โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

ท้า ....

ก่อนจะเจอ ตัวที่จะพาชีวิตให้รู้วิธีหลุดออกจากขันธ์ห้านั้น ความรู้สึกตัวที่ฝึกมาอย่างดีและต่อเนื่อง จะกระตุ้นให้ขันธ์ห้าแสดงตัวออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะเวทนาทางกาย

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าความรู้สึกตัวล้วนๆ มันเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวล้วนๆ ตัวอื่นๆก็ย่อมไม่มี พูดง่ายๆแต่เข้าใจไม่ได้ก็คือ ขันธ์ห้า คือเงาของความรู้สึกตัวล้วนๆ การที่เราฝึกพัฒนาความรู้สึกตัวล้วนๆนั้น มันทำให้เราไปรู้ความรู้สึกแบบอื่นๆไปด้วย เช่นอาการง่วง อาการเมื่อย อาการเจ็บนั่นปวดนี่ ทั้งทั้งที่สิ่งเหล่านี้เกิดเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่รู้สึกถึงมัน เพราะความคิดบังเอาไว้ จุดนี้ไม่พูดเรื่องกิเลสแล้วนะครับกระจอกเกิน

พอมาฝึกความรู้สึกตัว ความคิดถูกลดค่ามากเข้า ความรู้สึกทุกแบบของชีวิตจึงแสดงตัวออกมาทั้งหมดเลย ถ้าคุณยังไม่ผ่านจุดนี้คุณจะมองไม่ออก จะไม่เข้าใจว่า ทำไมยิ่งฝึกยิ่งง่วง ยิ่งปวด ยิ่งเมื่อย ยิ่งคิดฟุ้งซ่าน ทำไมอารมณ์ทางเพศรุมเร้ามากนัก ทำไมความคิดถึงชั่วช้าขนาดนี้ ฝึกเท่าไหร่ก็เอาชนะของพวกนี้ไม่ได้ซักที

ยิ่งความรู้สึกตัวคุณยิ่งดีเท่าไหร่ ความเลวร้ายในตัวคุณจะแสดงออกมาให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น ผมมั่นใจว่า คนที่ยิ่งเชี่ยวเรื่องความรู้สึกตัว ไม่มีใครหรอกที่ฝึกแล้วเห็นตัวเองดีเลิศประเสริฐจัด เพราะสันดานหยาบจะแสดงตัวออกมาให้เห็นไม่หยุดหย่อน เพียงแต่มันจะไม่แสดงออกมาเป็นการกระทำเท่านั้นเอง

ตอนยังไม่เข้าใจ มันหาทางจะเอาชนะ ความรู้สึกง่วง ความปวด ความเมื่อย อารมณ์ทางเพศ ความคิด ไม่รู้เลยจริงๆว่าจะผ่านของพวกนี้ได้ยังไง มันล้อมหน้าล้อมหลังไปหมด ยิ่งรู้สึกตัวมากเท่าไหร่ จะยิ่งง่วงแบบสุดๆเท่านั้น ความปวดเมื่อยนี่ไม่ต้องพูดเลย ปวดทั้งตัวตั้งแต่หัวถึงเท้าสะท้านไปจนถึงกระดูก ขยับอะไรเป็นเจ็บไปหมด มันเป็นอยู่ประมาณอาทิตย์นึง ผมไม่ทราบว่าคนอื่นยอมแพ้ไหม หรือเดินมาถึงจุดนี้ไหม แต่ผมไม่ได้ยอมแพ้ มันหาทางอยู่หลายครั้ง ลองหลายวิธี ว่าทำยังไงจะเอาชนะอาการทรมานทางกายนี้ได้

