรรมอะไรออกมา สำคัญคือ การเป็นในสิ่งที่สอน

ราคะนั้นไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงการประชุมของความรู้สึกตัว และความคิดก็สรุปเออออเอาเองว่า นั่นคือ ความต้องการทางเพศ ถ้าถามว่า แล้วชีวิตเป็นยังไงหลังจากผ่านตัวนี้ ชีวิตก็เหมือนเดิมอาการทางเพศยังมีเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่อย่างเดิมอีกต่อไปเพราะ สมองไม่สั่งให้ตอบสนองต่อความรู้สึกตัวแบบนั้นอีก ไม่รู้สึกว่าความต้องการทางเพศเป็นปัญหาต่อชีวิตอีกต่อไป ไม่มีความอยากหลับนอนกับใคร ไม่มีการช่วยตัวเอง มันเกิดแล้วจบลงทันทีที่เกิด มันจบลงเพราะความเข้าใจในกระบวนการการประกอบขึ้นของมัน



ขอให้รู้สึกตัวอยู่เสมอครับ


.....................................................................................

sexual desire

while meditating we will surely confront our sexual desire, My question was how could I win this passion? Many people avoid to talk about this issue, why? because they teach others the subject that they still can't do. Someone gave me an answer from meditation books, which I was never satisfied, because it said only the completed answer, but I want to know: HOW is it step by step.

I always checked my meditation skill from the reduction of the sexual desire. I personal think, that the sexual desire is the most difficult to win, because of my age and behavior. Sometime I didn't masterbrate many months, but it usually comes back with more power than before. In the Buddha's book a person in the third meditation level skill can completely win his sexual desire. But it isn't written, How? process? The popular answer in this era is : you can win it until your spirit can see the sexual desire as a condition by itself, which isn't you, it is only nature object.

The answer likes this seems quite good, but I really have a big question about "until your spirit can see .... by itself" My question is When? how is its process? I am a person, whose spirit can see the sexual desire as a natural condition by itself, but why my passion still works? Why I still want sex?

I practiced so hard at least four years and I knew it was not effective. It was not my failure. The Failure was the way, that I used for meditation. Now I write the effective method I use and I can win the sexual desire.

When the sexual desire appears, and you are a person, who has very good understanding about the physical feeling of every moving organs. You will observe, that :
1 you will suddenly stop breath.
2 your blood doesn't flow to hands and foots, but it flows to sex organ.
3 your brust will taut your eyes don't see anything, but you will see an image from you thought.
4 your feeling is the clearest at your sex organ.
5 your thought translate from these process that you are sexual desire.
everything happens very very fast.

Normally our brain translate the whole feeling. for example 1+2-3*4/5 = sexual desire. The +,-,*,/and = is the thanslation of the thought.

But if you can feel your feeling separated on the same time. It would be 1 2 3 4 5 without +-*/=. Every feeling from every ogan will independent and unique. Your brain can't naturally translate the separated part of the feeling as the sexual desire.

the most important is you must suddenly feel every separated feeling very clear and very close while they are happening. If you still can't, you brain works in the way it was.


This is a good pic from a forward mail that shows how our brain works separately or overall. when overall is a crocodile, when separated is't. right ? In the separating case our eyes can see the nail sharp but the finger not so sharp because of the focusing. This is the limit of the eyes, BUT the skill of the Feeling can percept every feeling very sharp on the same moment.


someone meditate and don't want sex long time, I was so. I thought I won it, but No. It only deeply slept. It always came back with more power again and again.

The sexual desire is only illusion, which appears from the translation of the brain work. If you understand its component so clear, it dies, when it happens.

just have awareness on feeling all time.

Thanks for reading

มายาของความรู้สึกตัว ..... the illussion of the feeling

ความรู้สึกตัว คืออะไร จากที่ผมสังเกตผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่มีปัญหากับเรื่องนี้ พวกเค้าเข้าใจไม่ตรงกัน การที่มันรู้ได้เฉพาะตัวนี่ล่ะที่เป็นปัญหาของการสอน และการรู้ไปคนละเรื่องทั้งที่เป็นคำสอนเดียวกันดันเป็นปัญหาของผู้เรียน ผมจะแยกออกเป็นสองลักษณะที่ต่างกันนะครับ

ความรู้สึกตัวประเภทที่หนึ่งคือ เห็นอาการของจิต

คนพวกนี้จะรู้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ไม่รู้รูป ไม่รู้รูปคือไม่รู้ความรู้สึกต่อการเคลื่อนไหวของกาย คนพวกนี้จะรู้ เวทนา รู้จิต รู้ธรรม แต่ไม่รู้กาย และที่สุดของมันจะมาจบลงตรงที่เข้าถึงสภาวะว่างๆของใจ คือสัมผัสใจว่างๆได้ ประเภทจิตสว่าง จิตโล่ง ผมจะไม่พูดถึงจุดนี้มาก ผมเพียงอธิบายความแตกต่างตามที่ผมเคยผ่านมาเท่านั้น และคนพวกนี้จะติดอยู่ในความเบาสบายว่างนั้น เพราะไม่รู้ทางออก หรือไม่รู้ว่าต้องออก พวกเค้าเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ความรู้สึกตัว ผมเองเคยเป็นอย่างนั้น ผมรู้จุดอ่อนของมันดีทีเดียว

ผมเคยเตือนเป็นนัยๆกับบางคนแต่พวกเค้าไม่รับฟัง เพราะพวกเค้าเชื่อว่า ความเบาสบายของใจของจิตนั้น จะนำไปสู่อะไรซักอย่างเจ๋งๆในท้ายที่สุด คนพวกนี้ยังติดการถ่ายทอดธรรมะ ยังติดการถกเถียงเกี่ยวกับธรรมะ แม้พวกเค้าจะรู้ลึกๆว่า ความเบาสบายนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่ก็ยังดื้อรั้นสอนคนอื่นให้เข้ามารู้ถึงความสบายนั้น พอมีคนเตือนกลายเป็นว่า คนเตือนยังเข้าไปไม่ถึงความรู้สึกตัวแบบที่ตนเองเจอ ทั้งๆที่ผู้เตือนผ่านไปแล้วถึงได้บอก ....การทำงานกับทิฐิคนเป็นงานที่ตลกๆแบบนี้เอง

ความรู้สึกตัวประเภทที่สองคือ จิตไม่มี ใจไม่มี

คนที่เข้าสัมผัสความจริงระดับนี้ จะต้องผ่านการฝึกที่ถูกวิธี ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มารู้แบบนี้ เมื่อเราเข้าไปแนบแน่นกับความรู้สึกตัว เราจะเห็นชัดๆเลยว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นความรู้สึกที่มาจากร่างกายทางฟิสิกส์คอลล์ จากอวัยวะที่หยิบจับได้ทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยที่โผล่มาโดดโดด โดยไม่มีอวัยวะทางร่างกายรองรับ ความรู้สึกของใจหรืออาการของจิต ตัวจริงๆของมันคือ ความรู้สึกของกายนั่นเอง เวลาที่เราเป็นทุกข์ใจ เราไม่ได้ทุกข์ที่ใจ แต่ทุกข์มันเกิดบนรูปกายอย่างเดียวเท่านั้น เพียงแต่มันลึกลงไปข้างในอกเรา หลอดลมจะตัน กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัว ลมหายใจจะติดขัด ทรวงอกจะบีบรัด จุกเสียดปอด แม้แต่สิ่งที่เราเรียกว่า ตัวเห็น ก็เป็นความรู้สึกของกายแบบหนึ่งด้วย

ใจ คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ถ้าคุณแม่นเรื่องความรู้สึกตัว เมื่อเกิดอาการทุกข์ อาการปวด อาการโกรธ หรืออะไรก็ได้ทุกอย่างเลย มันแสดงออกผ่านทางอวัยวะบนฐานกายเท่านั้น

ใจอยู่ตรงไหนกัน เราไม่เห็นความรู้สึกชัดๆแนบแน่นลงไปกับของพวกนี้ เมื่อเห็นไม่ชัดความคิดก็ตีความว่านั่นคือ ตัวจิต นั่นคือ ตัวใจ แล้วก็หลงไปค้นหา ไปดูความพิศวงของมัน มันก็เลยติดอยู่ตรงจุดนั้น ถ้าเราฝึกเรามัวแต่ไปดูใจ มัวแต่ไปดูจิต เราจะไปดูสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ที่มันแสดงให้ดูเหมือนว่ามันมีอยู่จริง เพราะมันทำงานร่วมกันกับความคิด ครึ่งหนึ่งคือความรู้สึกอีกครึ่งหนึ่งคือความคิดที่ยึดแน่นกับความรู้สึกตัวนั้น เมื่อมันรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว มันจะแปลงร่างเป็น จิตใจ

สำหรับผมผู้ที่ดูจิตนั้น จะทวนไม่ถึงต้นขั้ว มันไปจับอยู่ตรงปลายเพราะ จิตก็คือมายาของความรู้สึกตัวที่ถูกปรุงแล้ว มันต่างจากการดิ่งลงตรงๆที่ความรู้สึกตัวล้วนๆของกาย เมื่อมีการปรุงเกิดขึ้น มันจะวิ่งเข้าไปดูเลยว่า ไอ้ที่เรียกว่า ว่าง ไอ้ที่เรียกว่า ทุกข์ เนี่ย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจริงๆ มันเกิดมาจากความรู้สึกของอวัยวะส่วนไหนกันแน่ มันทิ่มลงไปตรงๆอย่างนั้นเลย


แต่คนที่ยังไม่เข้าใจจุดนี้ ก็จะยังเถียงว่าใจนั้นมี มันก็ถูกในระดับของเค้า ใจมันจะมีสำหรับบุคคลที่ ความคิดเข้ายึดจับความรู้สึกตัวเท่านั้น ความคิดยังไม่ขาดออกจากความรู้สึกตัว จิตมาจากไหน จิตคืออะไร คำแก้ตัวของคนไม่เข้าใจเรื่องของจิตที่ผมฟังมาตลอดก็คือ อย่าไปใส่นิยามให้มัน จิตคือจิต มันลึกซึ้งเกิดดับเป็นแสนครั้งรวดเร็ว แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเร็วไปกว่าความรู้สึกตัวตรงไหน

เมื่อคุณเข้าใจเรื่องนี้คุณจะมองคำสอนเรื่องการละกิเลสเป็นของพิลึก เพราะกิเลสมันไม่ได้มีอยู่ จะไปละของไม่มีอยู่ยังไง มันมีเพียงความคิดที่ทำตามการไม่เห็นความรู้สึกตัวอย่างทะลุปรุ มันไม่มีอะไรเลยนอกจาก ความรู้สึกตัวและความคิด

เวลาเราฝึกฝนตัวเองมันคล้ายๆกับว่า เรามีหีบอยู่ใบนึง แล้วเราก็พยายามเปิดหีบใบนั้นออกให้ได้ ข้างในมันมีอะไรนะ เวลาที่เราไม่รู้ว่าของในหีบคืออะไร ความไม่รู้ตัวนี้จะทำงานร่วมกับความคิดปรุงคาดเดา หาวิธีเปิด ซึ่งอะไรที่ดูยากๆซับซ้อน ความคิดจะปรุงไปในทางที่ว่า มันน่าจะต้องมีอะไรเจ๋งๆซ่อนอยู่ซักอย่างแน่

ถ้าเรายังเปิดออกมาไม่ได้ เราก็ได้แต่ดิ้นรน คาดเดาว่าของข้างในมันเป็นอย่างไร เวลาที่เราถูกความไม่รู้ครอบงำเนี่ย มันเป็นบ้าจริงๆ แต่สำหรับคนที่เปิดได้แล้ว มันก็จะไปติดอยู่กับการรื้อค้นของในหีบนั้นอีก บางคนเจอความว่าง บางคนเจอความสบาย บางคนเจอธรรมะสารพัด

เมื่อเรารู้เข้าใจของในนั้นหมดแล้ว ปัญญาตัวหนึ่งจะตระหนักรู้ อันเป็นผลมาจากการลองผิดลองถูกมาตลอด มันจะรู้ว่าของที่อยู่ในหีบมีราคาไม่เท่าตัวหีบ สิ่งที่อยู่ในหีบเป็นเพียงมายาของการเปิดหีบไม่ได้ ราคาที่ว่าคืออะไร มันคือการไม่ทุกข์แบบถาวร ของในหีบมันช่วยได้แค่ตอนที่คุณนั่งชื่นชมมันอยู่เท่านั้น

ต่อให้คนอื่นไม่มีของแบบที่คุณเปิดเจอก็ตาม ถ้าเรามัวไปสนใจของในหีบ เราจะติดอยู่กับของในนั้น เหมือนกับถ้าเราไปสนใจจิต เราจะติดอยู่ที่จิตและหลุดออกจากจิตไม่ได้ ที่หลุดไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่า จิตมันคืออะไร มันเกิดมาจากอะไร มันทำงานอย่างไร

วิธีดูจิตมันเหมือนกับ คุณมองลงไปที่ทะเล คุณเห็นปลากระโดด เห็นหาดทราย เห็นบิกีนี่ เห็นคลื่น เห็นแสงอาทิตย์สะท้อน เห็นมันแปรปรวน เห็นทุกอย่างที่คุณเห็น เห็นแล้วไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องลงไปเล่นน้ำทะเล ไม่ต้องลงไปเล่นกับปลา

แต่วิธีฝึกแบบความรู้สึกตัวไม่ใช่แบบนั้น วิธีนี่เหมือนการแหวกทะเล ความรู้สึกตัวมันผ่าลงไปเป็นทางเดิน ให้เดินจากฝากหนึ่งไปอีกฝากหนึ่งของทะเล ไม่สนใจปลา ไม่สนใจความแปรปรวน ไม่สนใจแสงอาทิตย์ รู้เห็นเข้าใจของพวกนั้นเพราะเดินผ่าน เดินจากฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่งแค่นั้น ไม่ใช่การนั่งแล้วมองอะไรต่ออะไรเฉยๆ เมื่อผ่านนั้นผ่านกันจริงๆ

ถ้าเราดูตามความเป็นจริง เทคโนโลยี ที่ได้รับการยอมรับเป็นระดับศิลปะ มักเป็นอะไรง่ายๆที่ไม่ยุ่งยากเสมอ มันมักจะกลับสู่ฐานความคิดง่ายๆ แก้ปัญหาแบบง่ายๆ ส่วนอะไรที่ถูกคิดขึ้นมาอย่างพิสดาร วันนึงจะมีอะไรบางอย่างที่แซงหน้ามันไปได้เสมอ



ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้รู้สึกตัวเอาไว้ครับ
จนถึงจุดนี้ผ่านได้ทุกตัว

ล้วนๆ ..... the pure feeling

ความรู้สึกตัวที่ผมเขียนนั้น ไม่ใช่ความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง โกรธ กระหาย กำหนัด หิว เครียด ตื่นเต้น ฯลฯ ผมถึงได้เติมคำว่าล้วนๆลงไป เป็นคำว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆ ช่วงแรกๆที่ผมเข้าใจสิ่งนี้ ผมใช้คำว่า รู้สึกกายล้วนๆ เพราะมันเป็นคนละส่วนกับจิต มันเป็นคนละส่วนกับขันธ์ห้า แต่มันก็ไม่ใช่กายล้วนๆเต็มที่นัก เพราะมันยังแยกออกจากความรู้สึกร้อน หนาว เป็นไข้ อีกด้วย

ธรรมชาติของความรู้สึกตัวชนิดนี้ คือ ความไม่สะเทือนต่อสิ่งใดใด หลวงพ่อเทียนเรียกว่า “ปกติ” เพราะมันปรกติในทุกสถาณการณ์ หลวงพ่อคำเขียนเรียกว่า “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” เพราะมันไม่โยกเอนตามจิต ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของมันไม่แปรผันตามสิ่งใดใดเลยครับ เว่ยหล่างถึงบอกว่า ต่อให้พายุวันสิ้นโลกพัดกระหน่ำจนภูเขาล้มลง ภาวะนี้จะดำรงไม่เปลี่ยนแปลง

ความรู้สึกตัวแบบนี้เกิดมาจากไหน ผมพูดได้เฉพาะจุดที่มันเกิดกับผม สำหรับคนอื่นผมไม่ทราบครับ แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าจะเห็นเหมือนกัน เมื่อเรากระตุ้นความรู้สึกตัวมาถึงจุดหนึ่งเนื่ย อะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยเราจะรู้สึกทั้งหมดเลยครับ หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อย คุณจะเหนื่อยมากกว่าปรกติ เมื่อคุณง่วงคุณจะง่วงมากกว่าปรกติ เมื่อคุณเจ็บคุณจะเจ็บมากกว่าปรกติ ทำไมเป็นอย่างนั้นเพราะความรู้สึกตัวมันดีเกินไปครับ มันจึงรู้ทุกอย่างชัดเจนไปหมด เจ็บคือเจ็บจริง เมื่อยคือเมื่อยจริง ง่วงคือง่วงจริง

ด้วยความชัดของมันนั่นล่ะครับเป็นอุปสรรคในตัวมันเอง เพราะจิตมันทนไม่ไหวต่อสิ่งพวกนี้ มันท้อแท้ มันอยากจะหนีให้พ้นพ้น ทำไมต้องมานั่งทรมานทรกรรมไม่เหมือนชาวบ้านอยู่อย่างนี้ ผมจะพูดสำหรับพวกใจเด็ดเท่านั้นนะครับ มันต้องคนที่มีไหวพริบครับถึงผ่านจุดนี้ได้ คนจำนวนไม่มากนักครับที่ไม่ยอมจำนนต่ออาการที่จิตทนไม่ไหวกับขันธ์ห้าที่ปรุงให้ดูกันสดสดแทบจะทนไม่ไหวแล้ว มันรู้ขันธ์ห้าชัดมากมันจึงทุกข์มาก คนที่มีปัญญาจะเฝ้ามองมันอย่างสงบเงียบแล้วสังเกตว่ามันทำงานอย่างไร มันดูไปเรื่อยๆครับแม้ว่ามันจะอึดอัดจิตใจอย่างมาก มันเห็นมันสังเกตความรู้สึกตัวทุกประเภทที่เกิดในขณะนั้น แล้วมันจะเข้าไปพบว่า มีความรู้สึกตัวอยู่ชนิดหนึ่ง ที่ไม่คลอนแคลนกับการปวดเมื่อย การง่วง การเจ็บ ไม่สั่นคลอนไม่ว่ารูปกายรูปใจนี้จะเป็นอย่างไร ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิด

พูดง่ายๆก็คือการฝึกที่ผ่านมาทั้งหมดก็เพื่อให้ขันธ์ห้ามันแสดงตัวออกมาทั้งหมด และเจอทางออกที่ว่า มีบางอย่างเป็นอิสระจากขันธ์ห้าอย่างแท้จริง น้อยคนครับจะเข้าถึงตรงนี้

ที่นี่มาลองดูว่า คุณรู้จักความรู้สึกตัวล้วนๆนี้จริงไหม
ธรรมชาติของมันอย่างหนึ่งของผู้ที่รู้จักมันคือ “คิดไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร” หมายความว่ายังไง เวลาที่คุณรู้สึกหิว คุณจะรู้ว่าชั้นหิว เวลาคุณโกรธคุณจะรู้ว่าชั้นโกรธ เวลาคุณอยากปล่อยอารมณ์ทางเพศคุณจะรู้ว่าชั้นอยาก เวลาคุณเจ็บคุณรู้ว่าชั้นเจ็บ เวลาคุณง่วงคุณรู้ว่าชั้นง่วง เมื่อความรู้สึกพวกนี้เกิดขึ้น คุณจะรู้โดยสันชาตญาณว่า จะต้องทำอะไรกับมัน ตามมันหรือเพิกเฉย มันยังเกิดการกระทำตามมาครับ มันยังไม่หมดกรรม อาการหรืออารมณ์ทุกอย่างที่เกิดกับคุณแล้วคุณรู้ว่าคุณรู้อะไร และจะตอบสนองมันอย่างไรนั่นล่ะครับ “ไม่ใช่” ความรู้สึกล้วนๆครับ

ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ผมเขียนนี้ มีข้อสังเกตง่ายๆก็คือ เมื่อคุณรู้สึกมัน คุณจะบอกไม่ได้ว่าคุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ต่อให้ตั้งใจคิดแค่ไหน ก็คิดหรือบอกตัวเองไม่ได้ว่า ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ เป็นแบบไหนยังไง มันเป็นเพียงความรู้สึกจริงๆครับ มันล้วนก็ล้วนกันแบบจริงๆ มันบอกตัวเองไม่ได้ว่า นี่คือความรู้สึกของอะไร เมื่อบอกตัวเองไม่ได้จะไม่มีการกระทำต่อความรู้สึกตัวอันนี้ครับ มันไม่รู้จะตอบสนองอะไรกับความรู้สึกแบบนี้ มันหยุด ความคิดถูกตัดออกจากการอธิบายสภาวะ

ความรู้สึกตัวแบบนี้คือ ศีล เพราะมันสะอาดและเป็นปรกติโดยตัวมันเอง
การเข้าไปรู้ ศีล ต้องอาศัย ปัญญา
และการดำรง ศีล ต้องอาศัย สมาธิ

ศีลมันมีอยู่แล้วในคนทุกคนครับ แต่ที่ไม่มีในคนทุกคนหรือมีไม่เท่ากันคือ ปัญญา กับ สมาธิ
เมื่อคุณยังมาไม่ถึงจุดนี้ คุณจะยังแยกไม่ออกครับว่าอะไรกันแน่คือ ความต่างของ การเพ่ง และ สมาธิ เพราะสองตัวนี้ตั้งใจเหมือนกัน เพียงแต่มันเติมคำว่า สัมมา ลงไป เป็นสัมมาสมาธิ คือสมาธิถูกตัว ตามมรรคแปดน่ะครับ เข้าสู่ญาณที่สี่ เสวยสุขอยู่ด้วย นามกาย ลองไปหาอ่านดูครับ ถ้าชอบตำรา

มาลองเวิร์คชอปกันหน่อยครับ
ให้คุณยกมือคุณมาโบกไปมา ทำให้เหมือนใบไผ่ต้องลมนะครับ เบาๆช้าๆ สังเกตและจำความรู้สึกนั้นไว้นะครับ จากนั้นให้คุณยืน เดิน นั่ง นอน แล้วโบกมือแบบเดียวกันนี่ แล้วสังเกตดูว่า ความรู้สึกตัวที่เกิดขึ้นที่มือนี้เหมือนกันไหม ต่อไปให้ไปทำในห้องน้ำ บนหลังคา ที่ระเบียง ในสวน แล้วดูว่ามันเหมือนกันไหม ต่อไปให้ทำตอนโกรธ ตอนอยากได้อะไรซักอย่าง ตอนหิว แล้วดูว่ามันเหมือนกันไหม ต่อไปให้ทำตอนป่วย ตอนเหนื่อย ตอนง่วง สังเกตเอาเองว่าทุกครั้งที่โบกมือเบาๆไหวๆแบบนี้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหมือนกันไหม

ผมไม่ได้ให้คุณทำหรือสร้างความรู้สึกนะครับ ให้สังเกตความเป็นจริงของมัน

เมื่อไหร่ที่คุณเห็นความรู้สึกตัวแบบหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนมีสภาวะจิตเป็นอย่างไร นั่นคือความรู้สึกตัวล้วนๆครับ แล้วก็ความรู้สึกตัวที่ผมเขียนสื่อนี่ไม่ใช่เป็นที่มือ แต่เป็นทั้งตัว แล้วเรามารู้ที่ความรู้สึกตัวล้วนๆนี่ทำไม ประโยชน์ของมันหรือครับ คุณจะรู้เอง

ต่อให้คุณยืนบนหน้าผาพร้อมจะกระโดดลงไปปลิดชีพตัวเอง เมื่อคุณโบกมือความรู้สึกตัวล้วนๆอันนี้ จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่คุณเคยโบกมือตอนนั่งซักผ้าเลย เมื่อคุณฝึกพัฒนาตัวนี้มากมากเข้า ความเป็นปรกติของมันแบบนี้จะช่วยชีวิตคุณไว้จากจิตที่อ่อนแอ ท้อแท้ครับ

ขอให้สนุกกับเวิร์คชอปครับ กลับไปอ่านสองย่อหน้าแรกอีกทีครับ ถ้าเห็นสมควรผมจะตอบคำถามที่ทิ้งไว้ในนี้ให้ครับ แต่อันไหนที่ไม่ตอบก็แสดงว่า ผมไม่มีปัญญาจะตอบได้หรือไม่ ก็ไม่เห็นประโยชน์ในการตอบครับ


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

ขันธ์ห้าถูกทำลาย .....

ความทุกข์คืออะไร คำตอบอาจต่างกันไปตามความเข้าใจของแต่ละบุคคล แต่ถ้าถามผม ความทุกข์ ก็คือ ความรู้สึกตัว ความทุกข์มันแสดงตัวผ่านความรู้สึกตัว แต่ความรู้สึกตัวในความหมายนี้ไม่ใช่ความรู้สึกตัวล้วนๆ แต่เป็นความรู้สึกตัวทั่วไปทุกอย่าง ที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัวล้วนๆ

ความรู้สึกตัวทั่วๆไปคือ ทุกข์ แต่ความรู้สึกตัวล้วนๆคือ การทวนลงไปถึงที่สุดของความรู้สึกตัว หรือ ที่สุดของทุกข์ มันเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่ ที่สุดของทุกข์คือ ความไม่ทุกข์

มันเคลียร์คำสอน2500ปีก่อนได้ทันที ทำไมทุกข์ถึงให้กำหนดรู้ มันหมายถึงว่า ให้รู้ความรู้สึกตัวนั่นเอง รู้โดยเอาสติปัฎฎฐานเป็นหลักฝึก ความรู้สึกของ กาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นทุกข์ แต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกตัวมันทวนตัวมันเองผ่านกำแพงความคิดไปจนถึงความแท้ของมัน คนเราจะเข้าใจได้ถึง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม และนั่นคือจุดเริ่มของผู้ที่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกตัวล้วนๆ

ชีวิตของคนทั่วไป ความรู้สึกตัวที่เกิดมีสาเหตุมาจากการทำงานของขันธ์ห้า และบอสใหญ่ของขันธ์ห้าคือ ความคิด ถ้าจะเล่นต้องเล่นบอสก่อน คนมีปัญญาจึงซัดแม่ทัพไม่ใช่นายทหาร การปรุงของขันธ์ห้าเริ่มจากตรงนี้ ผู้ใดก็ตามที่ฟัดกับมันไปเรื่อยๆ จนเข้าใจธรรมชาติของความคิด และเข้าใจธรรมชาติของความรู้สึกตัวอย่างแท้จริง จะไม่ทำลายความคิด ไม่เข้าไปในความคิด และไม่ห้ามความคิด แต่ขณะเดียวกันความรู้สึกตัวล้วนๆยังคงดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ และนี่คือวิปัสสนาแบบเต็มเหนี่ยว

ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับสมถะชนิดสุดขั้ว สำหรับคนที่ยังมาไม่ถึงตรงนี้จะไม่เข้าใจว่าอะไรกันแน่เป็นตัวแบ่งระหว่างวิปัสสนาและสมถะ บางคนใช้การเพ่ง บางคนใช้การพิจารณา บางคนอ้างตำรา บ้างคนอ้างอาจารย์ แต่สำหรับผมการแยกความต่างนั้นง่ายมาก คือ การมองไปที่ผลของความสงบของมัน ลักษณะของความสงบของสมถะเป็นความสงบของอารมณ์ ในขณะที่ความสงบของวิปัสสนาเป็นความสงบแบบไม่สงบ สงบแบบสิ้นไปจากอารมณ์

ปรกติแล้วความคิดจะสร้างอารมณ์และกลายเป็นความรู้สึกตัวในลักษณะของทุกข์ แต่เมื่อความรู้สึกตัวล้วนๆดำรงอยู่ ธรรมชาติของความไม่แปรผันของมันจะไปหยุดขั้นตอนการสร้างอารมณ์ของความคิด ความคิดจะคิดเรื่องอะไรก็ตาม ความรู้สึกตัวล้วนๆที่แนบแน่นทั้งตัวจะไม่เปลี่ยนแปลง มันไปขวางขั้นตอนการเกิดอารมณ์ ที่มันไม่ทุกข์เพราะอารมณ์ไม่มีอำนาจจะเปลี่ยนความรู้สึกตัวล้วนๆ แต่คุณลักษณะของความรู้สึกตัวล้วนๆสามารถสลายอารมณ์ได้ นี่คือกฎธรรมชาติ

สมมติว่าความคิด เกิดคิดขึ้นมาว่าอยากไปเที่ยว แต่ความรู้สึก “อยาก” จะทำงานไม่ได้ มันจะคิดอะไรขึ้นมาได้ทั้งหมดเลย แต่อารมณ์ต่อเรื่องที่คิดไม่สามารถทำงานได้ มันไม่มีอารมณ์ในเรื่องที่คิด เมื่อไม่มีอารมณ์ความคิดในเรื่องนั้นก็จบตัวเองมันทำงานไม่ได้ ความรู้สึกตัวล้วนๆจะเป็นเจ้าบ้าน มันตัดกระแสการทำงานของความคิดโดยไม่ต้องไปทำอะไร

ส่วนประกอบของขันธ์ห้ามีอยู่แต่ปรุงไม่ได้แล้ว เพราะเสาที่ค้ำขันธ์ห้าไว้ได้ถูกทำลายลง คำตอบหลายอย่างๆจากคำพูดประหลาดๆจะเกิดขึ้นเช่น อรหันต์ไม่มีจิต หรือมีแต่การกระทำไม่มีเจตนา

ความเข้าใจทุกอย่างที่ผมเขียนขึ้นล้วนมาจากการพิสูจน์ทดลองด้วยตัวเอง พบความผิดพลาดชนิดนับไม่ไหว ซึ่งถ้ามองเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ฝึกโดยการอ่านเอาจากตำรา พวกที่ชอบพูดว่า ตำราว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้ ผมมองว่าคนพวกนี้กลัวการผิดพลาด พวกเค้าไม่ต้องการพลาด พวกเค้าต้องการแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ พวกเค้าต้องการที่พึ่ง ต้องการใครซักคนที่ชี้แนะให้ความเชื่อมั่นว่าเค้ามาถูกทางแล้ว สิ่งนี้ใช้ได้ผลหรือไม่คุณต้องสังเกตคนพวกนี้เอาเอง

สำหรับผมคนที่ศึกษาธรรมะผ่านตำรา คือบุคคลที่ไม่เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของมนุษย์ ลองสังเกตบุคคลในประวัติศาสตร์ ปู่ย่าของคุณ พ่อแม่ของคุณ เพื่อนฝูงของคุณ หรือแม้แต่ตัวคุณเอง พวกเค้าผ่านความผิดพลาดมาก่อน พวกเราถึงได้มีอะไรใช้สอยเหมือนทุกวันนี้ คนพวกนี้เรียนรู้จากความผิดพลาดแบบใหญ่หลวง ความสามารถชนิดเยี่ยมของมนุษย์หลายคนผ่านการลองผิดลองถูกชนิดเอาชิวิตเข้าแลก

แต่คนที่ศึกษาโดยอ่านตำราพวกเค้าเรียนรู้อะไร พวกเค้าไม่รู้จักคำว่าพลาด เพราะตำราบอกโดยตัวมันเองว่ามันคือสิ่งที่ถูก พวกเค้าไม่ต้องเสียเวลาลงมือพิสูจน์อะไร ความรู้เรื่องอริยสัจ เรื่องขันธ์ห้า เรื่องไตรลักษณ์ เรื่องสารพัดความรู้ของมนุษย์ มันได้มาง่ายเกินไป เพียงเปิดตำราและอ่าน ท่องและจำ พวกเค้ามองข้ามอะไรบางอย่าง บุคคลที่เขียนตำราขึ้นพวกนั้นเป็นครั้งแรก พวกเค้าต้องอุตสาหะอย่างหนักหน่วงไม่ใช่หรือ ธรรม เป็นเรื่องของประสบการณ์การหยั่งรู้ ไม่ใช่ความรู้ที่ลอกมา

คนเราถ่ายทอดความรู้ที่มีให้คนอื่นผ่านตำรา แต่ไม่สามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาให้ติดมากับตัวหนังสือได้ นั่นเป็นข้อจำกัดของสมมต แค่อ่านแล้วบอกตัวเองว่า เข้าใจแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ การถกเถียง คนประเภทนี้มีทั่วบ้านทั่วเมืองและทั่วโลก

ผมจะเล่าเรื่องอะไรซักอย่างให้ฟัง มีเพื่อนหลายคนรวมถึงตัวผมเองสมัยก่อน ตอนที่เรียนภาษาผมกลัวการพูดผิดอย่างมาก หัวใจของภาษาคือการสื่อสาร ต่อให้พูดถูกไวยากรณ์แต่มันน่าเบื่อ ก็ไม่มีใครอยากสื่อสารด้วย และผมสังเกตว่า เจ้าของภาษาที่ไม่ใช่อาจารย์สอนภาษา เค้าไม่มัวมานั่งเช็คว่า ผมพูดถูกไวยากรณ์หรือไม่ เค้าสนใจว่าผมจะสื่ออะไร เพราะตัวพวกเค้าเองรู้ไวยากรณ์น้อยกว่าผมด้วยซ้ำ คนหลายคนบอกว่า ผมใช้ภาษาเยอรมันได้ดี แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าเทียบในสิ่งที่ผมเรียนมาจากห้องเรียนทั้งหมด ผมยังใช้มันออกมาไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ และในครึ่งหนึ่งนั้นผมยังใช้ผิดอยู่เลย

เมื่อผมจับทางการเรียนได้ผมจึงบอกเพื่อนๆของผมว่า ถ้าพูดถูกจะมาเรียนทำไม การเรียนภาษาคือการเรียนจากความผิดพลาด คุณต้องพูดออกมาเพราะยังไงมันก็ผิดอยู่แล้ว คุณไม่สามารถเรียนไวยากรณ์แล้วเอามาใช้ในบทสนทนาจริงๆได้ นั่นมันโง่ชัดๆ ผมเคยพลาดมาก่อน มันต้องผิดซ้ำๆผิดจนจำได้ ผิดจนสังเกตได้ว่า ชีวิตจริงคนเค้าไม่พูดกันอย่างนี้ มันถูกตามที่เราเรียน แต่คนบนท้องถนนเค้าไม่ใช้กัน อะไรคือความถูกผิดกันเล่า ผู้คนบนถนนเป็นพันๆ หรือ ความรู้ที่ผมเรียนมากันแน่

เพื่อนผมเป็นคนอเมริกันเรียนคณะอักษรศาตร์ พูดรัสเซี่ยน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน แต่เค้าเคยบอกผมว่า ทุกวันนี้ชั้นยังไม่รู้เลยว่า เพรเซ่น โพเกรสซีพ เทนสน์ นี่มันคือบ้าอะไรกัน เค้ารู้วิธีใช้แต่เค้าไม่รู้ชื่อเรียกของมัน เค้ารู้เพียงว่าอะไรที่คนอเมริกันใช้และอะไรที่คนเค้าไม่ใช้พูดกัน

ผมเคยมีความคิดบ้าๆว่า ถ้าเราเก่งไวยกรณ์แล้วพูดตามไวยกรณ์ เราต้องใช้ภาษาได้แน่ ผมจึงทุ่มเทเรียนแกรมม่าอย่างหนัก แต่นั้นคือความโง่เง่าจากการคิดเอาเอง ผมสอบการเขียนภาษาเยอรมันขั้นเบสิคตอนนั้นที่ เกอเธ่ ได้ร้อยเต็ม แต่ผมกลับพูดไม่ได้ มันอึกอักไม่เป็นธรรมชาติ ผมเคยเข้าใจว่าถ้ารู้ไวยกรณ์แน่น จะพูดไม่ผิด ใช่เลยมันพูดไม่ผิด เพราะมันพูดไม่ออก มันมัวแต่คิดเรื่องแกรมม่า คะแนน 100 ไม่มีความหมายเลย การเรียนนั่นมันล้มเหลวชัดๆ ผมเรียนสิ่งที่ถูกต้องตามตำรา แต่ผมไม่สามารถใช้ของที่ถูกนั้นออกมาได้

พอผมมาที่นี่ ผมเลิกหมดผมยังต้องเรียนไวยากรณ์ แต่เวลาผมพูดผมเขวี้ยงทิ้งทันที ผมพูดผิดมากผิดทุกวัน รู้ด้วยว่าพูดผิดแกรมม่า แต่มันเป็นธรรมชาติกว่ามาก บทสนทนาจะลื่นและตลกไปกับความผิดพลาดนั้น และมันค่อยๆเรียนของที่ถูกจากความหน้าแตก สิ่งที่ชาวบ้านเค้าใช้กันจริงๆตามท้องถนนตามร้านค้าไม่ใช่ใช้ในห้องเรียน ผมสังเกตว่าคนที่นี่เอง เค้าก็ยังพูดผิดแกรมม่าเหมือนกัน เจ้าของภาษายังพูดผิดแล้วผมจะไปนั่งเดือดร้อนทำไม ผมไม่สนใจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ผมต้องการสื่อสารรู้เรื่องเท่านั้น

ถ้าคุณมาต่างประเทศ ทุกวันนี้คุณจะสังเกตว่า คนคนหนึ่งพูดได้อย่างน้อย 3 ภาษา แต่ผมก็ยังเห็นความวุ่นวายเกิดขึ้นทุกที่ ยิ่งพูดมากยิ่งเดือดร้อนมาก ไม่เห็นภาษามันจะช่วยอะไรซักเท่าไหร่ เพราะคนมันเอาแต่พูด คนที่นี่ชอบการดิสคัสชั่น พูดได้ทุกเรื่องพูดกันนานๆ แต่ไม่เห็นมันจะมีอะไรดีขึ้นมา ตื่นขึ้นมาคุณก็ยังหัวยุ่งหงุดหงิดไปทำงาน บ่นกับราคาของแพง น้ำมัน รายจ่าย จะดิสคัสไปทำไม

มันไม่ต่างกับการปฏิบัติธรรมเลย รู้มากอ่านมาก แต่มันใช้ออกมาไม่ได้ มันรู้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้เป็นอย่างที่รู้ มันได้แต่พูด ทุกวันนี้อยากรู้อะไรเข้าเน็ตก็รู้แล้ว แต่ถ้าคุณสังเกตสิ่งที่คุณรู้ดีดี ลองถามตัวคุณเองว่า คุณรู้มันจริงหรือเปล่า ลองจี้มันทุกจุดตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย คุณจะพบว่าบางอย่างคุณตอบไม่ได้

กระทู้เป็นพันพันในพันทิพถ้าคุณสังเกต คุณจะพบว่ามีจำนวนน้อยมากที่มีเสน่ห์ ไม่ใช่ในแง่ของการเขียน แต่มันมีชีวิตชีวาจากการเล่าประสบการณ์จริง มันต่างจากการก๊อปปี้ตำราหรือคำบอกเล่าที่แห้งแล้ง


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

ตัดไตรลักษณ์ .....