วันสุดท้ายนั้น ผมง่วงสุดๆ ผมปวดไปหมดทั้งตัว เพราะอัดหนักมาเป็นอาทิตย์ ผมขยับร่างกายไม่ไหว มันเป็นตอนเย็นฝนกำลังตกหนักอากาศดี มันบอกเป็นนัยๆแล้วว่า แกต้องพักซักหน่อยนะ แล้วค่อยตื่นมาลุยต่อ แกขยันเกินคนอื่นไปหลายช่วงตัวแล้ว ผมเริ่มเอนกายในกุฏิเพราะเหนื่อยจัด แต่มาฉุกคิดขึ้นได้ว่า ถ้าจะเอาชนะของพวกนี้ ก็ต้องตอนที่มันเหนื่อยทรมานสุดๆแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ที่สุดของทุกข์บ้าบออะไรกัน ยิ่งทำยิ่งทุกข์ ทำไมชั้นจะต้องมาจนตรอกอยู่กับไอ้ความปวดเมื่อยง่วงแสนสาหัสแบบนี้ด้วยนะ ไม่ยอม ยังไงชั้นก็ไม่ยอม ถ้ามันง่วงสุดๆ ปวดล้ากระดูกสุดๆมันจะตายไหม ผ่านมาเป็นอาทิตย์ชั้นยังไม่พักได้ กะไอ้แค่ฝนตกน่านอนของแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ชั้นจะผ่านให้ดู

จากนั้น มันก็ฮึกเหิมลุกขึ้นมานั่งสร้างจังหวะ อาการทรมานต่างๆก็เกิดอีก เอาเข้าไปเล่นงานชั้นเข้าไป ชั้นไม่มีอะไรจะใช้สู้กับแกเลยนอกจากความรู้สึกตัวล้วนๆ มันก็เลยจ้องความรู้สึกตัวอยู่อย่างนั้น มันรู้ตัวว่าเพ่งอย่างมาก เพราะมันจะเอาชนะอาการทรมานทางเวทนาด้วยการมาเพ่งความรู้สึกตัวล้วนๆแทน เพราะมันไม่รู้วิธีหลุดออกมา ประมาณซักสิบนาทีได้มั้ง เวลาที่เราเพ่งเนี่ยเราจะหายใจไม่เป็นธรรมชาติ หรือเกือบจะหยุดหายใจ เรียกว่ากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวก็ได้ พอมันถึงจุดหนึ่งร่างกายมันทนไม่ไหว มันก็ถอนหายใจออกมาแบบ เฮ้อ..!

ในชั่ววินาทีนั้นเอง อยู่ดีดี ความรู้สึกตัวล้วนๆที่ช่องจมูก ความสบายจากการถอนหายใจ ความรู้สึกตัวล้วนๆส่วนอื่นๆมันปรากฏขึ้น มันเบาหมด มันเป็นความรู้สึกตัวง่ายๆที่ไม่เอาอะไร ไม่ได้จะเอาชนะเวทนาหรืออะไร มันเป็นของมันอย่างนั้นแต่ไม่เคยรู้จัก แปลกมาก แค่หายใจก็สบายหายปวด หายง่วงขนาดนี้ มันก็เลยขยับไหวแขนเบาๆ กวักมือเบาๆ มันทำเหมือนกับ ใบไผ่ปลิวลม ความรู้สึกตัวมันพลิ้ว เหมือนใบไม้ตอนสะเด็ดลม ความสบายมาจากไหนไม่รู้ มันปรากฏขึ้นเอง จากง่วงจนแทบจะสลบ กลายเป็นพบทองคำเข้าซะนี่

ต่อมาเมื่อรู้จักความรู้สึกตัวชนิดนี้แล้ว มันรู้วิธีไปเหนือเวทนาคือรู้วิธีเอาชนะ แต่ทำให้เกิดขึ้นทุกครั้งไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นมา ทำยังไงมันถึงจะเกิดอีกไอ้รู้สึกล้วนๆแบบนั้น หาสาเหตุอยู่นานเลยทีนี้ ว่าสาเหตุของมันมาจากอะไร ความรู้สึกตัวล้วนๆสบายๆอย่างนั้นมาจากไหน มันต้องมีเหตุ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้

ก่อนกลับมาต่างประเทศหนึ่งเดือน ความรู้สึกตัวล้วนๆเบาๆสบายๆนี่ เกิดบ่อยมาก เกิดเกือบทุกวัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี มันมีที่มาจากอะไร จนวันหนึ่งมันปล่อยความคิดลื่นหมด ปล่อยเวทนาหมด ปล่อยทุกอย่างที่เรียกว่าขันธ์ห้านั่นล่ะ ให้มันไหลเหมือนสายน้ำเลย ไม่ห้ามไม่ต่อต้าน แต่ให้มันรู้สึกตัวกายล้วนๆชัดๆอยู่แค่นั้น มันแยกกัน มันแสดงตัวออกมาให้เห็นเลยว่า ความรู้สึกกายล้วนๆนี้กับขันธ์ห้าเป็นคนละส่วนกัน พอมันชัดตรงนี้ มันก็เริ่มขาดออกจากกัน มันไม่ไปอยู่กับเวทนา มันไม่ไปอยู่กับความคิด มันมาอยู่กับความรู้สึกกายล้วนๆนี่ แต่ต้องปล่อยให้ขันธ์ห้าเกิดขึ้น ให้มันทำงานของมันไปนะตอนช่วงนั้นน่ะ