ความคล้ายกันระหว่าง ที่ว่าง และ เวลา ......... ความรู้สึกตัวล้วนๆ และ ความคิด

จากความเข้าใจที่ผมมีต่อทฤษฎี ที่ว่างและเวลา มันมีความคล้ายกันกับลักษณะเฉพาะของความรู้สึกตัวล้วนๆและความคิดสูงมาก เท่าที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีระดับเหนือสามัญสำนึกอันนี้ คือการอธิบายธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างที่ว่างและเวลา แต่ยังไม่ใช่การบอกว่าจะตัดมันขาดออกจากกันได้อย่างไร ผมไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้แบบนักวิทยาศาตร์ แต่ผมเทียบเคียงมันในลักษณะของสถาปัตยกรรม ผู้ศึกษาด้านสถาปัตย์ต้องเรียนเกี่ยวกับเรื่อง ที่ว่าง และ บริบท ซึ่งเป็นสิ่งเบสิคและเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการออกแบบขั้นต้น

คุณลองจิตนาการ เก้าอี้ซักตัว ที่ตั้งอยู่ โดยไม่มีคนสร้าง ไม่มีเวลา ไม่มีบริบท ไม่มีภูมิอากาศ ไม่มีอุณหภูมิ ไม่มีความสว่างและความมืดมาเกี่ยวข้อง ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวมันเอง เก้าอี้ตัวนั้นจะเป็น อมตะ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และไม่มีวันถูกทำลายลง

ในความเป็นจริงของยุคสมัยนี้ก็ยังไม่มีใครที่แยก วัตถุออกจากเวลาได้ แต่ถ้าถามว่ามีอะไรซักอย่างไหมที่มนุษย์รู้จัก แล้วมีสภาพที่อยู่เหนือ กาลเวลา คำตอบคือ มี


และสิ่งนั้นคือ “ที่ว่าง”

คุณลองเดินออกไปที่ถนน แล้ว มองไปที่ ที่ว่างของมัน ไม่ว่าถนนจะสว่างหรือมืด ฝนตก แดดร้อน หรือหิมะโรย ต่อให้มีสงคราม เลือดสาดกระจายตามพื้น อาคารบ้านเรือนพังพินาศ แต่ที่ว่างจะยังคงสภาพเดิมเสมอ มีเพียงใจมนุษย์ที่เปลี่ยนตาม สิ่งที่เกิดบนที่ว่างนั้น เหตุการณ์ต่างๆ เป็นเพียงตัวที่บังความเป็นจริงของคุณลักษณะของที่ว่างเอาไว้

ที่ว่าง เริ่มมีมาก่อนที่จะมีโลก ไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์ ไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์หรือดาวเคราะห์ มันเป็นหนึ่งเดียวกับของทั้งหมดในจักรวาล ไม่ถูกแบ่งแยกโดยออกซิเจนหรือสูญญากาศ ไม่เกี่ยวกับการถูกแทนที่ด้วยก้อนหินหรือน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ในที่ว่าง แต่เนื้อหาคุณลักษณะของที่ว่างไม่เคยเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มันบรรจุอยู่เลย

ใจของมนุษย์ที่เดินทางผ่านเวลาในที่ว่างเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง เวลาแค่นั้นเองที่ทำให้ทุกสิ่งแปรผันและเป็นจุดเริ่มต้นของกฏไตรลักษณ์

“ที่ว่าง” มีความเหมือนกับ “ความรู้สึกตัวล้วนๆ” อยู่หลายประการนั่นคือ ความไม่แปรเปลี่ยนตามเวลา ไม่แปรเปลี่ยนตามสภาวะจิต ไม่ขึ้นอยู่กับการปรุงของขันธ์ห้า ไม่มีจุดกำเนิดและไม่มีจุดสิ้นสุด มีความคงที่ถาวรอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญที่ทำให้มันเหมือนกันมากคือ ความรู้สึกตัวล้วนๆนั้น “ว่าง” โดยตัวมันเอง มันสะอาดบริสุทธิ์เพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวมัน มันไม่เข้ากันกับอะไรเลย ไม่มีอะไรจะทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

คุณอาจไม่สามาถเดินออกไปที่ถนนแล้วเข้าใจเรื่องที่บอกให้ดูที่ว่าง ให้ดูอะไร เพราะคุณจะเห็นอะไรเต็มไปหมด และมันไม่ใช่ให้คุณหลับตาแล้วสัมผัสเอา แต่ความเข้าใจระดับนี้เป็นเรื่องของบุคคลที่เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เห็นโดยปัญญา เหมือนกับที่มีคนจำนวนน้อยมากที่สามารถมองเห็นความรู้สึกตัวล้วนๆได้ เพราะเค้าถูกความคิดบดบังไว้

ความคิดนั้นไม่ต่างอะไรกับเวลาเลย มันเดินทางไปทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต มันทำให้เวลายืดและหดสั้นได้ มันบรรจุไปด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ อย่างที่รู้กันว่า เรื่องราวทางประวัติศาตร์มักถูกบิดเบือน ความคิดก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน มันถอดความเป็นจริงมาเป็นคำพูด แต่ไม่ใช่ตัวความจริงนั้น

แม้โดยตัวของความรู้สึกตัวล้วนๆเองจะคงที่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง แต่การเข้าไปรู้ไปเห็นมันยังถูกระงับยั้งด้วยการเข้าไปในความคิด มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำลายระบบไตรลักษณ์ชนิดที่วงจรทั้งหมดขาดสะบั้น นั่นคือ ความต่อเนื่องของความรู้สึกตัวล้วนๆในระดับสมบรูณ์ และเมื่อสภาวะความรู้สึกตัวล้วนๆและความคิดนั้นขาดออกจากกันเกิดขึ้นเมื่อใด การเข้าถึงความเป็นนิรันด์ ความเป็นอมตะ ความไม่แปรผัน ความคงที่ถาวร ความสะอาดถึงที่สุด จะปรากฏขึ้น

มันมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนเพราะว่า

สติสัมปชัญญะ คือ ต้นกำเนิดของความรู้สึกตัวล้วนๆ
ความรู้สึกตัวล้วนๆ คือ ต้นกำเนิดของความคิด
ความคิด คือ ต้นกำเนิดของอารมณ์
อารมณ์ คือ ต้นกำเนิดของการกระทำ
และการกระทำ คือ ต้นกำเนิดของความวุ่นวาย

สิ่งที่ถูกกำเนิด ไม่มีทางอยู่เหนือ สิ่งที่ให้กำเนิดมันได้ คุณสามารถปราบอารมณ์ด้วยความคิด แต่ไม่สามารถปราบมันด้วยการกระทำที่เกิดจากอารมณ์นั้น

คุณไม่สามารถปราบความคิด ด้วยตัวความคิดเองหรือด้วยอารมณ์ที่เกิดจากความคิดนั้นๆได้ แต่คุณปราบมันได้ด้วยความรู้สึกตัวล้วนๆได้

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเองทั้งหมด ต้นเหตุของมันมีเพียงประการเดียวนั่นคือ ความต่อเนื่องของสติสัมปชัญญะ ตัวนี้เท่านั้นที่สามารถตัดการหมุนของไตรลักษณ์ได้

ผมเชื่อเอาเองว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์สามารถตัดให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ที่ว่างกับเวลา ขาดจากกันได้ เมื่อนั้นภูมิปัญญาของมนุษย์จะมาถึงจุดสูงสุด



การอยู่เหนือดวงชะตา

จากการสังกตของผม การทำนายดวงชะตา มันมีความแม่นยำอยู่ระดับหนึ่งโดยเฉพาะในส่วนลักษณะนิสัย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมันเป็นเรื่องของสถิติ แต่หลังจาการฝึกปฏิบัติธรรม นิสัยหลายอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คำทำนายเริ่มไม่มีผล ผมอธิบายเรื่องนี้ได้จากการสังเกตเอา ก็คือ บุคคลที่ถูกทำนายดวงชะตาอย่างแม่นยำ คือบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในการปรุงของขันธ์ห้าอยู่เสมอ

ขันธ์ห้าของแต่ละคนจะปรุงไม่เหมือนกัน หรือคนเราจะตอบสนองการปรุงแตกต่างกัน มันมีอิทธิพลมาจากราศีเกิด เวลาตกฟากอะไรแล้วแต่ ตามหลักโหราศาตร์ น่าสังเกตว่าดวงชะตาของคนเราจะดีๆร้ายๆสลับกันไปตลอด มันไม่ดีและไม่เลวตลอดไป มันมีความเป็นไปได้ที่ขันธ์ห้าจะปรุงไม่เหมือนกันในระยะที่แตกกต่างของช่วงชีวิตจากการสะสมของประสบการณ์และการเรียนรู้ และนั้นคือสาเหตุว่าทำไม ศาสตร์แห่งการทำนายจึงมีอยู่คะคานวิทยาศาตร์อยู่เสมอ

แต่สำหรับคนที่อยู่เหนือหรือไปพ้นจาการปรุงของขันธ์ห้า คำทำนายมักจะเป็นหมัน หมอดูหรือโหราจารย์ไม่สามารถทำนายชะตาคนประเภทนี้ได้ นั่นเพราะว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆ มันไม่เปลี่ยนแปลงตามวิถีโคจรของดวงดาว ไม่เกี่ยวกับเวลาตกฟาก และบุคคลพวกนี้ไม่ตอบสนองการปรุงของขันธ์ห้าพวกเค้าเพิกเฉย ผู้เข้าถึงความรู้สึกตัวล้วนๆจึงเป็นผู้ไม่ขึ้นกับดวงชะตา หรือถ้าจะเอาลักษณะชาติตระกูลมาจับ ทำไมคนนั้นเกิดมาพร้อมเงินทอง คนนี้จน คนนี้หล่อสวย บุคคลที่เข้าถึงความรู้สึกตัวล้วนๆ ไม่ว่าใครก็ตามจะมีสภาวะเดียวเสมอกัน ไม่แตกต่างด้วยข้อจำกัดของเงินทองชาติตระกูล




ขอให้เป็นอิสระจากเวลาครับ

ฝัน .....

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับอย่างสนิท และคนเราควรนอนวันละแปดชั่วโมง นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินมาโดยตลอด และเคยเข้าใจว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น เราควรนอนให้เต็มอิ่มเพื่อที่จะได้ตื่นมาแล้วสดชื่น

หลังจากที่ผมฝึกปฏิบัติด้วยการรู้สึกตัวล้วนๆ ทำไมความเห็นความเข้าใจที่เกิดกับผมล้วนขัดแย้งกับชาวบ้านเค้าเกือบหมด ถ้าเราใช้ชีวิตในเมือง มีใครทำได้บ้าง นอนเต็มอิ่มทุกวัน ตื่นมาสดชื่นทุกวัน มีใครควบคุมการนอนของตัวเองได้บ้างหลังจากหลับไปแล้วให้มันหลับสนิท บางผลการวิจัยบอกว่า ดื่มน้ำอุ่นซิ ดื่มน้ำผึ้งก่อนนอนซิ อย่าดื่มนมนะมันใช้พลังงานในการย่อยตอนนอน ของหน้างานมันใช้ได้ที่ไหน

ความเข้าใจที่เกิดกับผมตอนนี้คือเรื่อง ความฝันและการนอน ผมไม่เชื่อเลยว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และไม่เชื่ออย่างแท้จริงด้วยว่าต้องนอนวันละแปดชั่วโมง เนื่องจากผมต้องตื่นไปส่งหนังสือพิมพ์ตอนตีสอง ผมจึงควรเข้านอนหัวค่ำ นอนให้เต็มอิ่มจะได้ฟิตตอนตื่น ตามหลักการควรเป็นอย่างนั้น แต่หน้างานมันไม่เป็นอย่างนั้น กว่าจะนอนก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม ผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่จะนอน จะเพลียไหมนี่

ตั้งใจนอนให้หลับยิ่งเป็นไปได้ยาก ตอนแรกผมไม่เข้าใจเลย มันเคยเป็นอย่างนี้ช่วงหนึ่งตอนอารมณ์รูปนาม คือนอนไม่หลับ มันรู้สึกตัวชัดไปหมด ขยับร่างกายนิดเดียวก็ตื่น แต่สุดท้ายมันจะหลับลง ถ้าคนไม่รู้จักความรู้สึกตัว ผมขอบอกให้รู้ไว้ว่า นี่ไม่ใช่การนอนไม่หลับแบบคนฟุ้งซ่าน มีเรื่องให้คิดวิตกกังวล อันนั้นมันทรมานใจ ความคิดไม่ได้ฟุ้งซ่าน ความรู้สึกตัวชัดๆต่างหากที่ฟุ้งเต็มไปหมด

เวลาที่เราฝึกความรู้สึกตัวมากๆเข้านี่ สิ่งหนึ่งที่จะเกิดอย่างแน่นอนคือ ความตื่นตัว มันไม่ยอมหลับ ร่างกายมันตื่นชัดอยู่ตลอด บางวันทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน พอล้มตัวลงนอนกลับไม่ยอมหลับทั้งๆที่เพลียมากๆ ช่วงแรกๆผมเป็นกังวลว่า แล้วมันจะไปมีแรงทำงานได้อย่างไรตอนกลางคืนถ้านอนไม่เต็มอิ่ม คุณเคยถูกปลุกกลางดึกไหมสภาวะสลึมสลืออย่างนั้นเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างยิ่ง

พอมันไม่หลับย่อมไม่ฝัน ผมไม่ทราบว่ามีกี่คนที่อ่านบทความนี้ แล้วฝึกตัวเองมาจนถึงจุดนี้ แต่ใครก็ตามที่มาถึงจุดนี้คุณจะรู้เองว่า ความคิดคุณจะไม่เป็นภาพ มันจะคิดเป็นเพียงคำพูดในหัวอย่างเดียวเป็นหลัก กลับไปที่เบสิคนิดนึงนะครับ ความคิดคนเรามีเพียงแค่สองแบบใหญ่ๆ คือคิดเป็นเสียง กับคิดเป็นภาพ

ช่วงหลังผมค่อนข้างมีปัญหาในชั้นเรียน เพราะความคิดปรุงแต่งไม่ทำงาน เวลาที่ครูให้งานในชั้นให้แต่งเรื่องราว ความคิดผมไม่ไป มันไม่มีอารมณ์ร่วมในการทำของพวกนี้ บางครั้งให้แต่งจดหมายรัก ให้สร้างเรื่องบางอย่างขึ้นมา สมองผมว่างเปล่าจริงๆ ผมไม่สามารถเขียนเรื่องโกหกเมคขึ้นมาได้ และผมไม่มีความเห็นใดใดกับหัวข้อสนทนาในชั้น ผมไม่มีความเห็นถูกผิด สมองผมหยุดให้ค่ากับการวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ของสังคมมนุษย์ ผมเพียงมองเห็นเรื่องราว แล้วสมองก็ไม่ทำงาน มันหยุดดื้อๆ และผมรู้สึกเสียเวลาอย่างยิ่งกับการเอาเวลามานั่งจิตนาการเรื่องราวต่างๆถกเถียงเกี่ยวกับมันอยู่ในห้องแคบๆนี่

และเมื่อความรู้สึกตัวมันตื่นอยู่ตลอดในขณะที่กำลังนอนหลับ ผมก็ได้ค้นพบว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุด ไม่ใช่การนอนหลับอย่างเต็มที่ แต่คือการตื่นอย่างเต็มที่ในขณะนอนหลับต่างหาก มองภายนอกเป็นการนอนนิ่งๆแต่สภาพร่างกายภายในตื่นตลอดเหมือนนักมวยที่เตรียมฟาดหมัด นี่ซิถึงจะเป็นการพักผ่อนแบบเหนือชั้น บางคืนผมหลับแบบไร้สติเพียงครึ่งชั่วโมง พอรู้สึกตัวขึ้นมา มันก็ไม่หหลับอีกเลย ผมทดลองว่ามันจะเพลียไหม ไม่ต้องนอนหลับมันเลย พอตีสองออกไปวาดลวยลายส่งหนังสือพิมพ์ มันก็ไม่เพลียเลย สติตรึกตรองสิ่งต่างๆทำงานเหมือนเดิม ความคิดไม่ล้าสักนิด มันเหนื่อยหอบปรกติเพราะวิ่งเข้าออกอาคารหลายหลัง แต่ไม่ง่วงหาวอยากหลับหรือรู้สึกเบื่องาน แปลกมากเพราะผมแทบจะไม่ได้หลับเลย มันเป็นอย่างนี้มาเป็นอาทิตย์

เมื่อร่างกายเรานอนหลับแต่สภาพความรู้สึกตัวตื่นอยู่มันฝันไม่ได้ครับ กลไกมันทำงานไม่ได้เหมือนเฟืองที่ขัดราง เพราะความฝันถูกผูกอยู่กับกลไกความคิดลักษณะเป็นภาพ ความรู้สึกตัวขั้นนี้มันไปฆ่าสัญญา ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวเล่าลือที่ว่า ผู้เจริญสติมาถึงจุดหนึ่งจะไม่ฝัน ถ้าฝันก็สั้นมากแล้วตื่นทันที

เวลาที่เราฝันมันเปลืองพลังงานมาก เพราะอารมณ์ทำงานตามความคิด ความฝันคือความคิด เมื่อมีความคิดอารมณ์จึงทำงานทันที ต่อให้ไม่รู้สึกตัวอารมณ์มันก็ทำงานแบบนั้นอยู่ คนตื่นมาจึงรู้สึกเหนื่อย บางทีกลัวไปกับเรื่องที่ฝัน และนั่นคือเหตุผลของการหลับไม่สนิท มันฝันนั่นเอง

คนเราปอดแหกไปเอง ว่าจะนอนไม่พอ ทุกวันนี้ผมรู้สึกสนุกกับการไม่ต้องหลับ เวลาที่เรานอนแบบไม่รู้สึกตัว ตื่นมาจะปวดเมื่อยเพราะมันไปนิ่งแช่กับท่าเดิมๆนานเกินไป แต่ถ้าเรานอนหลับแบบตื่นพอมันจะเมื่อย มันก็พลิกตัวขยับไปมา ตื่นมามันจึงไม่ขบเมื่อย มันเป็นความสบายแบบประหลาดๆ มันคล้ายๆกับร่างกายมันปรับสัญญาใหม่ มันไม่กลัวการอดนอน

ทุกวันนี้ผมเหมือนอยู่ในโลกที่มีความเห็นไม่เหมือนชาวบ้านอยู่ตลอด แต่มันไม่เดือดร้อนอะไรในเมื่อไม่สนใจจะเถียง มันไม่ได้ติดวิปัสสนูนี่ เหมือนมีเพียงผมคนเดียวที่ใช้ความรุ้ความเข้าใจแบบนี้ได้ ต่อให้ผมรู้และเข้าใจชัดเจนแค่ไหน ก็ให้คนอื่นไม่ได้ จะสอนออกมาด้วยคำพูดก็ยากเต็มที จะให้สอนอะไรผมไม่มีอะไรจะสอน ผมบอกได้เพียงว่าผมพบเจออะไร และทำอย่างไรจึงจะพบเจอมัน และผมสนใจจะพูดกับคนเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือคนประเภทเดียวกับผม คนที่แน่พอที่จะทิ้งทุกอย่าง เพื่อจะได้เข้าใจอะไรบางอย่างที่คุณไม่รู้ว่าคืออะไร เค้าคนนั้นต้องหลงรักมันจริงๆและบ้าบิ่นพอที่จะไม่สนกระแสสังคมส่วนใหญ่ ผมสนใจคนโง่ที่ลงมือทำ มากกว่าคนฉลาดที่เอาแต่พูดมากและถกเถียง ในมุมมองมองของผม คนประเภทแรกต่างหากที่ฉลาด

ผมไม่ทราบว่าจะเรียกมันว่า ธรรม ดีไหม เพราะมันห่างไกลเกินไปแล้ว กับเรื่องไตรลักษณ์ เรื่องกิเลส เรื่องสมถะ วิปัสสนา เรื่องความขัดแย้งในการปฏิบัติ หรือเรื่องอะไรที่คนพูดกันอยู่ในเว็บ สิ่งที่ผมเข้าใจมันเป็นเรื่อง กลไกการทำงานของชีวิตล้วนๆเลย และวิธีนำกลไกนั้นมาใช้ โดยลงไปที่ความรู้สึกตัวกับความคิดเพียงประการเดียว ผมหมดความสนใจกับเรื่องพวกนี้ มันคล้ายๆกับว่าพอคุณเชี่ยวเรื่องอะไรซักอย่างจริงๆ คุณก็ไม่สามารถทนอยู่กับความท้าทายแบบเดิมๆได้อีก มันไม่สนุกอีกแล้ว มันไม่ถอยหลังอีกมันก้าวไปข้างหน้าอย่างเดียว

ผมไม่ทราบว่าจุดต่อไปจะเจออะไรอีกแต่เห็นลางเลือนว่า จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลยนอกจาก การตั้งอยู่ของสติสัมปชัญญะ


ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

ท้า ....