แล้วก็ กายล้วนๆ ที่ผมเขียนมาตลอด ไม่ใช่ รูป ในขันธ์ห้านะ

มันคล้ายๆมีภาวะสมดุลบางอย่างเกิดขึ้น อธิบายให้คนอื่นเข้าใจยาก คนทั่วไปเนี่ยใจของเค้าก็คือ ผลของกระบวนการ การทำงานของขันธ์ห้า จะทุกข์-สุข อยู่ที่ว่ากระบวนการตอนนั้นเป็นอย่างไร นั่นละคือ ใจ หรือ จิต ของเค้า ซึ่งมันจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่เรียกว่าไม่เที่ยงน่ะ มันคือส่วนของขันธ์ห้านี้ ตำราว่าไว้ดีแล้ว แต่ว่า ว่าไว้ไม่ครบ

พอคนเรามันไม่ไปยึดไปเอาขันธ์ห้า มันมาอยู่กับส่วนที่แยกออกจากขันธ์ห้า โดยที่ธรรมชาติสร้างให้มันแยกขาดจากกันอยู่แล้วตั้งแต่เกิด ใจ ของคนคนนั้น จะไม่ใช่ ผลของการปรุงของขันธ์ห้าอีกต่อไป ใจของเค้ามันก็คือกายนั่นเอง ใจมันไม่มีอีกแล้ว มันพ้นไปแล้วจากขันธ์ห้า ใจกับกายจะเป็นสิ่งเดียวกัน ใจที่เกิดจากกายล้วนๆ ไม่ใช่ใจที่เกิดจาก รูป ในขันธ์ห้า ใจนี้ไม่ใช่ส่วนที่ปรุงของขันธ์ห้าอีกแล้ว

มันตลกมาก ฟังดูปัญญาอ่อน บ้าบออะไรกัน ใจคือกาย แต่นี่ล่ะโคตรปัญญาตัวพ่อ นี่ไม่ใช่ปัญญารู้ แต่นี้คือปัญญาเป็น มันต้องเป็นก่อนมันถึงจะรู้
ใจกับกายเป็นของอย่างเดียวกัน คนที่มาไม่ถึงจุดนี้คงเถียงไปจนตายแน่ พอมันรู้กายล้วนๆชัดๆอยู่อย่างนั้น ใจมันสว่างไสว เบาสบาย ไม่ได้เป็นแค่ที่ใจนะ มันเป็นขึ้นทั้งตัว มันเบาว่างๆทั้งตัว เป็นชั่วโมงๆ ทุกวันนี้เป็นอยู่ตลอด เดินจงกรมไม่เกินสองรอบ จะสบายใจทันที เบาว่างไปหมดทั้งตัว ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะมันรู้วิธี ไม่ได้เกิดมาแบบฟลุคๆนี่ พอจับกลไกได้ จะกระตุ้นให้เกิดกี่ครั้งก็ได้ ของแบบนี้ไม่มีทางอยู่ในกฏไตรลักษณ์ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง มาไม่ถึงคิดเอาเองว่าไม่มีจริง คนพูดมีอยู่หัวรั้นไม่ฟังเอง ซึ่งเค้าก็คงมองกลับเหมือนกัน แกนั่นแหล่ะที่รั้น เอาเถอะทุกข์ไม่ทุกข์มันก็ชัดอยู่แล้ว