ก่อนจะเจอ ตัวที่จะพาชีวิตให้รู้วิธีหลุดออกจากขันธ์ห้านั้น ความรู้สึกตัวที่ฝึกมาอย่างดีและต่อเนื่อง จะกระตุ้นให้ขันธ์ห้าแสดงตัวออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะเวทนาทางกาย

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าความรู้สึกตัวล้วนๆ มันเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวล้วนๆ ตัวอื่นๆก็ย่อมไม่มี พูดง่ายๆแต่เข้าใจไม่ได้ก็คือ ขันธ์ห้า คือเงาของความรู้สึกตัวล้วนๆ การที่เราฝึกพัฒนาความรู้สึกตัวล้วนๆนั้น มันทำให้เราไปรู้ความรู้สึกแบบอื่นๆไปด้วย เช่นอาการง่วง อาการเมื่อย อาการเจ็บนั่นปวดนี่ ทั้งทั้งที่สิ่งเหล่านี้เกิดเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่รู้สึกถึงมัน เพราะความคิดบังเอาไว้ จุดนี้ไม่พูดเรื่องกิเลสแล้วนะครับกระจอกเกิน

พอมาฝึกความรู้สึกตัว ความคิดถูกลดค่ามากเข้า ความรู้สึกทุกแบบของชีวิตจึงแสดงตัวออกมาทั้งหมดเลย ถ้าคุณยังไม่ผ่านจุดนี้คุณจะมองไม่ออก จะไม่เข้าใจว่า ทำไมยิ่งฝึกยิ่งง่วง ยิ่งปวด ยิ่งเมื่อย ยิ่งคิดฟุ้งซ่าน ทำไมอารมณ์ทางเพศรุมเร้ามากนัก ทำไมความคิดถึงชั่วช้าขนาดนี้ ฝึกเท่าไหร่ก็เอาชนะของพวกนี้ไม่ได้ซักที

ยิ่งความรู้สึกตัวคุณยิ่งดีเท่าไหร่ ความเลวร้ายในตัวคุณจะแสดงออกมาให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น ผมมั่นใจว่า คนที่ยิ่งเชี่ยวเรื่องความรู้สึกตัว ไม่มีใครหรอกที่ฝึกแล้วเห็นตัวเองดีเลิศประเสริฐจัด เพราะสันดานหยาบจะแสดงตัวออกมาให้เห็นไม่หยุดหย่อน เพียงแต่มันจะไม่แสดงออกมาเป็นการกระทำเท่านั้นเอง

ตอนยังไม่เข้าใจ มันหาทางจะเอาชนะ ความรู้สึกง่วง ความปวด ความเมื่อย อารมณ์ทางเพศ ความคิด ไม่รู้เลยจริงๆว่าจะผ่านของพวกนี้ได้ยังไง มันล้อมหน้าล้อมหลังไปหมด ยิ่งรู้สึกตัวมากเท่าไหร่ จะยิ่งง่วงแบบสุดๆเท่านั้น ความปวดเมื่อยนี่ไม่ต้องพูดเลย ปวดทั้งตัวตั้งแต่หัวถึงเท้าสะท้านไปจนถึงกระดูก ขยับอะไรเป็นเจ็บไปหมด มันเป็นอยู่ประมาณอาทิตย์นึง ผมไม่ทราบว่าคนอื่นยอมแพ้ไหม หรือเดินมาถึงจุดนี้ไหม แต่ผมไม่ได้ยอมแพ้ มันหาทางอยู่หลายครั้ง ลองหลายวิธี ว่าทำยังไงจะเอาชนะอาการทรมานทางกายนี้ได้

วันสุดท้ายนั้น ผมง่วงสุดๆ ผมปวดไปหมดทั้งตัว เพราะอัดหนักมาเป็นอาทิตย์ ผมขยับร่างกายไม่ไหว มันเป็นตอนเย็นฝนกำลังตกหนักอากาศดี มันบอกเป็นนัยๆแล้วว่า แกต้องพักซักหน่อยนะ แล้วค่อยตื่นมาลุยต่อ แกขยันเกินคนอื่นไปหลายช่วงตัวแล้ว ผมเริ่มเอนกายในกุฏิเพราะเหนื่อยจัด แต่มาฉุกคิดขึ้นได้ว่า ถ้าจะเอาชนะของพวกนี้ ก็ต้องตอนที่มันเหนื่อยทรมานสุดๆแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ที่สุดของทุกข์บ้าบออะไรกัน ยิ่งทำยิ่งทุกข์ ทำไมชั้นจะต้องมาจนตรอกอยู่กับไอ้ความปวดเมื่อยง่วงแสนสาหัสแบบนี้ด้วยนะ ไม่ยอม ยังไงชั้นก็ไม่ยอม ถ้ามันง่วงสุดๆ ปวดล้ากระดูกสุดๆมันจะตายไหม ผ่านมาเป็นอาทิตย์ชั้นยังไม่พักได้ กะไอ้แค่ฝนตกน่านอนของแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ชั้นจะผ่านให้ดู

จากนั้น มันก็ฮึกเหิมลุกขึ้นมานั่งสร้างจังหวะ อาการทรมานต่างๆก็เกิดอีก เอาเข้าไปเล่นงานชั้นเข้าไป ชั้นไม่มีอะไรจะใช้สู้กับแกเลยนอกจากความรู้สึกตัวล้วนๆ มันก็เลยจ้องความรู้สึกตัวอยู่อย่างนั้น มันรู้ตัวว่าเพ่งอย่างมาก เพราะมันจะเอาชนะอาการทรมานทางเวทนาด้วยการมาเพ่งความรู้สึกตัวล้วนๆแทน เพราะมันไม่รู้วิธีหลุดออกมา ประมาณซักสิบนาทีได้มั้ง เวลาที่เราเพ่งเนี่ยเราจะหายใจไม่เป็นธรรมชาติ หรือเกือบจะหยุดหายใจ เรียกว่ากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวก็ได้ พอมันถึงจุดหนึ่งร่างกายมันทนไม่ไหว มันก็ถอนหายใจออกมาแบบ เฮ้อ..!

ในชั่ววินาทีนั้นเอง อยู่ดีดี ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ช่องจมูก ความสบายจากการถอนหายใจ ความรู้สึกตัวล้วนๆส่วนอื่นๆมันปรากฏขึ้น มันเบาหมด มันเป็นความรู้สึกตัวง่ายๆที่ไม่เอาอะไร ไม่ได้จะเอาชนะเวทนาหรืออะไร มันเป็นของมันอย่างนั้นแต่ไม่เคยรู้จัก แปลกมาก แค่หายใจก็สบายหายปวด หายง่วงขนาดนี้ มันก็เลยขยับไหวแขนเบาๆ กวักมือเบาๆ มันทำเหมือนกับ ใบไผ่ปลิวลม ความรู้สึกตัวมันพลิ้ว เหมือนใบไม้ตอนสะเด็ดลม ความสบายมาจากไหนไม่รู้ มันปรากฏขึ้นเอง จากง่วงจนแทบจะสลบ กลายเป็นพบทองคำเข้าซะนี่

ต่อมาเมื่อรู้จักความรู้สึกตัวชนิดนี้แล้ว มันรู้วิธีไปเหนือเวทนาคือรู้วิธีเอาชนะ แต่ทำให้เกิดขึ้นทุกครั้งไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นมา ทำยังไงมันถึงจะเกิดอีกไอ้รู้สึกล้วนๆแบบนั้น หาสาเหตุอยู่นานเลยทีนี้ ว่าสาเหตุของมันมาจากอะไร ความรู้สึกตัวล้วนๆสบายๆอย่างนั้นมาจากไหน มันต้องมีเหตุ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้

ก่อนกลับมาต่างประเทศหนึ่งเดือน ความรู้สึกตัวล้วนๆเบาๆสบายๆนี่ เกิดบ่อยมาก เกิดเกือบทุกวัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี มันมีที่มาจากอะไร จนวันหนึ่งมันปล่อยความคิดลื่นหมด ปล่อยเวทนาหมด ปล่อยทุกอย่างที่เรียกว่าขันธ์ห้านั่นล่ะ ให้มันไหลเหมือนสายน้ำเลย ไม่ห้ามไม่ต่อต้าน แต่ให้มันรู้สึกตัวกายล้วนๆชัดๆอยู่แค่นั้น มันแยกกัน มันแสดงตัวออกมาให้เห็นเลยว่า ความรู้สึกกายล้วนๆนี้กับขันธ์ห้าเป็นคนละส่วนกัน พอมันชัดตรงนี้ มันก็เริ่มขาดออกจากกัน มันไม่ไปอยู่กับเวทนา มันไม่ไปอยู่กับความคิด มันมาอยู่กับความรู้สึกกายล้วนๆนี่ แต่ต้องปล่อยให้ขันธ์ห้าเกิดขึ้น ให้มันทำงานของมันไปนะตอนช่วงนั้นน่ะ

แล้วก็ กายล้วนๆ ที่ผมเขียนมาตลอด ไม่ใช่ รูป ในขันธ์ห้านะ

มันคล้ายๆมีภาวะสมดุลบางอย่างเกิดขึ้น อธิบายให้คนอื่นเข้าใจยาก คนทั่วไปเนี่ยใจของเค้าก็คือ ผลของกระบวนการ การทำงานของขันธ์ห้า จะทุกข์-สุข อยู่ที่ว่ากระบวนการตอนนั้นเป็นอย่างไร นั่นละคือ ใจ หรือ จิต ของเค้า ซึ่งมันจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่เรียกว่าไม่เที่ยงน่ะ มันคือส่วนของขันธ์ห้านี้ ตำราว่าไว้ดีแล้ว แต่ว่า ว่าไว้ไม่ครบ

พอคนเรามันไม่ไปยึดไปเอาขันธ์ห้า มันมาอยู่กับส่วนที่แยกออกจากขันธ์ห้า โดยที่ธรรมชาติสร้างให้มันแยกขาดจากกันอยู่แล้วตั้งแต่เกิด ใจ ของคนคนนั้น จะไม่ใช่ ผลของการปรุงของขันธ์ห้าอีกต่อไป ใจของเค้ามันก็คือกายนั่นเอง ใจมันไม่มีอีกแล้ว มันพ้นไปแล้วจากขันธ์ห้า ใจกับกายจะเป็นสิ่งเดียวกัน ใจที่เกิดจากกายล้วนๆ ไม่ใช่ใจที่เกิดจาก รูป ในขันธ์ห้า ใจนี้ไม่ใช่ส่วนที่ปรุงของขันธ์ห้าอีกแล้ว

มันตลกมาก ฟังดูปัญญาอ่อน บ้าบออะไรกัน ใจคือกาย แต่นี่ล่ะโคตรปัญญาตัวพ่อ นี่ไม่ใช่ปัญญารู้ แต่นี้คือปัญญาเป็น มันต้องเป็นก่อนมันถึงจะรู้
ใจกับกายเป็นของอย่างเดียวกัน คนที่มาไม่ถึงจุดนี้คงเถียงไปจนตายแน่ พอมันรู้กายล้วนๆชัดๆอยู่อย่างนั้น ใจมันสว่างไสว เบาสบาย ไม่ได้เป็นแค่ที่ใจนะ มันเป็นขึ้นทั้งตัว มันเบาว่างๆทั้งตัว เป็นชั่วโมงๆ ทุกวันนี้เป็นอยู่ตลอด เดินจงกรมไม่เกินสองรอบ จะสบายใจทันที เบาว่างไปหมดทั้งตัว ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะมันรู้วิธี ไม่ได้เกิดมาแบบฟลุคๆนี่ พอจับกลไกได้ จะกระตุ้นให้เกิดกี่ครั้งก็ได้ ของแบบนี้ไม่มีทางอยู่ในกฏไตรลักษณ์ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง มาไม่ถึงคิดเอาเองว่าไม่มีจริง คนพูดมีอยู่หัวรั้นไม่ฟังเอง ซึ่งเค้าก็คงมองกลับเหมือนกัน แกนั่นแหล่ะที่รั้น เอาเถอะทุกข์ไม่ทุกข์มันก็ชัดอยู่แล้ว

สภาวะจิตของพวกที่เรียกตัวว่าดูจิต ที่ว่าจิตแปรผันไม่แน่นอน ไม่เที่ยง นั่นมันไปเห็นจิตของขันธ์ห้า จิตปรุงแต่ง มันมาได้ไกลสุดแค่แยกตัวออกมาดูว่า มันไม่เที่ยง มันก็ถูกแล้วขันธ์ห้ามันไม่เที่ยงจริงๆนี่ แต่มันมาได้แค่นั้น
เคยบอกไปแล้วนี่ ระดับปัญญาสูงสุดของปุถุชนจะเห็นความไม่เที่ยง ก็คือขั้นโสดาบันตามตำรานั่น แต่ระดับปัญญาของอริยบุคคล หรือตั้งแต่สกิทาคามี จะเห็นความไม่แปรผัน เมื่อไหร่ที่ไปเข้าใจศีลปรมัตถ์ หรือความเที่ยงแท้ นั่นแสดงว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว อย่าดีใจมากนักนะ แค่ครึ่งทางเอง มันจะติดจินตญาณตรงนี้ล่ะ ระวังไว้หน่อย

ของพวกนี้โกหกได้ที่ไหน ศีลปรมัตถ์ไม่รู้จัก จินตญาณยังไม่ผ่าน วิปัสสนายังไม่เคลียร์ เลิกพูดเรื่องอริยบุคคลไปเลย ไปหลอกเด็กๆเถอะ
จิตที่ไม่ปรุงแต่งมันมีอยู่ และมันจะเที่ยงไปจนตายด้วย ไม่มีการเกิดดับเป็นล้านครั้งในหนึ่งวินาทีตามที่มั่วสอนกันด้วย คนมันฝึกมาได้แค่ไหน มันก็สอนได้แค่เท่าที่มันรู้

ที่นี้พอมันคุมกลไกตัวนี้ได้ ความรู้สึกตัวล้วนๆจะเป็นใหญ่ในชีวิต มันเกินความคิดไปแล้ว เห็นเลยว่าทำไมขันธ์ห้าถึงทำงานไม่ได้ ความรู้สึกตัวมันตัดการทำงานไว้ตลอด ความคิดยังเกิดนะ แต่ถูกตัดด้วยความรู้สึกตัวล้วนๆตลอดเลย ยกเว้นความคิดเรื่องงาน หลวงพอเทียนสอนให้ตัดความคิด ตรงนี้ทำผมงงถึงสี่ปี เค้าพูดถูกแล้ว แต่ไม่ใช่ให้เราไปนั่งฝึกให้มันตัด ตัวที่ตัดคือ ความรู้สึกตัวล้วนๆ ให้ไปพัฒนาตัวความรุ้สึกล้วนๆนี่แทน แล้วมันจะไปตัดความคิดของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยบินเหนือเมฆไปเลย

ความรู้สึกตัวที่หลุดแล้วจากขันธ์ห้าต่างหากที่ตัดความคิดได้ขาด ถ้าความรู้สึกนั้นยังพัฒนามาไม่ถึงจุดที่พ้นจากขันธ์ห้า อย่ามาโกหกเลยว่า ความคิดถูกถอนออก ไม่มีทาง ความคิดแค่หยุดด้วยสติ แต่ไม่ได้ถอนออกด้วยสัมปชัญญะ

ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่มีความเห็นว่า ธรรม คือ สิ่งที่ต้องประนีประนอม หาจุดลงเอยร่วมกัน หรือมาพบกันตรงกลาง ผนวกทุกสายเข้าด้วยกัน ทุกวิธีมันก็ดีทั้งนั้น แต่มันจะมาได้ไกลแค่ไหน อย่ามาแก้เขินเพราะฝึกมายาวนานเป็นสิบปี ไปต่อไม่ได้จึงเที่ยวเอาตำรามาเป็นแบคอัพเลย ผมมั่นใจมากด้วยว่า การยึดถือตามตำรามาสอนจะไปต่อได้อีกไม่เกิน ห้าสิบปี เพราะมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่โง่ ต่อให้เป็นคนไทยก็เถอะ

ธรรม มันเป็นของมันอย่างนั้น ใช้วิธีไม่ถูกมันก็มาไม่ได้ ภูเขาขึ้นได้หลายทางมาเจอยอดเดียวกันรึ อย่ามาพะงาบปากเลย เห็นชัดชัดว่ายืนอยู่คนละยอดเขาไกลริบ ทำให้เห็นดีกว่านะ ว่ามายืนจุดเดียวกันได้จริง

กรงเล็บเหยี่ยวมันไม่กางออกพร่ำเพรื่อหรอกนะครับ จับเหยื่อโง่ๆง่ายจะตายไป ลองจับตัวเองดูหน่อย ยากกว่าเยอะ


ท้าทายขนาดนี้แล้วนะเนี่ย อ้อยอิ่งอยู่นั่น

ของฝากก่อนบินกลับ .....

มีเพียงสองเรื่องที่จะเขียนไว้ก่อนบินกลับ


เรื่องแรก สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง

จนบัดนี้ผ่านมาหกเดือนก็ยังบอกได้เหมือนเดิมว่า ความรู้สึกตัวล้วนๆอันนี้ มันคงที่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น มันแปลกอยู่อย่างตรงที่เวลาที่พูดเรื่องนี้กับคนอื่น เค้ามักจะกล่าวว่า ไม่มีในตำราซักหน่อยว่าอะไรมันเที่ยง แน่นอนผมไม่ได้พูดจากตำรานี่ ผมพูดมาจากสิ่งที่มันแสดงตัวออกมาให้สัมผัส ให้รู้อยู่

คำว่าเที่ยงที่ผมใช้ผมหมายถึง คือในหนึ่งช่วงชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตายสิ่งนี้จะไม่มีวันแปรเปลี่ยน และมันเป็นอยู่ในคนทุกคนด้วย ไม่ต้องไปบังคับอะไรมัน มันก็เที่ยงของมันอยู่อย่างนั้น

ผมไม่เคยเกิดอารมณ์อยากจะโต้เถียงกับใคร หรือพูดง่ายๆก็คือไม่แยแสความเห็นของคนอื่นที่แบกตำราเลย มาไม่ถึงจุดที่มันเป็นก็ย่อมรู้ไม่ได้อยู่แล้ว คนที่มาเข้าใจตรงนี้ไม่ได้ เพราะมันถูกการทำงานของขันธ์ห้าบังเอาไว้ ขันธ์ห้าต่างหากที่ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ จะใช้วิธีไหนฝึกก็ตาม หากสิ่งที่เห็นยังเป็นสิ่งที่เกิดจากการทำงานของขันธ์ห้า ย่อมไม่สามารถหลุดจากขันธ์ห้าได้ มันมาได้ไกลสุดคือ แยกตัวออกมาดูการทำงานของมันแต่จะหลุดจากวงจรของมันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังจะดึงออกมา นั่นคือความต่างของปัญญาวิมุต กับเจโตวิมุต

กำลังดึงที่ว่าคืออะไร มันคือ ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกฎไตรลักษณ์ พูดง่ายๆคือ ตัวนี้มันไม่สะเทือนต่อความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า เมื่อคุณเข้าใจมัน มันจะเหมือนกับคุณยืนอยู่บนกาบเรือสองลำ ลำหนึ่งเป็นความไม่เที่ยงแท้ถาวร อีกลำเป็นความเที่ยงแท้ไม่แปรผัน

ธรรมชาติของเรือสองลำมันวิ่งไปคนละทิศ ในช่วงที่มันจะแยกไปคนละทาง คุณจะรู้เองว่า คุณจะลงไปนั่งบนเรือลำไหน เรือลำไหนที่มันไม่เป็นทุกข์ หมายความว่าธรรมชาติมันจะผลักให้คุณเลือกเรือเอง ธรรมชาติที่ไม่ประสงค์ทุกข์อันเกิดซ้ำไปซ้ำมา จะปรากฏขึ้น

ขันธ์ห้าจะไม่ถูกมองเป็นของห้าอย่างอีกต่อไป แต่ถูกมองเป็นก้อนทุกข์ มันเหมือนกับทั้งชีวิตมันมีส่วนประกอบอยู่สองอย่างแค่นั้น คือ หนึ่งก้อนทุกข์สุข กับ สองความรู้สึกตัวล้วนๆไม่สุขไม่ทุกข์แต่มันเบิกบาน มันสองตัวอยู่ด้วยกันแต่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด



เรื่องที่สอง ใจว่าง

ผมมักมีปัญหาในการใช้คำนี้เวลาคุยกับคนอื่น เพราะเค้ามักจะเข้าใจว่า “ว่าง” ที่ผมใช้เป็นสิ่งเดียวกับที่เค้ากำลังเจอ จากที่ผมพบสังเกตนั้น ว่างที่คนส่วนใหญ่ประสบ คือ ว่าง แบบยังอยู่ในขันธ์ห้า คือว่างแบบเฉยๆ แต่ว่างแบบนี้จะไม่มีความสดชื่น ไม่ตื่นตัว ไม่กระปรี้กระเปร่า

คุณลองสังเกตเอาเองว่า เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าว่าง มันจะคงตัวอยู่ระยะเวลาหนึ่งและจบไป คุณจะไม่รู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร ทำไมอยู่ดีดีมันถึงรู้สึกว่างออกมา

ตำราพูดดีแล้ว ทุกอย่างนั้นเกิดแต่เหตุ มันมีเหตุมันถึงแสดงตัวออกมา คนที่พบกับความว่างแบบนั้นจะไม่สามารถทำให้มันปรากฏขึ้นได้อีกอย่างใจ คือบังคับบัญชามันไม่ได้ บางคนเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน อยู่ดีดีมันก็เกิดขึ้นมาให้รู้อีก แต่สำหรับคนที่เข้าใจสาเหตุการเกิดของมัน เดินจงกรมไม่กี่ก้าว หรือยกมือไม่กี่ที มันก็แสดงตัวออกมาทุกครั้ง คนที่รู้จักกลไกเท่านั้น ถึงจะคุมกลไกได้ ของมันบังคับบัญชาได้นี่ กระตุ้นมันให้ถูกวิธีแค่นั้นเอง

ความว่างที่เกิดกับผม หรือที่ผมเข้าใจนั้น มันไม่ใช่ว่างแบบเฉยๆว่างแบบไม่มีอะไร แต่มันว่างแบบตื่น มันสดชื่น ใจมันร่าเริงเบิกบาน กลไกที่ผมค้นพบก็คือ เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกกายล้วนๆเพียงอย่างเดียว ปล่อยให้ขันธ์ห้าทำงานโดยไม่ห้ามมัน พูดง่ายๆคือไม่สนใจจิต คือไม่ตั้งใจดูจิตเลย การเห็นกายชัดๆจิตมันก็ปรากฏให้เห็นชัดๆ โดยไม่ต้องไปตั้งใจดู มันเห็นชัดของมันเองทั้งกายทั้งจิต

เหมือนถาดที่ลอยทวนกระแสน้ำนั่นล่ะ น้ำมันก็ไหลของมัน ถาดมันไม่ไหลไปด้วยนี่ ถาดหรือความรู้สึกกายล้วนๆที่แนบแน่นตัวนี้ จะไปตัดการทำงานของขันธ์ห้าหรือตัดการทำงานของจิต ขันธ์ห้ามีอยู่แต่มันทำงานไม่ได้ ถาดเล็กๆเพียงใบเดียวสามารถควบคุมการไหลของแม่น้ำทั้งสาย

สิ่งแปลกประหลาดก็คือ การที่ให้มันรู้สึกกายล้วนๆอยู่แค่นั้น ปล่อยทุกข์สิ่งให้เกิดขึ้นเลื่อนไหล ความสบายบางอย่างจะเกิดขึ้น กายมันสบายมันตื่น พอกายตื่นใจมันก็ตื่นด้วย พออธิบายเรียกว่ากายกับใจ คนอ่านก็เริ่มชักจะรู้สึกยุ่งอีกแล้ว คือ สภาวะที่มันเกิด กายกับใจมันเป็นสิ่งเดียวกัน มันไม่แยกกัน เพราะใจตัวนี้หรือจิตตัวนี้ เป็นคนละตัวกับที่เกิดจากการทำงานของขันธ์ห้า ตราบใดที่คุณยังไม่หลุดจากขันธ์ห้า ซึ่งคุณโกหกตัวเองไม่ได้แน่ ประสบการณ์ที่พวกคุณประสบทั้งหมดในการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นมายาขันธ์ทั้งหมดเลย

ส่วนใจตัวที่ผมพูดนี้ ไม่ได้มาจากการทำงานของขันธ์ห้า มันอยู่นอกเหนือ หรือมันอยู่คนละส่วน ใจแบบขันธ์ห้านั้นเกิดมาเพราะสติสัมปชัญญะหรือความรู้สึกกายยังไม่ดี มันจึงว่างบ้างไม่ว่างบ้าง แต่ใจตัวนี้เกิดมาจากสติสัมปชัญญะหรือเกิดมาจากความรู้สึกของกายที่เป็นฐานอย่างแนบแน่น มันว่างมันสบายมันกระฉับกระเฉง ทำกี่ทีก็เป็นอยู่อย่างนั้น


ไม่ได้เขียนเพื่อให้เข้าใจ แต่เขียนถึงความจริงที่จะเป็นอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะสิ้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เท่านั้น



ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป

ท้าทายมากกว่า ..... more

คุณพ่อหรือเพื่อน ที่ฝึกด้วยวิธีเดียวกันนี้ ทั้งตัวเค้าและคนรอบข้างสังเกตการเปลี่ยนแปลงของนิสัยใจคออย่างชัดเจน แต่ในมุมมองของผมไม่ได้มองไปที่เพียงการเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้น ผมสังเกตถึงลำดับอารมณ์ความเข้าใจในเรื่องของความคิดและความรู้สึกตัวของพวกเค้า แม้จะช้ากว่าแต่คำถามที่เค้าถามผมเป็นคำถามเดียวกับที่ผมเคยถามตัวเองไม่ผิดเพี้ยนเลย เมื่อผมผ่านมาแล้ว การให้คำตอบจึงไม่อ้างอิงข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่เป็นการบอกจากประสบการณ์เพียงอย่างเดียว

มันฟังดูอันตรายทีเดียวที่ใครซักคนจะสอนคนอื่นโดยไม่แยแสตำราแม้แต่บรรทัดเดียว หลายครั้งสอนในลักษณะขัดแย้งด้วยซ้ำไป ผมไม่เคยนำตำรามาวิเคราะห์ ไม่เคยเห็นหนังสือธรรมะที่วางขายตามห้างร้านในสายตา ไม่จับผิดนินทาแนวทางการสอนของอาจารย์สำนักไหน บ่อยครั้งที่ถูกถามถึงแนวการฝึกแบบอื่นๆที่มีอยู่ทั่วๆไป เป็นแนวทางหลักที่ฝึกกันในประเทศไทย ผมจะไม่ตอบว่าอันไหนดีไม่ดี ผมให้คำแนะนำง่ายๆว่า สังเกตดูนิสัยใจคอการกระทำของคนที่ฝึกแนวทางนั้นๆเอาเอง ว่าเค้าเป็นอย่างที่เค้าสอนหรือพูดออกมาหรือไม่ ถ้าฝึกตามจริตแบบไหนก็ได้สุดท้ายจะมาเจอกัน พวกที่ฝึกฝนตัวเองจะทะเลาะกันแบบทุกวันนี้หรือ คนพวกนี้ไม่มองความเป็นจริงที่เกิดในสังคม แต่มองความคิดตามคำพูดแล้วหลงว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณลองไปจับใครก็ได้ที่ฝึกอย่างหนักมานานเกินสิบปี แล้วพวกเค้าใช้วิธีฝึกคนละแบบ มานั่งคุยกันแล้วดูซิว่าเค้ามาเจอกันจริงไหม เค้าพูดถึงสิ่งเดียวกันอยู่รึเปล่า

หลายๆคนถ่ายทอดธรรมด้วยการก็อปปี้ตำรา คำกล่าวอัดเทปของคนรุ่นก่อน เพราะตัวเองไม่มีความสามารถอะไรจึงต้องอาศัยสิ่งนั้น เพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจ หรือเพื่อยืนยันว่า ตนเข้าใจถูกแล้วมีหลักฐานยืนยัน มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่วิธีนี้มันยืนยันตัวมันเองแล้วว่าล้มเหลวในประเทศไทย เมื่อเวลาผ่านไปธรรมะแบบนั้นจะแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา และกลายเป็นหัวข้อสนทนาให้คนไว้อ้างอิงทะเลาะกัน เพราะคนที่กล่าวของพวกนี้ออกมาจากปากตนจริงๆตายไปเกือบหมดแล้ว ตามความเข้าใจของผม ธรรม คือการถ่ายทอด จากรุ่นสู่รุ่น เหมือนกับการต่อเปลวเทียน แม้มันจะเป็นไฟเหมือนกัน แต่มันเป็นเทียนคนละแท่ง ไฟเหมือนกันแต่มันมีลีลาปลิวเฉพาะตัว เหมือนกับการฟังการแสดงดนตรีสด ย่อมไม่เหมือนฟังจากแผ่นบันทึก

สำหรับผมคนที่แสดงธรรม โดยต้องเอาคำพูดคนอื่นมาพูดต่อ หรือคัดลอกตำรา คือสิ่งที่เรียกว่า อนันตริยกรรม คือ แสดงธรรมอันยิ่งที่ไม่มีในตน
แปลว่าพูดของที่ตัวเองยังไม่มี ยังไม่เคยเป็น คำสอนพวกนี้จึงขาดเสน่ห์หรือลูกเล่นเฉพาะตัว

สิบเดือนที่อยู่วัด ผมเจอพวกพิลึกกึกกือมากมาย บางคนมาถึงก็พล่ามวีรกรรมอาจารย์ตัวเองดีอย่างโน่นอย่างนี้ ถ้าดีจริงคุณคงไม่มีเวลามาพล่ามอยู่ข้างหน้าผมแน่ๆ มันต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างคุณถึงได้แสวงหาทางเลือกอื่นจนต้องมาถึงที่นี่ บางคนเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังงานส่วนรวมไม่เคยช่วยเหลือ ทิ้งภาระไว้เบื้องหลังให้คนอื่นรับผิดชอบ ถอดรองเท้าสะเปะสะปะ เข้าห้องน้ำไม่ราด บางคนบินมาจากเมืองจีนวันวันไม่ทำอะไรนั่งสวดมนต์กับร่ายรำศิลปะ บางคนรู้มากคุยถึงอาจารย์ไหนประเทศไหนรู้ทุกเรื่องแต่ตื่นเช้ามาร่วมทำวัตรไม่ได้ คอยหลบงานหนัก ว่างเป็นนอน บางคนก่อนบวชขยันน่ารักพอแปลงร่างสวมจีวรบิณฑบาตเสร็จนอน งานการต้องรอคนมาใช้ถึงจะขยับ บางคนกิเลสบังคับปากให้แก้ตัวได้อย่างน่าฟังว่า ผมทำตามกฏเกณฑ์วัดได้ไม่มีปัญหาแต่ผมไม่ชอบ จิตมันไม่เป็นอิสระ นี่ยังไม่รวมถึงพวกเพี้ยนๆใส่ผ้าเหลือง ที่มองว่าคนอื่นติดอารมณ์ แต่อารมณ์ตัวเองมองไม่ออก ผมเจอตั้งแต่อาทิตย์แรก เพราะผมฝึกอย่างหนักตั้งแต่วันแรกที่เข้าวัด ถูกมองว่า เพ่งมั่ง เอาจริงเอาจังมากไปไม่เป็นธรรมชาติ ต้องอย่างอาตมานี่หรือดูพระรูปอื่นนี่ เหนื่อยก็พัก ทำสบายๆ ง่วงถ้าทนไม่ไหวก็ไปนอน ผ่านมาสิบเดือนผมไม่เคยผ่อน กำลังไม่เคยตกมีแต่จะฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมขอความรู้จากพระเพียงสองรูปเท่านั้น ผมไม่เคยเห็นผ้าเหลืองอยู่ในสายตา อยากพูดอะไรก็พูดไป บางรูปพาไปโรงพยาบาลขากลับบอกให้พาเข้าร้านอาหารอยากกินหัวปลาหม้อไฟ หมอนี่สอนคนอื่นเรื่องการละกิเลสเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่เลย เคยทำทีมาสอบอารมณ์แล้วบอกว่า ผมนี่มันไม่รู้อะไรซักอย่าง บางรูปขอแวะก๋วยเตี๋ยวเรือวัดดง บางคนห้องหับสกปรกเหม็นอับไม่ทำความสะอาดบอกว่าปล่อยวาง แต่พวกนี้พูดเรื่องธรรมะได้เป็นชั่วโมงไม่ต้องพัก ที่น่าอายคือ พวกนี้ทำหน้าที่สอนชาวบ้านเรื่องความรู้สึกตัว

คนพวกนี้ไม่ใช่หรือที่เล่นเว็บคอยตอบโน่นคุยนี่เกี่ยวกับธรรมะทุกวันนี้

ผมฟังคำสอนหลวงพ่อเทียนหลายร้อยรอบ ยังไม่เคยได้ยินตรงไหนบอกเลยว่า เหนื่อยให้หยุดพัก มีแต่บอกว่าถ้าเจออุปสรรคให้แก้ไขและทำความเพียรขึ้นให้มาก สมัยหลวงพ่อเทียนเท่าที่ผมทราบฝึกวันละสิบสองชั่วโมง ทุกวันนี้ห้าหกชั่วโมงก็ป้อแป้กันแล้วทั้งพระโยม


ปัญหาของผู้ที่เข้าใจตัวเองอยู่ในระดับที่ห่างไกลจากคนอื่นคือ แล้วชีวิตนี้จะทำอะไร จะประกอบอาชีพอะไร จะเลี้ยงตัวเองอย่างไร ผมไม่สามารถหาคำตอบให้กับทุกคน ผมเพียงเขียนขึ้นจากความรู้สึกของตัวเองว่าชีวิตมันควรจะมุ่งไปทางไหน ถ้าตัดสินใจเป็นพระไปซะชีวิตก็จะเป็นแบบหนึ่ง แต่ในมุมมองของผม การเป็นพระรอให้คนเข้าไปหาในสมัยนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล ยิ่งกับคนไทยแล้วเป็นอะไรที่ได้ผลน้อยมาก เพราะคนไปหาพระไม่ใช่ไปขอให้สอนเจริญสติ แต่ไปขอให้รับสังฆทาน

ผมเคยถูกถามหรือชักชวนหลายครั้งเรื่องการบวช แต่เรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในการพิจารณาเลย เพราะผมมั่นใจ และพิสูจน์แล้วว่าการบวชใส่จีวร ดำเนินตามกิจกรรมสงฆ์นั้น ไม่มีผลได้เปรียบใดใดต่อการเข้าใจธรรมแม้แต่นิดเดียว ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกจะไม่ครองผ้าเหลือง เพื่อพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็น ให้คนรอบตัวได้เห็นการเปลี่ยนแแปลงนิสัยใจคอ การพูดจา การกระทำ พระไม่ใช่สภาพหัวโล้นโกนคิ้ว แต่คือใครก็ได้ที่ตื่นจากตัวเองแล้วต่างหาก

โดยส่วนตัวนั้นผมยังมองว่าโลกนี้มีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้อีกมากมาก แต่เมื่อมองหาว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมด สิ่งนั้นคือการเข้าใจตัวเองในระดับสูง ซึ่งมันทำให้สิ่งอื่นในชีวิตกลายเป็นของกระจอก ผมควรจะเป็นสถาปนิกอย่างนั้นหรือ ตื่นเช้าไปทำงาน ฝ่าฟันอุปสรรคแต่ละโปรเจค เรียนรู้ของใหม่ไอเดียเจ๋งอยู่ตลอดไม่จบสิ้น รับเงินค้าจ้าง ดื่มด่ำเวลาแห่งความสำเร็จ และท้ายสุดรอเวลาที่คนที่เก่งกว่าจะเข้ามาแทนที่ และปลดระวางตัวเองในบั้นปลายชีวิต พูดง่ายๆก็คือ ผมรู้สึกว่าอาชีพการงานเกือบทั้งหมดบนโลกนี้ที่ผมรู้จักไม่ท้าทายอีกต่อไป มันคล้ายกันหมดคือ ทำเพื่อรับค่าตอบแทน ซึ่งค่าตอบแทนนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกดี อาจมีเหตุผลเก๋ๆว่า ชั้นทำในสิ่งที่รัก

อะไรที่ผมถนัดและรักมากกว่าสถาปัตยกรรม นั่นคือ การเจริญสติ แต่ความสามารถแบบนี้ ไม่ใช่ความสามารถในการเอาไว้ใช้หาเงินเป็นค่าตอบแทน มันเป็นความสามารถที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับจำนวนมากน้อยของเงินเดือน บางครั้งผมถามตัวเองว่าเป็นไปได้ไหมนะ ที่ชั้นจะทำงานเกี่ยวกับการเจริญสติซึ่งไม่ใช่พระ ไม่อยู่ในวัด และไม่ผูกมัดกับระเบียบพิธีใดใด แต่ยังมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้ ผมยังไม่ทราบเพราะยังไม่เคยพบเห็นคนประเภทนี้ มีอาชีพอะไรไหมนะที่ทำแล้วมีข้าวกินไปวันๆ และมีรายได้พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

เมื่อผมมองกรุงเทพสุดสายตาบนคอนโดของเพื่อนและบางครั้งที่สนามบิน ผมก็มั่นใจว่าผมไม่มีทางอดตายแน่ เพราะคนทั่วไปข้างล่างนั้นว่ายอยู่ในความทุกข์เกือบทั้งนั้น ถึงจะไม่ได้ค่าตอบแทน แต่ผมจะมีงานทำจนสิ้นอายุขัย ผมจะไม่มีวันปลดระวางหรือเกษียณอายุ งานแบบนี้ท้าทายกว่างานที่ต้องเลิกเมื่อสังขารไม่อำนวย

คุณพ่อเคยถามผมเมื่อมองผู้คนที่ตะกายขึ้นไปไหว้พระ เบียดเสียดกันปิดทอง บริจาคโรงศพ รดน้ำมนต์ว่า จะเปลี่ยนคนพวกนี้ได้หรือ เค้าถูกสอนทำกันตามๆมาจนมันจับต้นชนปลายไม่ได้แล้ว อยู่ดีดีไปบอกว่า ไร้สาระ คงได้ชกปากกันแน่ ผมพาเพื่อนต่างชาติไปอยุธยาไปชมวัดเก่าๆ องค์พระโตๆคับวิหาร รู้สึกว่ามันน่าทึ่ง เจดีย์สัดส่วนดีมาก แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจาก ผู้คนที่กราบอย่างนอบน้อมต่อ ปูน ก้อนอิฐ และโลหะสีทอง ผมตอบคุณพ่อไม่ได้ว่าจะเปลี่ยนคนพวกนี้ได้อย่างไร แต่ผมรู้สึกว่า งานแบบนี้ท้าทายกว่าการนั่งหน้าคอมในออฟฟิสแน่ๆ