สภาวะจิตของพวกที่เรียกตัวว่าดูจิต ที่ว่าจิตแปรผันไม่แน่นอน ไม่เที่ยง นั่นมันไปเห็นจิตของขันธ์ห้า จิตปรุงแต่ง มันมาได้ไกลสุดแค่แยกตัวออกมาดูว่า มันไม่เที่ยง มันก็ถูกแล้วขันธ์ห้ามันไม่เที่ยงจริงๆนี่ แต่มันมาได้แค่นั้น
เคยบอกไปแล้วนี่ ระดับปัญญาสูงสุดของปุถุชนจะเห็นความไม่เที่ยง ก็คือขั้นโสดาบันตามตำรานั่น แต่ระดับปัญญาของอริยบุคคล หรือตั้งแต่สกิทาคามี จะเห็นความไม่แปรผัน เมื่อไหร่ที่ไปเข้าใจศีลปรมัตถ์ หรือความเที่ยงแท้ นั่นแสดงว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว อย่าดีใจมากนักนะ แค่ครึ่งทางเอง มันจะติดจินตญาณตรงนี้ล่ะ ระวังไว้หน่อย

ของพวกนี้โกหกได้ที่ไหน ศีลปรมัตถ์ไม่รู้จัก จินตญาณยังไม่ผ่าน วิปัสสนายังไม่เคลียร์ เลิกพูดเรื่องอริยบุคคลไปเลย ไปหลอกเด็กๆเถอะ
จิตที่ไม่ปรุงแต่งมันมีอยู่ และมันจะเที่ยงไปจนตายด้วย ไม่มีการเกิดดับเป็นล้านครั้งในหนึ่งวินาทีตามที่มั่วสอนกันด้วย คนมันฝึกมาได้แค่ไหน มันก็สอนได้แค่เท่าที่มันรู้

ที่นี้พอมันคุมกลไกตัวนี้ได้ ความรู้สึกตัวล้วนๆจะเป็นใหญ่ในชีวิต มันเกินความคิดไปแล้ว เห็นเลยว่าทำไมขันธ์ห้าถึงทำงานไม่ได้ ความรู้สึกตัวมันตัดการทำงานไว้ตลอด ความคิดยังเกิดนะ แต่ถูกตัดด้วยความรู้สึกตัวล้วนๆตลอดเลย ยกเว้นความคิดเรื่องงาน หลวงพอเทียนสอนให้ตัดความคิด ตรงนี้ทำผมงงถึงสี่ปี เค้าพูดถูกแล้ว แต่ไม่ใช่ให้เราไปนั่งฝึกให้มันตัด ตัวที่ตัดคือ ความรู้สึกตัวล้วนๆ ให้ไปพัฒนาตัวความรุ้สึกล้วนๆนี่แทน แล้วมันจะไปตัดความคิดของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยบินเหนือเมฆไปเลย

ความรู้สึกตัวที่หลุดแล้วจากขันธ์ห้าต่างหากที่ตัดความคิดได้ขาด ถ้าความรู้สึกนั้นยังพัฒนามาไม่ถึงจุดที่พ้นจากขันธ์ห้า อย่ามาโกหกเลยว่า ความคิดถูกถอนออก ไม่มีทาง ความคิดแค่หยุดด้วยสติ แต่ไม่ได้ถอนออกด้วยสัมปชัญญะ

ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่มีความเห็นว่า ธรรม คือ สิ่งที่ต้องประนีประนอม หาจุดลงเอยร่วมกัน หรือมาพบกันตรงกลาง ผนวกทุกสายเข้าด้วยกัน ทุกวิธีมันก็ดีทั้งนั้น แต่มันจะมาได้ไกลแค่ไหน อย่ามาแก้เขินเพราะฝึกมายาวนานเป็นสิบปี ไปต่อไม่ได้จึงเที่ยวเอาตำรามาเป็นแบคอัพเลย ผมมั่นใจมากด้วยว่า การยึดถือตามตำรามาสอนจะไปต่อได้อีกไม่เกิน ห้าสิบปี เพราะมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่โง่ ต่อให้เป็นคนไทยก็เถอะ

ธรรม มันเป็นของมันอย่างนั้น ใช้วิธีไม่ถูกมันก็มาไม่ได้ ภูเขาขึ้นได้หลายทางมาเจอยอดเดียวกันรึ อย่ามาพะงาบปากเลย เห็นชัดชัดว่ายืนอยู่คนละยอดเขาไกลริบ ทำให้เห็นดีกว่านะ ว่ามายืนจุดเดียวกันได้จริง

กรงเล็บเหยี่ยวมันไม่กางออกพร่ำเพรื่อหรอกนะครับ จับเหยื่อโง่ๆง่ายจะตายไป ลองจับตัวเองดูหน่อย ยากกว่าเยอะ


ท้าทายขนาดนี้แล้วนะเนี่ย อ้อยอิ่งอยู่นั่น