ผมโชคดีมากที่เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 25 พออายุ 30 ก็มีสติที่พอจะเอาตัวรอดในชีวิตได้อย่างพอสมน้ำสมเนื้อ ที่พูดอย่างนั้นเพราะว่า สิบเดือนที่ผมดร็อปเรียนมาอยู่ที่วัด ผมพบลุงๆป้าๆมากมาย ทุกคนมีโรคซึ่งเป็นอุปสรรคในการฝึก กินยากันทีเป็นกำมือ เช่น โรคกระดูกโรคข้อเสื่อม ทำให้นั่งเดินจงกรมไม่ได้นาน ซึ่งต่างจากผมที่ร่างกายและใจแข็งแรง เดินมันจนกว่าจะสลบไปเอง ลุงๆป้าๆเหล่านี้ มักพูดทำนองเสียดายว่า ตอนหนุ่มๆสาวๆชั้นทำอะไรอยู่นะ คนอื่นๆอาจจะเพราะผมอยู่ในวัยหนุ่มไม่มีภาระ ผมจึงกล้าเสี่ยงเดิมพันกับชีวิตแบบนี้ แต่คำตอบง่ายๆก็คือ ผมก็แค่หลงรักมันต่างหาก



ท้าทายให้ตื่น

นอกเหนือขันธ์ห้า ..... outside the life component

ช่วงหลังมุมมองที่มีต่อ ธรรม นั้นเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองย้อนกลับไปดูความเข้าใจของตัวเองสมัยก่อน พอเริ่มปฏิบัติธรรมมุมมองชีวิตก็เริ่มแตกต่างจากคนทั่วไป มันไม่มีความคิดจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆอีก ต่อมาเมื่อความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของชีวิตเพิ่มมากขึ้นอีก ก็พบว่าแม้แต่การสื่อสารกับผู้คนที่กำลังเรียกตัวเองว่าปฏิบัติธรรมก็ยังเป็นอะไรที่ห่างกันเกินไป มันเป็นความเข้าใจคนละอย่าง ความเข้าใจชีวิตมันลงมาลึกเกินไป ในขณะที่สภาวะที่เกิดขึ้นกลับตื้นๆง่ายๆ จะให้พูดอะไรเรื่องธรรมน่ะหรือ หุบปากไว้ ยังแสดงมันออกมาได้ชัดกว่าซะอีก

ถ้าจะพูดในแง่ของสภาวะที่เกิดเพียงอย่างเดียวนั้น มันเป็นคนละเรื่องกับที่เขียนในตำราโดยผ่านตัวหนังสือ เป็นคนละเรื่องกับหลักข้อธรรมต่างๆ ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งขั้นอริยะบุคคล ไม่ใช่การรักษาศีลให้ทาน กรวดน้ำ แผ่เมตตา ไม่ใช่กิจกรรมทางสงฆ์ ไม่ใช่อภิธรรม ไม่ใช่การโยงความรู้เข้ากับสภาวะแล้วบอกว่า เรามาถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ใช่อะไรเลยที่คุณจะนึกออกมาในหัวได้ในขณะที่คุณได้ยินคำว่า พระพุทธศาสนา

ไม่ใช่เรื่องการเน้นไปที่ความว่าง ไม่ใช่การจะทำจิตให้เฉยๆ ไม่ใช่การบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ต้องคอยบอกว่านี่อัตตานั่นไม่เป็นอัตตา มันไม่ใช่การมุ่งไปละกิเลสหรือตัดตัณหาอุปทาน ขอเพียงเข้ามาสัมผัสตัวนี้ตัวเดียว ทุกอย่างเกิดมาเองทั้งหมดเลย

เมื่อก่อนผมเคยเข้าใจว่า ชีวิตทั้งหมดของคนประกอบขึ้นจากการรวมตัวกันของขันธ์ห้า เมื่อเราไปพ้นจากขันธ์ห้าเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป ผมขอถามใครซักคนก็ได้ ในเมื่อชีวิตทั้งหมดคือขันธ์ห้า จะไปพ้นจากมันได้ยังไง ไม่มีทางเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะต่อให้เห็นมันอย่างชัดเจนจนถึงส่วนละเอียดแค่ไหน มันก็แค่รู้แค่เข้าใจ บอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรา เป็นแค่อาการที่เกิดแล้วดับไป มันก็ยังติดอยู่กับขันธ์ทั้งห้าอยู่ดี อะไรคือการหลุดพ้นล่ะถ้าอย่างนั้น เพียงแต่ปัญญาแบบความคิดมันทำงานช่วยไว้แค่นั้น ถ้ายังต้องอาศัยความคิดเพื่อออกจากทุกข์ หรือว่าถ้าจะอาศัยสภาวะใจที่ว่างๆเฉยๆ เพื่อให้ลืมการทำงานของขันธ์ห้าชั่วคราว มันก็ยังติดอยู่ในวงจรของขันธ์อยู่ดี เพราะทั้งหมดนั่นคือมายาของจิต หรือขันธ์ห้ามายา

สิ่งที่ผมได้ค้นพบก็คือว่า ชีวิตไม่ได้ประกอบขึ้นมาจากขันธ์ห้าเพียงแค่นั้น มันมีตัวอื่นอีก เป็นของที่คนจำนวนน้อยรู้จัก แม้คนที่ศึกษาธรรมะ ก็จะไม่ได้สัมผัสมันถ้าไปติดว่า นอกจากขันธ์ห้าแล้วไม่มีอะไรอื่นอีก แน่นอนผมเคยเป็นอย่างนั้น เพราะคำสอนที่ถูกเขียนในตำราเล่าตามกันมาผ่านปากคน สอนมาจากปากคนที่พัฒนาตนไปได้แค่นั้น จนความจริงถูกบิดเบือนให้เป็นอย่างคำพูด และมันคือการเสียเวลาอย่างยิ่ง ไปกับการที่ไม่เปิดตาดูความจริง แต่ไปฝังหัวเชื่อคำพูดคนอื่น

ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด หมากที่พระพุทธองค์หรือแม้แต่หลวงพ่อเทียนวางไว้ ในช่วงสุดท้ายที่จะทำให้ กาลามสูตร สมบรูณ์ทันที และทำให้ใครสักคนตื่นเต็มที่ คือ อย่าเชื่อเพราะเป็นครู เท่าที่ผมทราบท่านจะถามศิษย์ของท่านว่า เชื่อท่าน หรือ เชื่อตัวเอง

ผมไม่ได้เชื่อตัวเอง แต่ความจริงที่มันปรากฏอยู่มันเป็นอย่างนั้น เมื่อไหร่ที่ความจริงปรากฏความเชื่อจะถูกทำลายลงทันที มันไม่เหมือนคำพูดของใครเลย สิ่งนี้อยู่นอกเหนือขันธ์ห้าอย่างแน่นอนและแท้จริง มันเป็นคนละส่วน มันเคยถูกขันธ์ห้าบดบังมาตลอดจนเกือบสามสิบปี แต่ตอนนี้ขันธ์ห้ากลับถูกเล่นงานซะเอง อิทธิพลของขันธ์ห้าทำอะไรสิ่งนี้ไม่ได้ มันมาได้ไกลกว่าไกลพอที่ขันธ์ห้าจะเอื้อมไม่ถึง พอมันเข้าใจตรงนี้ มันก็นึกออกว่า ทำไมถึงใช้คำว่า ที่สุดของทุกข์ หรือ ไกลจากข้าศึก มาเรียกมัน ไม่มีงานอะไรเหลืออยู่อีกแล้วนอกจาก ความต่อเนื่องเพียงประการเดียวเท่านั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสนใจอย่างมากเพราะคลุกคลีกับผู้ที่เก่งโหราศาสตร์มากคนหนึ่ง นั่นคือ ผมเคยเชื่อว่าหรือมีสมมติฐานว่า ถ้าคนเราเข้าใจธรรมะ แม้ชีวิตจะตกอยู่ใต้ดวงดาวจักรราศี มีชะตากรรมไปตามนั้น เราจะไม่ทุกข์เพราะใจอยู่เหนือชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตไว้ เค้าเห็นด้วยเพราะว่า ถ้าคนนั้นไม่ทุกข์ใจ ชีวิตจะขึ้นจะลงย่อมไร้ความหมาย ถ้ามีคนบอกว่าอย่าเดินทางไปทิศใต้นะคุณจะพบปัญหากับผู้ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำ แต่ถ้าคุณไม่กลัวปัญหา คำทำนายจะจริงเท็จย่อมไร้ผลแต่มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกลึกๆว่า สมมติฐานนั้นผิด เพราะขนาดขันธ์ห้าที่ยากหนักหนาสิ่งนี้ยังทะลวงตัดออกมาได้ กับแค่ความสัมพันธ์กับดวงดาวฟากฟ้าเวลาเกิดย่อมต้องเป็นไปได้แน่นอน สิ่งนี้ไม่มีทางถูกลิขิตด้วยสิ่งอื่น นอกจากตัวมันเอง ผมค่อนข้างมั่นใจว่า คนที่ไปถึงสุดทาง จะอยู่เหนือคำพยากรณ์ทั้งปวง จะไม่มีผู้ใดอ่านอนาคตและการกระทำของคนประเภทนี้ได้

มันยังเป็นแค่สมมิฐานที่ตั้งไว้ และผมจะพิสูจน์มัน


ขอให้ ตื่นเนื้อ ตื่นตัว ตื่นใจ แล้ววันนี้ของคุณจะสวยงาม

หุบปาก .....

ผมขอทางวัดเก็บอารมณ์ จริงๆผมแค่อยากรู้ว่า ข้อดีข้อเสียของมันเป็นอย่างไร อาจารย์บางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี เอาตัวเองกระโดดลงไปทดสอบดีกว่าจะมานั่งฟังคนอื่น ผมจะตัดสินเองว่า มันดีหรือไม่

ผมพบว่ามันดี มันดีสำหรับคนที่เอาจริง และเข้าใจในระดับหนึ่ง หมายถึงพวกที่แสวงหาคำตอบต่อการปฏิบัติ มันจะไม่ดีสำหรับคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เหลาะแหละ อยากจะเอา อยากจะเป็น และพวกติดคำสอนของอาจารย์คนอื่นๆ เพราะมันจะตีกันมั่วไปหมด

ในระหว่างเก็บอารมณ์นั้น ไม่ต้องช่วยงานวัดอะไรทั้งสิ้น ห้ามพูดคุยกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง มันก็มีเรื่องตลกตรงที่ คนที่ไม่รู้ว่าเราเก็บอารมณ์ จะเข้ามาพูดคุย ถามทาง ขอข้อมูลทางวัด ส่วนใหญ่มีอาการงง ถามแล้วไม่ตอบต้องตะโกนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เรียกแล้วไม่หัน ใช้ให้ทำงานแล้วเมินเฉย ผมจบลงด้วยการเดินหนี โดยส่วนตัวผมชอบการเก็บอารมณ์ เพราะถ้าเทียบกับการไม่เก็บอารมณ์ ผมฝึกแบบเข้ารูปแบบได้วันละ 13 ชั่วโมง ถ้าปรกติเต็มที่จะอยู่ประมาณ 9 ชั่วโมง

การเก็บอารมณ์มีผลอย่างมากเรื่องความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนี้สำคัญมากมาก มันมีทั้งสภาวะที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้น และตัวที่ไม่ดีนี่เองที่มันจะช่วยเรา แทนที่เราจะปฏิเสธมันหนีมัน ถ้าเราผ่านมันได้ เข้าใจมันได้ ชนมันตรงๆ คุณจะรู้ตัวเลยว่า ไม่แน่เท่าไหร่หรอก กระจอก อย่างที่ผมเจอมาก็คือ ผมติดความไม่เข้าใจบางอย่าง ซึ่งหาทางออกไม่เจอ มันสงสัยอะไรซักอย่าง เกี่ยวกับการเดินทางไปต่อ ความคิดหาทางออกให้ไม่ได้ ลองทุกอย่างเท่าที่นึกออก วนไปวนมาเหมือนปลาว่ายในอ่าง

สุดท้ายเหลืออด บอกออกไปในใจว่า

นี่ไอ้เจ้าความคิด ถ้าแน่จริงเหมือนที่คิด ก็ออกมาทำเอง ไอ้ความคิดเฮงซวย มัวแต่พูดพล่าม สอนนั่นสอนนี่อยู่ได้ แนะนำให้ทำแต่ละอย่างไม่ได้เรื่อง หุบปากแล้วนั่งดูเฉยๆ เรื่องนี้เกินความสามารถของแก ไม่ต้องมาสะเออะ คนที่เหนื่อยทำตามแกบอกนี่ชั้นนะเว้ย คนที่รับความผิดพลาดตามที่แกบอกก็ชั้นนะเฟ้ย เงียบซะ โง่แล้วยังไม่เจียม แกมันรู้ได้เท่าที่แกรู้นั่นแหละ มากเกินนั้นไม่ต้องมาเสนอหน้า

ได้ผลแฮะ มันเงียบไปประมาณ 2-3 วินาที ถ้าเป็นคน คงจะงงงง อยู่ดีดีมาว่าให้ขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นความคิดนั่นล่ะที่ว่าตัวมันเอง

มันเหมือนกับจะเกิดเรื่องอะไรในใจบางอย่างที่ทำให้ติดขัด อึดอัดใจอยู่ แต่ตอนนั้นเกิดความท้อแท้สับสนขึ้นในใจ แล้วมันก็เริ่มคิดขึ้นมาอีก ว่าคงไปต่อจากจุดนี้ไม่ได้แล้ว รู้มากขนาดนี้ ฝึกมามากขนาดนี้ แต่คงไปไม่ไหวแล้ว ทางไหนไปต่อกันแน่นะ อย่างไหนถูกต้องกันแน่ ใครก็ได้เดินมาบอกทีเถอะว่าชั้นจะหลุดจากตัวนี้ยังไง แต่ถึงมีใครโผล่มาชั้นจะถามอะไรเค้าดี ชั้นสงสัยก็จริง แต่สงสัยอะไรล่ะ ชั้นติดอะไรอยู่นะ แล้วมันก็นึกไปว่า พระพุทธเจ้า หลวงพ่อเทียน อริยบุคคลทั้งหมด ต้องเคยผ่านสภาพจิตใจท้อแท้อย่างนี้เหมือนกันแน่ สองคนแรกยิ่งไม่มีคนแนะนำด้วย พวกเค้าผ่านไปได้ยังไงกัน ผมไม่รู้ ผมคิดไม่ออก ผมเดาไม่ออก แต่ผมเชื่อว่าคนพวกนั้นก็ต้องเคยไม่รู้แบบนี้เหมือนกันแน่ๆ

แต่ว่า ถ้าชั้นไม่รู้อยู่อย่างนี้ แล้วชั้นไม่ยอมแพ้ไอ้สภาพอึดอัดไร้ทางไปที่สิ้นหวังอย่างนี้ล่ะ ถึงไม่รู้ชั้นก็จะสู้ต่อ สู้มันด้วยความรู้สึกตัวล้วนๆอยู่แค่นี้ล่ะ ไปต่อจากนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ชั้นจะไม่กลัวความสิ้นหวังท้อแท้สับปะรังเคนี่ ชั้นไม่ไปต่อจากตรงนี้ก็ได้ แต่ชั้นจะไม่ถอยกลับ และชั้นจะไม่มีวันเลิก เอาละไปด้วยกันความรู้สึกตัวชั้นจะไปกับนาย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นเราจะไปด้วยกัน

อยู่ดีดีความรู้สึกก็ตื่นขึ้นทั้งตัว เป็นความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาอย่างชัดเจนแบบที่ไม่เคยชัดเท่านี้มาก่อน มันรู้สึกตื่นตัวตื่นใจ เหมือนกับฟ้าจรดดิน มันเป็นการพัฒนาขึ้นอีกครั้งของการู้สึกตัว เหมือนมันรอจังหวะอะไรซักอย่างอยู่แล้ว รอสภาวะที่เหมาะสมที่มันจะระเบิดออกมา พอไปกระตุ้น มันถูกปั๊บ มันทะยานออกมาเหมือนฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงแล้วเมฆหมอกกระจายหายไปหมด กลายเป็นท้องฟ้า ที่สว่างไม่มีอะไรเลย ผมได้เข้าใจความหมายของคำว่าตื่น ว่ามันเป็นแบบไหน มันพร้อมจะเจอปัญหาทุกชนิด และมันรู้ด้วยว่า ไม่ว่ามายังไงก็จัดการได้ จิตใจตอนนั้นมันกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และพร้อมกล้าได้กล้าเสีย เดินเข้าไปในถ้ำที่ไม่รู้ปลายทางว่าแสงอยู่ตรงไหน แต่ตัวคนเดินนี่สิสว่างอยู่ทั้งตัว ทางออกไม่ใช่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆซักหน่อย ทางออกอยู่กับชั้นมาตลอดตั้งแต่เริ่มเดินทางเข้าถ้ำแล้ว

ความดีงามทั้งหมดของมนุษย์สถิตอยู่ทั้งหมดตรงนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ความกล้าหาญ ความไม่ท้อถอย ความเมตตา ความคิดในด้านดี ความสร้างสรรค์ ความอ่อนโยน ทุกอย่างมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งเดียวเท่านั้น คือความรู้สึกตัวล้วนๆที่ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ผมแทบจะคุกเข่ากราบตัวเองลงไปที่ดินตอนนั้นเลยว่า ทำไมคนเราถึงมีสิ่งที่ดีงามขนาดนี้อยู่ในตัว สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยมนุษยชาติได้

พอมันตื่นขนาดนั้น ทิศทางของความคิดเปลี่ยนไปทันที่ มันเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความไม่ย่อท้ออุปสรรค และเข้าใจหนทางวิธีเดินทางไปต่อทันที นี่คือ ต้นตอของความคิด ไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน อริยบุคคลทั้งหมดต้องรู้ ต้องเข้าใจ กลไกตรงนี้ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้

นี่คือวิธีควบคุมความคิด คนเราสามารถควบคุมความคิดได้อย่างแน่นอน ผมเป็นคนหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้ จะให้มันคิดไปทางไหน มันมีหางเสือ เอาไว้บังคับได้อยู่ เพียงต้องรู้จักหางเสือตัวนี้เท่านั้น นี่คือวิธีใช้ความคิดกับชีวิตอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุดของมนุษย์ ที่ว่าคนเราใช้สมองเพียง 10% อีก 90% นั้นสถิตอยู่ตรงนี้เอง นี่คือต้นตอของความคิดตัวที่หนึ่ง

ต้นตอของความคิดตัวที่สอง คือ ความรู้สึกตัวที่แนบแน่นชัดเจนต่อเนื่องเต็มอิ่ม เพราะจุดนั้น ความคิดจะไม่ทำงานโดยตัวของมันเอง หรือมันคิดไม่ได้ เหมือนกับ คนเรากลืนน้ำลายกับหายใจพร้อมกันไม่ได้นั่นเอง ความคิดของคนเราคิดมาตลอด เพราะความรู้สึกตัวมันขาดๆเกินๆ มันไม่อิ่ม ถ้าเมื่อไหร่มันอิ่ม ความคิดจะเลิกโหยหา มันจะเลิกดิ้นรน และขัดแย้งในตัวมันเอง มันจะหยุดคิด คนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเพราะมันไม่เห็นไม่รู้จักความรู้สึกตัวนี่เอง

และมันคือทางเข้าแห่งการไปอยู่เหนือความคิด

แล้วอยู่ดีดีมันก็เข้าใจเรื่อง อวิชาสาวะ กามาสาวะ ภวาสาวะ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา มันทำงานอย่างนี้เอง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจเรื่องที่เคยติดขัดอึดอัดใจทั้งหมดโดยการตระหนักเพียงอึดใจเดียว เพราะ เราไม่ทันความคิด เพราะความอยากในการไปต่อ เพราะการยึดติด ในคำสอนของตถาคต ของหลวงพ่อเทียน ของพระอริยบุคคล และความเชื่อของตัวเอง จึงทำให้เราละเลยหลงลืม สภาวะที่เกิดหน้างานจริงๆ มันไปติดอยู่กับคำพูดของคนอื่น จึงดิ้นรนไปตามคำสอนนั้นๆ ทั้งๆที่ ธรรม ไม่ใช่ตัวคำสอน คำบอกเรื่องวิธี แต่เป็นตัวที่เรากำลังเผชิญสดสดอยู่นี่ต่างหาก การที่จิตจะหลุดพ้นจากคำสอนทั้งหมด อยู่ที่ ความรู้สึกตัวเพรียวๆ เพียงตัวเดียวเท่านั้น มันเป็นศีลปรมัตถ์โดยตัวมันเอง จิตเป็นอิสระจากคำสอนธรรมของผู้อื่น ปัญญาที่เกิดจากการตื่นได้กำเนิดขึ้นเพื่อทะลวงฝ่าจุดนี้ไปได้แล้ว

ปัญหา และ คำตอบทั้งหมด จบลงด้วยคำว่า รู้สึกตัวล้วนๆ

พอเข้าใจมาถึงตรงนี้ ก็รู้ตัวเองเลยว่า ความเข้าใจแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว มันไกลเกินไปจากความเข้าใจของคนทั่วไป มันไกลเกินไปจากผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน คนเราสามารถควบคุมความคิดได้ วิธีควบคุมความคิดอยู่ที่ความรู้สึกตัวล้วนๆ นอกจากนั้นที่ยิ่งไปกว่า คนเรายังควบคุมความรู้สึกตัวได้ด้วย ด้วยการเห็นความรู้สึกตัวล้วนๆแบบนี้อย่างต่อเนื่องไร้ช่องโหว่ มันไปไกลจาก กฎไตรลักษณ์เต็มที่แล้ว

ในหนึ่งช่วงชีวิตของคน สิ่งนี้ไม่ติดอยู่กับรูป สิ่งนี้เที่ยง และสิ่งนี้บังคับบัญชาได้ ขอให้เข้าใจวิธีถือหางเสือไว้แค่นั้น

หลังจากนั้นตัวเบา เบาแขนเบาขา ใจปลอดโปร่งอยู่ตลอด เป็นประมาณสองวัน แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่เอาแล้ว ไม่สนแล้ว อยากเกิดก็เกิดไป อันนั้นยังไม่ใช่ล้วนๆที่แท้จริง เป็นเพียงบททดสอบของผู้ที่ติดในความอยาก มันต้องรู้สึกตัวล้วนๆ อันเป็นพื้นฐานง่ายๆ ธรรมดาๆ แบบนี้ต่างหาก รู้สึกแล้วไม่มีอะไรพิเศษ มันไม่เคยเปลี่ยนไปกับความเบา ความหนัก มันไม่เปลี่ยนไปตามอาการของจิตเลย มันไม่เปลี่ยนไปตามอายุ มันเป็นปรกติโดยตัวของมันเอง

มันต้องของแบบนี้ซิถึงจะเรียกว่า ธรรม ของที่รู้แล้วเป็นอยู่อย่างนี้สิ ความเข้าใจที่เกินเลยขอบเขตของมนุษย์ทั่วไปอย่างนี้ต่างหากที่ผมเคยแสวงหา สิ่งแบบนี้สิถึงจะไม่มีสอนที่ยุโรป มันเกินความสามารถจะเข้าใจด้วยความคิดของมนุษย์ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุยถกเถียงกับใครเกี่ยวกับธรรมะ รู้แล้วพูดไม่ได้ ความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์เยอะเต็มไปหมด แต่พอพูดออกมาเหลือเพียงคำว่า “รู้สึกตัวเอาไว้นะ”

หลังจากเก็บอารมณ์แล้ว เจ้าหน้าที่ทางวัดถามผมว่า มีอะไรจะถามหลวงพ่อไหม ปรกติต้องมีการสอบอารมณ์ ผมบอกไม่มีคำถาม เจ้าหน้าที่เข้าใจไปว่า เก็บแล้วไม่รู้อะไร ไม่เจออะไรเลยหรือ แบบนี้เก็บไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมได้แต่ยิ้ม ผมมีคำตอบแล้วจะให้ไปหาคำตอบที่ไหนอีก


สุดท้ายนี้ฝากไว้ให้กับคนที่ ถามเรื่องการขอให้ผมสอนนะครับ ผมขอตอบเลยว่า ตราบใดที่ไม่ถึงที่สุด ผมจะไม่สอนใครแบบจริงจัง อาจจะพอแนะนำได้บ้าง แต่ประเภทเปิดอบรม ตั้งสำนัก นัดกันไปเป็นหมู่คณะ สร้างความสนิทสนนคุ้นเคย ผมไม่ทำ เพราะจากที่ผมสังเกต คนที่ทำของพวกนี้ ถ้าไม่ใช่พวกตัวเด็ดๆไปเลย จะเป็นพวกที่ยังติดอยู่ในขั้นวิปัสสนูแทบทั้งสิ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า คนที่มาไกลจริงๆ จะไม่ถกเถียงธรรมะ แม้ฟังของที่ไม่จริงเค้าก็จะตั้งใจฟังเงียบๆ และมุ่งแต่ฝึกฝนตัวเองเท่านั้น มีความเด็ดเดี่ยวสูง วิธีรองรับคำพูดของคนประเภทนี้คือ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

สิ่งที่ผมเขียนขึ้นไม่ใช่ต้องการหาลูกศิษย์ หาแนวร่วมขบวนการ หรือประกาศความแน่ หรือ พยายามลบคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆที่สอนในทิศทางต่างกัน ซึ่งผมมีความเห็นว่า แนวทางปฏิบัติที่ต่างกัน จะนำไปสู่จุดจบที่ต่างกัน ทุกทางมีจุดจบของมัน แต่ตรงไหนล่ะ มันอยู่เหนือความคิดได้อย่างแท้จริงไหม เพราะตั้งแต่เริ่มแรกปฏิบัติผมสนใจแค่สิ่งนี้เท่านั้น เรื่องทุกข์ไม่ทุกข์เป็นเรื่องรองลงมา

ผมเขียนเพื่อคนที่สนใจเรื่องของความรู้สึกตัวเท่านั้น โดยบอกเล่าประสบการณ์ต่อการพิสูจน์คำสอนต่อพระบ้านนอกไม่รู้หนังสือ ที่ผมเคยคิดในใจเมื่อห้าปีก่อนว่าขี้โม้ ผมไตร่ตรองดีแล้วว่าบทความที่เขียนขึ้นนี้ มันอาจจะเป็นกำลังใจให้ใครที่กำลังพิสูจน์เฉกเช่นกันอยู่ แต่กำลังประสบปัญหาไร้ทางไป ผมยืนยันได้เลยว่า การหลุดจากปัญหามีอยู่จริง มันยากก็จริงคนที่จะเอาชนะมันต้องแน่มากๆ คือต้องทุ่มเท หรือหลงรักมันจริงๆ และอย่าปฏิเสธความเป็นจริงที่ปรากฏตรงหน้า สิ่งที่ทำขึ้นสร้างขึ้นจะตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ทั้งหมด ในหนึ่งช่วงชีวิตมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เป็นไปกับกฏไตรลักษณ์ สิ่งนั้นคือ ควมรู้สึกตัวล้วนๆ



ขอวันนี้ของท่านสวยงามต่อไป

ตรงกลางระหว่างของคู่ ..... between duel

สภาวะนี้เกิดซักพักแล้ว แต่พึ่งเกิดความเข้าใจต่อมันครั้งแรกตอนที่กำลังนั่งเรือชมหิงห้อยอยู่ที่อัมพวา มันเห็น มันรู้ มันเข้าใจ สองตัวที่วิ่งขนานกันอยู่ มันเกาะเกี่ยวกันไม่ได้ มันเป็นของเบสิคที่สุดสองอย่างของชีวิตมนุษย์ ที่แยกขาดจากกัน

ตัวแรก คือ ความรู้สึกกายล้วนๆมันตื่นชัดเจนอยู่ตลอด สิ่งนี้ไม่มีเกิดไม่มีดับ ไม่อยู่ในกฏไตรลักษณ์
อีกตัว คือ ความคิด เกิดแล้วดับเลย ไม่มีการตั้งอยู่ เพราะไม่มีอะไรไปยึดมันให้ตั้งอยู่

สภาวะนี้อยู่ตรงกลางของสองตัวนี้ หรือจะเรียกว่าตัวที่มันทำหน้าที่เห็น เห็นล้วนๆ

มันยังคิดแต่ไม่ไปกับความคิด จะเรียกว่า เหนือความคิดก็ได้ ความคิดชักใยชีวิตไม่ได้แล้ว

ปรกติแล้วเวลาเราฝึก เมื่อเราเห็นอะไร เราจะเป็น หรือผูกอยู่กับสิ่งที่เรากำลังเห็นขณะนั้น แต่มาถึงจุดนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว มันไม่เป็นอะไรเลย ยอมรับจากใจเลยว่า ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร นึกออกเพียงคำเดียวว่า อุเบกขา มันเงียบ มันไม่โอนเอนไปข้างใดข้างหนึ่ง มันรู้สึกหมดภาระ ทุกอย่างเกิดเหมือนเดิม แต่ดับลงในทันที มันไม่เป็นอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แม้จะนั่งรถเร็วก็ไม่รู้สึกกลัว มันเพียงเห็นสิ่งที่เกิดมา แล้วมองอยู่ มันคล้ายๆจะรู้โดยไม่ต้องคิดว่า ชีวิตไม่มีทางเป็นอะไร คล้ายๆกับว่าต่อให้ตายลงไปขณะนี้ก็ไม่เป็นอะไร

โทสะโมหะโลภะ ไม่ต้องมาพูดกันแล้ว กระจอกเกิน จุดนี้ไม่ยุ่งกับของพวกนี้อีก แม้มันจะเกิดมันก็ไม่เข้าไป สติปัญญามันบังไว้ไม่ให้มันเข้าไปเกาะอารมณ์ พวกนี้

ไม่มีอะไรจะอธิบาย มันไม่ใช่เรื่องของความรู้สารพัดที่ต้องทุ่มเถียง มันเป็นเรื่องของความเป็น
มันไม่ใช่เรื่องของความว่างด้วย ความว่างแคบเกินไปที่จะไปจำกัดความต่อมัน ไม่ใช่เรื่องของการละกิเลส เพราะไม่มีอะไรจะต้องละ ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อเทียน ไม่เกี่ยวกับนิพพาน ไม่เกี่ยวกับอรหันต์ ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเหมือนเป็นสิ่งที่ช่วยผลักให้มาเข้าใจตรงนี้ พอมาถึงตรงนี้พวกเค้าก็หมดหน้าที่แล้ว

มันไปเกินเรื่องของความไม่ทุกข์ มันเหมือนเป็นอิสระต่อสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเอง ไม่มีความดีใจ มีแต่ความตื่นเนื้อตื่นตัว และไม่กลัวชีวิต

ความรู้แบบวิปัสสนู ความรู้แบบจินตญาณ หายไป มันคล้ายๆจะพูดได้ว่า มันเหลือแต่ความล้วนๆ

ใครที่บังเอิญได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนขึ้น แล้วสนใจอยากทดสอบดู บอกได้เพียงว่า มีเพียงสองสิ่งที่ต้องฝึก
หนึ่ง ให้เห็นความรู้สึกกายล้วนๆให้ชัด
สอง ให้เห็นความคิดล้วนๆให้ชัด

เมื่อการเห็นต่อสองตัวนี้ชัดขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง มันคล้ายๆกับการชักกะเย่อ ที่สองด้านมีแรงเท่ากัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เชือกจะเริ่มขาดออกจากกัน






ขอให้วันนี้สวยงามต่อไป

ต้นตอของความคิด .....

แน่นอนว่าจะไม่มีการบอกอยู่แล้วว่ามันคืออะไร แต่เมื่อมีใครซักคนเดินมาถึงจุดนี้ได้ คนที่เดินมาก่อนแล้วจะบอกรับรองคุณได้เองว่า “ใช่แล้ว”

ผมเขียนบทความอันนี้ขึ้นเพียงแค่เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้มาเข้าใจ ในจุดที่หลวงพ่อเทียนกล่าวไว้เรื่องของลำดับอารมณ์ปฏิบัติด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว การเข้ามารู้เข้าใจจุดนี้มีจริง เกิดขึ้นได้จริง รู้แล้วใช้ได้จริง

ต้นตอของของความคิดอันนี้เป็นคนละเรื่องกับ สมมตฐานของความคิด
สมมตฐานของความคิดเป็นลักษณะของการคิด ว่าเรื่องที่คิดมีที่มาจากอะไร คนที่อยู่อารมณ์รูปนาม ต้องรู้ดีอยู่แล้วคงไม่เสียเวลาอธิบาย

แต่ต้นตอของความคิดเป็นเรื่องกลไกของความคิด ทิศทางที่ความคิดมุ่งไป ทำไมความคิดถึงมุ่งมาทางนี้ ทำไมบางทีความคิดมุ่งไปทางอื่น และทำอย่างไรให้มันหยุดคิดโดยใช้กลไกตามธรรมชาติ ไม่ใช่การห้ามไม่ให้คิด ปล่อยให้คิดแต่มันคิดขึ้นมาไม่ได้

เมื่อเดินมาถึงตรงนี้จะเข้าใจ สภาวะการข้ามอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ สภาวะที่เรียกว่ามันเป็นของที่ตรงข้ามกัน เมื่อตัวหนึ่งเกิดอีกตัวหนึ่งจะเกิดไม่ได้ สภาวะที่เรียกว่า อึดใจเดียว สภาวะแมวไม่เคยกลัวหนู สภาวะที่ศีลกลายเป็นพระ

ขันธ์ห้ายังทำงานแต่ปรุงไม่ได้ รูปมีแต่ไม่ทุกข์กับรูป เวทนามีแต่ไม่ทุกข์กับเวทนา สัญญาสังขารมีแต่ไม่ทุกข์ วิญญาณมีแต่ไม่ทุกข์ ขันธ์ห้าถูกแยกออกจาก ศีลสมาธิปัญญา อย่างเด็ดขาดมันเป็นคนละส่วนกัน

จากอาการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป จะเหลือเพียงอาการเกิด-ดับ เพราะอุปทานถูกกำจัดออกไปแล้ว อุปทานตัวนี้เป็นคนละตัวกับการยึดมั่นถือมั่นในลักษณะความคิดนะครับ นี่คืออุปทานที่ยึดอารมณ์ เหมือนกับที่มีหลายๆคนที่เริ่มฝึก แล้วถามว่า ทำไมรู้เท่าทันความโกรธแล้ว ความโกรธไม่ดับ หรือความโกรธดับแต่ทำไมยังทุกข์อยู่ นั่นเพราะอุปทานมันเสวยอารมณ์อยู่

เมื่อไม่ยึดอารมณ์ การตั้งอยู่จึงไม่มี มันเร็วมากนะครับ

ถึงตอนนี้ลองไปเปิดหนังสือ ธรรมะ เซน เต๋า ที่พรรณนาความเลิศหรูของความว่างทั้งปวง คุณจะรู้ว่าของจริงเป็นคนละเรื่องกับที่เขียน มันไม่ได้ว่างอย่างที่แสดงออกทางหยดหมึกตามที่เคยเข้าใจซักหน่อย

คุณจะเข้าใจว่า ทำไมสภาวธรรมถึงพูดออกมาไม่ได้ เพราะว่า สภาวะนี้เป็นคนละส่วนกับความคิด มันอยู่นอกเหนือการทำงานของความคิด ความคิดไปจับต้องมันไม่ได้ มันสัมผัสชัดเจนแต่พอจะพูดกลับพูดบรรยายไม่ได้เพราะ พอสัมผัสมันชัดอยู่อย่างนั้น ความคิดก็หยุดทำงานไปเฉยๆ เมื่อไม่คิดมันก็พูดให้รู้เรื่องไม่ได้

ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่า คนแรกที่กล้าประกาศสอนเรื่องนี้อออกมาใจเด็ดขนาดไหน เพราะมันเป็นสภาวะที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนรู้จักมาก่อน มันไม่ใช่สุข มันไม่ใช่ทุกข์ มันเป็นสภาพที่บรรยายไม่ได้เลย ถ้าแพล่มออกมาได้ก็ไม่ใช่ธรรมแน่นอน เพราะกลไกธรรมชาติมันล็อคไว้

มันต้องเหนื่อยขนาดไหนกันที่บอกได้เพียงแค่วิธีเดินเข้ามาเจอ สิ่งที่มนุษย์ไม่รู้จัก มีกี่คนที่จะมานั่งทนฟัง แล้วยังให้ทดลองทำบอกว่าอย่างช้าเจ็ดปี

สิ่งเหล่านี้มีจริงและพบได้ถ้าคุณแน่พอ สำหรับคนที่กำลังเดินทางแล้วยังมาไม่ถึงตรงนี้ ผมขอให้กำลังใจจากประโยคที่ผมชอบมาก



“มันจะเกิดขึ้นกับคุณต่อเมื่อคุณพร้อมแล้วที่จะรับมือกับมัน”



ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

กระจอก .....

ผมตัดสินใจจะดร็อปเรียนครั้งแรกตั้งแต่สามปีก่อนหน้าแล้ว อีกครั้งหนึ่งนั้นต่อจากนั้นหนึ่งปี และครั้งสุดท้ายผมก็ทำมันได้จริงๆ สองครั้งแรกนั้นผมถูกยับยั้งโดยคุณแม่ของผม ซึ่งทำให้เราทะเลาะกัน ครั้งที่สองผมถูกยับยั้งโดยคุณพ่อของผม เหตุผลทั้งสองครั้งนั้นเหมือนกัน นั่นคือ ควรจะเรียนให้จบก่อน เรื่องเรียนต้องมาก่อน ในตอนนั้นผมไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมาแย้งได้ แต่ใจผมมันแย้งอยู่ตลอดเวลา มันบอกว่า ชีวิตนายไม่ควรมาเสียเวลาอยู่กับเรื่องแบบนี้

นี่เป็นความคิดที่ทำให้ผมตัดสินใจดร็อปเรียนสิบเดือน เพื่อกลับมาใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการเจริญสติ

ตั้งแต่เมื่อผมเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของตัวเอง การมุ่งหน้าเอาชนะอารมณ์ตัวเอง การไปให้เหนือการควบคุมของความคิด ผมรู้สึกขึ้นมาว่า ไม่มีงานไหนจะสำคัญกว่านี้อีกแล้วในชีวิต ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง นี่คือสิ่งแรกที่จะต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป

ผมเรียนได้ดีทีเดียว ในฐานะคนต่างชาติที่ภาษายังไม่แข็งนัก อาจารย์เกือบทุกคนที่ผมผ่านการร่วมงานด้วย มักจะชอบชื่นชมในผลงาน การเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับหรือแม้แต่การจับแก่นของคำสอนของอาจารย์ได้ถูกต้อง ที่แม้ผมจะไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในการบรรยาย ผลงานทำให้อาจารย์และเพื่อนๆหลายคนแปลกใจ และให้กำลังใจเสมอว่าภาษาไม่ใช่อุปสรรคหรอก

เรียนไปซักพักผมก็คงใช้ภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว ขยันอดหลับอดนอนไม่กี่ปีเดี๋ยวก็เรียนจบ ตื่นนอนตีสองครึ่งไปทำงาน กลับมานอนตอนสายสายปั่นจักรยานไปเรียน แค่ทุ่มเทไปกับเรื่องเรียน เรื่องส่วนตัวพักไว้ก่อนแค่นี้เกรดก็ออกมาสวยแล้ว

แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันกระจอกเกินไป ใครใครก็ทำได้ ทุกวันนี้ก็มีคนจำนวนมากที่ทำแบบนี้อยู่ ผมจึงเริ่มจับจ้องสังเกตอาจารย์ของผม คนพวกนี้ต้องเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะทำงานหนัก หัวดีไอเดียเจ๋ง ความรับผิดชอบสูง แต่ผมกลับพบว่าชีวิตเหล่าอาจารย์ ไม่ได้น่าพิสมัยซักเท่าไหร่ คนพวกนี้สีหน้าเหนื่อยอ่อน คร่ำเคร่ง มีภาระเยอะ มาทำงานไม่ตรงเวลา เพราะต้องไปบรรยายหลายที่เกินไป บางคนนักเรียนไม่ชอบเพราะโหดไร้น้ำใจ สอนไม่ได้ความ

ครั้งสำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจดร็อปเรียน ผมอยู่ในห้องเล็กเชอร์ยาวนานติดต่อกันแปดชั่วโมง ผมถามตัวเองว่า ชีวิตนายต้องการอย่างนี้จริงหรือ ผมมองดูอาจารย์ตัวเอง เค้าเป็นวิศวกรระดับเก่งมากมาก ที่ทำงานโคอยู่กับสถาปนิกหญิงระดับโลก ผมมองเค้าแล้วบอกตัวเองว่า ถ้านายพยายามอย่างหนัก นายคงจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้กระมั้ง หมอนี้มีดีตรงไหนสีหน้าอ่อนล้า คงต้องกลับบ้านเตรียมงานของวันต่อไปอีก ตื่นแต่เช้าขับรถไปให้ทันเข้างาน เพราะคงมีลูกน้องมากมายรอขอความเห็นของเค้า คงมีลูกเต้าให้ดูแล ต้องคอยกังวลจะเอาลูกเข้าเรียนที่ไหน ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ชีวิตต้องคอยบ่นกับราคาน้ำมันที่ขึ้นๆลงๆ คงมีเรื่องไม่ลงรอยกับลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานบ้าง ต้องเคยมีปัญหาเครื่องบินดีเลย์แน่ ปีนึงคงมีหยุดพักร้อนซักสามอาทิตย์ คงไปเที่ยวหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งปี แล้วกลับมาลุยงานหนักต่อไป เป็นอย่างนี้ซ้ำๆไปเรื่อย

เอ๊ะ.... ไม่ใช่แค่หมอนี่นี่นา ทุกคนส่วนใหญ่ก็มีสภาพคล้ายๆอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ แม้ผมจะพยายามเรียนให้จบ ไต้เต้าเพื่อให้ได้งานการดีดีทำ แม้ผมกำลังเรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ถ้าผลของมันออกมาแล้วเป็นเหมือนคนอื่นๆแบบนี้ จะเรียกว่าคนเก่งหรืออะไรก็ตาม ชีวิตกระจอกแบบที่ใครใครก็กำลังทำได้อยู่นี่ ผมไม่เอา ผมไม่อยากมีชีวิตเหมือนคนทั่วไปที่มีภาระผูกพันชีวิตแบบนี้

ผมถามเพื่อนหลายๆคนซึ่งเป็นคนต่างชาติว่า เฮ้ ..ชีวิตนายต้องการอะไร จุดมุ่งหมายในชีวิตของนายคืออะไร บางคนบอกว่า มีบริษัทของตัวเอง แต่งงานกับคนที่รัก สร้างครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินไปเที่ยวทุกปี บางคนบอกว่าได้ทำงานเสียสละ ได้เป็นประโยชน์เพื่อคนอื่นให้กับองค์กรซักแห่ง มีหลายคนตอบปัญหานี้ไม่ได้ บางคนบอกว่ายังไม่รู้ นี่รวมไปถึงคนมีอายุด้วยนะครับ ผมไม่รู้สึกปลื้มกับคำตอบเท่าไหร่ ผมมองเห็นหลายคนแล้ว ที่เค้าประสบกับสิ่งที่พวกนี้อยากได้แล้ว ไม่เห็นว่าชีวิตมันจะน่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่

เมื่อผมมองคนรวยมีเงินล้นฟ้า ผู้มีอำนาจทางการเมือง หรือดารานักแสดง เจ้าของธุรกิจ ชีวิตคนพวกนี้ไม่มีความสุขอย่างที่สายตาคนจนๆมองหรอก เพราะอะไร เพราะผมโชคดีที่ครอบครัวทางฝั่งคุณพ่อผมทำงานด้านโหราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง คนที่มาหาให้ทำนายมีทุกประเภทตั้งแต่รวยจัด จนถึงจนจัด หรือเชื้อพระวงศ์ ทุกระดับไม่มีใครไม่มีปัญหาชีวิต ทุกคนมีทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีใครมีความสุขจริงๆเลยซักคนเดียว ผมไม่ต้องการมีชีวิตกระจอกเหมือนคนพวกนี้ ที่ภายนอกดูดี แต่ภายในแย่

ชีวิตรุ่นผมคงไม่มีอะไรสนุกไปกว่าเรื่องผู้หญิง แต่ผมสังเกตว่าไม่ว่าจะคนไทย หรือต่างชาติ การคบผู้หญิงที่ละหลายๆคน หรือเปลี่ยนคู่นอนได้บ่อย กลับเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ชีวิตแบบนี้ไม่แน่ซักเท่าไหร่ คนที่สามารถรักคนได้ทั้งแผ่นดิน ต่างหากแน่จริง


แล้วอะไรล่ะที่มันไม่กระจอก

สิ่งที่ผมถามตัวเอง จนท้ายที่สุดได้คำตอบต่อตัวเองออกมานั่นคือ
การเอาชนะตัวเองคือ สิ่งที่ไม่กระจอก มันโคตรยาก ความสำเร็จนี้ต้องไม่ใช่ให้ใครมายกย่อง มอบคุณวุฒิให้ หรือมีคนมองด้วยสายตาทึ่งจัด ผมต้องการให้ตัวเองยืดอกบอกกับตัวเองได้ว่า นายทำสำเร็จแล้ว นายเอาชนะตัวเองได้แบบไม่มีข้อกังขาแล้ว ความสำเร็จแบบนี้จะเป็นความสำเร็จที่แท้จริง ทำให้ตัวเองยอมรับตัวเองได้อย่างหมดจด นายแน่จริงที่เอาชนะนายได้


ทำไมธรรมถึงเข้าถึงยากเย็นนัก นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอด คนบางคนทุ่มเทแทบปางตาย บางคนเสียสติ มีพระมีวัดเป็นแสนๆ ทำไมประเทศยังพังพินาศ มันต้องมีแก่นเคล็ดอะไรซักอย่าง ที่ไม่ใช่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้หรือร้านหนังสือห้องสมุดแน่ๆ ผมจะเป็นเหมือนหลายๆคนไหมนะ ที่แม้จะหยุดเรียนกลางคัน ลงทุนไปอย่างนี้ ก็ยังเข้าใจธรรมไม่ได้ ผมไม่ทราบแต่ผมพร้อมจะเสี่ยง และเดิมพันกับทุกอย่างที่มี ไม่มีคำว่าถอยหลัง นี่ซิคือของที่ไม่กระจอก ของแบบนี้ไม่กระจอกแน่ๆ ใจที่พร้อมจะเดิมพันทุกอย่างกับสิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สันชาตญาณบอกว่ามันมี แบบนี้หาไม่ได้ง่ายในหมู่ชนคนทั่วไป คนที่ไม่ใช่พูด แต่ทำ คนที่ไม่ได้เอาแต่สั่งวางแผน แต่เป็นคนที่ออกไปทะลวงฟันแถวหน้า คนที่เดินสวนทางกับทุกคนอย่างไม่หวาดกลัว และถูกกระแสชนพัดให้หวนกลับ





เมื่อผมฟัง สุนทรพจน์ ของ สตีฟ จ๊อปส์ ต่อนักศึกษาที่จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อีกเป็นครั้งที่สอง เพราะมีคนส่งเมล์มาให้ เรื่องการเชื่อมจุด เรื่องความรักและการเสียของรัก และเรื่องความตาย ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าผมจะดร็อปเรียน ไม่ว่าคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อนฝูง อนาคต หรือแม้แต่ตัวเอง ไม่มีใครหยุดสัญชาตญาณนี้ได้อีกแล้ว มันรู้จากส่วนลึกว่า ถึงเวลาแล้วที่นายต้องทุ่มลงไปทั้งชีวิต


ทำไม มันมีบางอย่างที่แม้แต่คนที่ทุ่มเททั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ นี้คือความท้าทายที่สุดในชีวิต ผมเลือกเดินทางนี้ ถ้ามันทำไม่ได้ก็ให้มันตายไปเลย


ผมหลงรักสถาปัตยกรรมก็จริง แต่ผมกลับรักการเจริญสติมากกว่า

ผ่านการดร็อปเรียนมาเจ็ดเดือน ยังไม่มีวันไหนเลยที่ผมมานักนึกว่าไม่น่าทำเลย ผมกลับรู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา ชีวิตมีค่าอย่างแท้จริง ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะย้อนไปก่อนที่ผมจะเข้า ม.1 เลิกเรียนมาเจริญความรู้สึกตัวอย่างเดียวเท่านั้น





ขอให้วันนี้ของเธอสวยงามต่อไป

เคล็ดศีลปรมัตถ์ ..... trick

สิ่งที่จะได้อ่านต่อไปนี้ ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ เพียงเพื่อคนประเภทเดียวเท่านั้น คือ หนึ่งคนที่ฝึกเจริญสติด้วยการเคลื่อนไหวตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน สองคนที่อาการติดวิปัสสนูจางคลายมากแล้ว สามคนที่เข้าใจเรื่องไม่ยึดสมมติ สี่คนที่เข้าใจทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ห้าคนที่เข้าใจสมมติฐานของความคิด หกคนที่รู้ว่าอารมณ์รูปนามเป็นอย่างไร และเจ็ดคนที่เข้าใจหกข้อข้างต้นขึ้นด้วยตัวเอง หาได้อ่านมาจากตำรา คำบอกเล่าของใครไม่

หลุดไปจากเจ็ดข้อนี้บทความนี้หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะจะไม่รู้เรื่อง หรือไม่ก็ รู้แจ้งศีลปรมัตถ์ดีอยู่แล้ว

เมื่อคุณมีความสามารถอยู่ในเจ็ดข้อข้างต้นครบถ้วน คุณจะเข้าใจว่า นั้นเป็นวิปัสสนาแต่นั้นยังไม่ใช่ ทำไมถึงไม่ใช่ เพราะในใจลึกๆคุณจะยังทุกข์อยู่ คุณจะสงสัยตัวเองว่า ทำไมเราก็รู้ เข้าใจ และฝึกมาถึงขนาดนี้ถึงยังเป็นทุกข์ได้อีก ทำไมจิตคุณที่ว่ารู้เท่าทันถึงขนาด ก็ยังเป็นทุกข์กับสิ่งที่มากระทบได้ สิ่งเหล่านี้คุณโกหกตัวเองไม่ได้แน่นอน ไม่มีทาง ถ้าประสบการณ์ของคุณพบเห็นสภาวะจิตแบบต่างๆมากมาย เปลี่ยนแปลงไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่จีรัง หรือแยกตัวออกมาดูจิตแบบต่างๆได้ หรือพบเห็นสัมผัสความว่างความสบายของจิตไร้เขตแดน


ถ้าคุณเป็นอย่างนี้ จงเข้าใจว่าคุณยังอยู่ในช่วงรอยต่อของรูปนามกับศีลปรมัตถ์


“ความว่างของจิตใจที่ขาดการรู้ชัดในกาย” ไม่ใช่ ศีลปรมัตถ์อันเป็นอารมณ์วิปัสสนาครึ่งทางของการเจริญสติด้วยการเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน การว่างของใจแบบนั้นเป็นเพียงอารมณ์อุปสรรครูปแบบหนึ่งของจิต ถ้าใจว่างการรู้ชัดในกายล้วนๆต้องแน่น

ผมพบเห็นคนที่อยู่ในจุดนี้มากหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ เนื่องจากต้องทำหน้าที่สอนญาติโยม ผู้คนให้ความเคารพ มักไม่ค่อยมีสิ่งภายนอกมากระทบ เว้นแต่ขัดคอกันเองในหมู่พระ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่คนส่วนใหญ่ให้ความนบนอบพนมมือฟัง ญาติโยมฟังไม่กล้าลุกหนีเพราะเสียมารยาท มักคิดว่าตัวเองไปไกลมากแล้ว ผลของมันคือติดอยู่ที่ตรงนี้ ไปต่อไม่ได้

เมื่อคุณฟังคนประเภทนี้พูด คุณจะรู้สึกว่าเค้าพูดได้ถูกต้องฉะฉานน่าฟัง ไม่กลัวใคร เข้าใจชีวิต แต่เมื่อคุณดูการกระทำ ในกรณีที่คุณดูออกจริงๆ คุณจะพบว่า มีการเดิน การกิน การทำงาน การพูดจา ที่ไม่รู้สึกตัว มักทำงานพลาดผิด หงุดหงิดเมื่อไม่สบอารมณ์เป็นบางครั้ง ของพวกนี้ปกปิดไม่ได้ และเมื่อคุณถามพวกเค้าว่า ศีลปรมัตถ์ในความหมายของหลวงพ่อเทียนคืออะไร เค้าจะตอบไม่ได้ หรือตอบว่า ใจที่เป็นปรกติ ใจที่ว่างๆ และคุณจะสังเกตเห็นความลังเลก่อนการตอบคำถามนี้ เมื่อถูกคาดคั้นให้ตอบ คนเหล่านี้จะบอกว่า ไม่สนใจเรื่องขั้นเรื่องตอนอารมณ์วิปัสสนา เพราะเค้าตอบไม่ได้ ทิฐิมานะของคนมันจึงแสดงตัวปกป้องตัวเอง มันมองขั้นตอนพัฒนาไม่ออก

การศึกษาธรรมโดยเลือกเอาแต่เรื่องที่ตัวเองสนใจเรื่องที่ตัวถนัด เป็นเรื่องตลกแก้ตัวของคนโง่ สิทถัทธะ เลือกจะเรียนแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือสิ่งที่เข้าได้กับใจตนหรือเปล่า การเข้าถึงความจริงมันปูทางไว้ด้วยความชอบใจในวิธีฝึกหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นจะหาทำไมตั้งหกปี

บางคนบอกว่า เค้าไม่สนว่าศีลคืออะไร ถ้าอย่างนั้นมันก็เรื่องของคุณ ถ้าศีลไม่ปรากฏ อย่าหวังว่า สมาธิ และปัญญา จะตามมา เพราะของมันอยู่ด้วยกัน

ศีลปรมัตถ์ไม่ใช่สิ่งที่แสดงตัวอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่การเข้าไปรู้ไปเห็นแป๊บเดียวแล้วคลายตัวออก แต่เมื่อคุณปะทะอยู่กับมัน คุณจะไม่ใยดีต่อกฎไตรลักษณ์อีกต่อไป เพราะศีลปรมัตถ์ โดยตัวของมันเองไม่มีการแปรเปลี่ยน ไม่มีวันถูกทำให้หม่นหมองจากสภาวะของจิตแบบใดแบบหนึ่ง กิเลสทนอยู่ในส่วนนี้ไม่ได้ ไม่มีการไปไม่มีการมา สะอาดเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา

ตัวจิตนั้นตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ แต่ตัวศีลปรมัตถ์ตกอยู่ในกฎสัจธรรม คือไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงที่เท่าเดิมของมันอยู่ตลอดเวลา ระดับปัญญาสูงสุดของปุถุชนมองเห็นความไม่เที่ยง แต่ระดับปัญญาของอริยะบุคคลกลับมองเห็นความเที่ยงแท้

ผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอกว่า ศีลปรมัตถ์คืออะไร จะบอกเพียงวิธีเข้าไปหาเท่านั้น จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของการรับรู้ตัดสินใจในข้อมูลที่ได้รับ เมื่อไหร่ที่คุณเข้าใจมันจริงๆ คุณจะนึกถึงคำพูดนี้เอง และเฝ้าบอกถึงการไม่น่าเสียเวลา การที่ผมไม่บอกออกไปตรงๆมีเหตุผลที่สำคัญมากอยู่สองประการ หนึ่งมันจะทำลายระบบการสอบอารมณ์ที่ได้ผลอย่างแน่นอน สองเมื่อผมสังเกตผู้คนจากเว็บพันทิพซึ่งเชี่ยวชาญในคัมภีร์ อ่านมาหลายอาจารย์หลายหลายคน พบว่าคนพวกนี้เพียงจำความรู้ แต่ไม่ได้เข้าใจในความรู้นั้นๆอย่างแท้จริง เพราะกริยามารยาทไม่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความสูงส่งเหมือนธรรมะที่กล่าวออกมา เมื่อคนจำความรู้จะเอาแต่พูด เอาแต่คิด แต่สภาวะไม่ได้เป็น

ผมตัดสินใจอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายตัดสินใจดำเนินการตามครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ที่จะคัดเอาเพชรแท้เท่านั้น จะบอกออกไปเมื่อคนคนนั้นมาถึงจุดเดียวกัน และบอกว่าเรารู้ในสิ่งเดียวกัน

เคล็ดการเข้าสู่ศีลปรมัตถ์มีสั้นๆ คือ ให้คุณทิ้งการดูจิตในสภาวะแบบต่างๆ ให้ทิ้งความสนใจในอาการของใจทั้งปวง ให้ทิ้งการไปมุ่งเน้นดูความคิด ให้ทิ้งนิวรณ์ทั้งหมด แต่ “ให้มารู้สึกให้มาเห็นอาการเคลื่อนไหวของกายล้วนๆเท่านั้น ให้ความตั้งใจให้สมาธิทั้งหมดไปสังเกตดูการเคลื่อนการไหวของกายล้วนๆอย่างเดียว” จงทิ้งสภาวะจิตทุกอัน แล้วให้มาอยู่กับกายล้วนๆ ให้ทิ้งเวทนาทุกตัวแล้วมาเห็นกายล้วนๆเท่านั้น

ตัวผมเองใช้เวลาสามวันหลังจากได้รับคำแนะนำ ผมคะเนเอาว่า ถ้าเป็นคนจริง ฝึกเข้ารูปแบบต่อเนื่องทั้งวันไม่สร้างจังหวะก็เดินจงกรม ไม่เดินจงกรมก็สร้างจังหวะ แบบไม่มีการหยุดพักไม่มีช่องว่าง จะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งเดือน

ทำความเข้าใจกันหน่อยว่า ให้ทิ้งการดูจิตนั้น หมายถึง อย่าไปสนใจกับจิตแต่ให้มาเน้นดูกายแทน เมื่อคุณดูกายคุณจะเห็นจิตโดยธรรมชาติของความเป็นจิตจริงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเพ่งจ้องดูกาย มันทิ้งการเห็นจิตมันไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าคุณไปมุ่งดูจิต คุณจะไม่เห็นกายแบบเป็นธรรมชาติ มันจะเห็นแต่เวทนา


ผมเคยฝึกการดูจิตมาก่อนถนัดมากด้วย แต่มองเห็นจุดอ่อนของมัน มันมีข้อกังขาคือ ทำไมเมื่อเผชิญของหน้างานใจยังมีความทุกข์อยู่แม้จะน้อยก็เถอะ มันสลัดทิ้งได้ไม่หมดทุกตัว การดูจิตจะตัดเรื่องกายานุปัสสนาออก เหลือแค่สามตัวหลังเวทนาจิตธรรม แต่เมื่อมาเห็นกายมันไปกันคนละทางกับดูจิต เพราะสามตัวหลังมันจะแย่งกันแสดงตัวกันสลอน

อย่างที่บอกไปแล้วถ้าคุณไม่อยู่ในเจ็ดข้อข้างบน อ่านไปก็เสียเวลาเปล่า คุณไม่ได้เข้าใจตรงกับผม
สำหรับคนที่อยู่ในเจ็ดข้อนั้น ถ้าไม่เชื่อวันนี้วันหน้าคุณจะได้รู้เองแค่ย่นระยะเวลาไม่กี่ปีลงเท่านั้นครับ


ขอให้เห็นสัจธรรมนะครับ