โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

มายาเต็มขั้น



     มายาเต็มขั้น เมื่อท่านปฏิบัตไปจนถึงระดับหนึ่ง ที่ท่านสามารถสัมผัสอาการเคลื่อนไหว ของอารมณ์ ของความคิด หรือแม้กระทั้งของความรู้สึกล้วนๆ ได้แล้ว ถ้าฐานของการปฏิบัตของท่านไม่แน่นเพียงพอ  สิ่งต่อไปนี้จะเกิดกับท่าน

    ข้าพเจ้าเขียนมันขึ้นมาเพื่อให้ท่านไหวตัวให้เร็ว และข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า มันจะสามารถช่วยใครบางคนให้หลุดออกมาจากบางอย่างได้  ซึ่งข้าพเจ้าจะแยกเป็นขั้นๆ โดยเอาสมมตสติปัฏฐานเข้าจับ เพื่อให้ท่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ขอให้ท่านเข้าใจว่า ในสภาวะจริง (หน้างาน) สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ตะลุมบอนกันอยู่ ถ้าปัญญาในขั้นนี้ยังไม่เกิดกับท่าน ท่านจะไม่เข้าใจ และแยกมันไม่ออก

    ......................................................................................................................

    เมื่อท่านเข้ารู้ สภาวะปรมัตถ์ของ “อวัยวะการเคลื่อนไหวทุกส่วน”
    มันจะแบ่งเป็นสองอย่าง คือ

    - รู้สึกถึงสภาวะปรมัตถ์ของอวัยวะเลือดเนื้อในและนอก “แล้วรับเอาแค่ ตัวความรู้สึกที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงนั้น เท่านั้น” (ลักษณะนี้ข้าพเจ้าเรียกเอาเองว่า เห็นกายในกาย)

    - รู้สึกถึงสภาวะปรมัตถ์ของอวัยวะเลือดเนื้อไม่ว่าในหรือนอก “แล้วคอยบอกตัวเองด้วยการคิดว่า มันคืออะไร” (นี่คือการ ดูกาย เฉยๆ ไม่ใช่เห็นกายในกาย) ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ ท่านจะติดกับสิ่งที่รู้นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าท่านรู้ลมหายใจมากขึ้น ชัดขึ้น เมื่อไหร่ ท่านจะติดมันทันที

    ท่านจะหลุดตรงนี้ได้ต่อเมื่อ ท่านเข้าใจจริงๆว่า การไปติด หรือไปนั่งแช่อยู่กับอะไรซักอย่าง ช่วยท่านออกจากทุกข์อย่างถาวรไม่ได้ ใครที่ยังไม่สำเนียกตรงนี้ จะออกมาจากตรงนั้นไม่ได้ เพราะมันติดความสุขสงบนั่น

    ......................................................................................................................

    เมื่อท่านเข้ารู้ สภาวะปรมัตถ์ของ “อารมณ์”
    มันจะแบ่งเป็นสองอย่าง คือ

    - รู้สึกตัวเวทนาผ่านสภาวะปรมัตถ์ “แล้วไม่ตีความใดๆ” เป็นเพียงประสบการณ์เฉพาะหน้า ที่เกิดแล้วผ่านไปอย่างไม่มีความสำคัญใดๆ (ลักษณะนี้ข้าพเจ้าเรียกเอาเองว่า เห็นเวทนาในเวทนา) การรู้ลักษณะนี้ จะไม่สร้างปัญหาใดๆให้ท่านเลย

    - รู้สึกตัวเวทนาผ่านสภาวะปรมัตถ์ “แล้วตีความสภาวะปรมัตถ์ออกมาด้วยการคิด” (ลักษณะนี้คือ การ “ดู” เวทนาเฉยๆ ไม่ใช่เห็นเวทนาในเวทนา) ซึ่งปัญหาจะตามมาทันที เมื่อท่านไปรู้ว่ามันสุขด้วยการคิด ท่านจะต้องการละสุข เมื่อท่านไปรู้ว่ามันทุกข์ด้วยการคิด ท่านจะต้องการละทุกข์ เมื่อท่านไปรู้ว่ามันอยากด้วยการคิด ท่านจะต้องการละความอยาก เมื่อท่านรู้โกรธด้วยการคิด ท่านจะต้องการละโกรธ เมื่อท่านรู้หดหู่ด้วยการคิด ท่านจะต้องการละหดหู่ ซึ่งมันเป็นการซ้อนกันของ เวทนาอาการและกิเลสที่อยากละเวทนา

    กิเลสที่ไม่มีตัวตน ก็กลายเป็นมีขึ้นมา เพราะมันเริ่มตั้งแต่กระบวนการ ที่ท่านเข้าไปรู้มันด้วยการคิด ว่า สภาวะปรมัตถ์นั้นๆคืออะไร มันไม่ใช่ความผิดของท่าน แต่มันเป็นลักษณะตามธรรมชาตของคนที่ “ต้องเข้ากระทำบางอย่าง เพื่อแก้ไข”

    แต่นั้นคือปัญญาการแก้ไขปัญหาของระดับปุถุชน ไม่ใช่ปัญญาการแก้ปัญหาของระดับอริยะบุคคล

    ......................................................................................................................

    เมื่อท่านเข้ารู้ สภาวะปรมัตถ์ของ “ความคิด”
    มันจะแบ่งเป็นสองอย่าง คือ

    - รู้สึกตัวผ่านสภาวะปรมัตถ์ของความคิด โดยไม่เอาสิ่งที่คิด คือ รู้เร็วเด็ดขาด รู้ก่อนที่ความคิด จะก่อตัวเป็นรูปร่างออกมาให้รู้ ว่ากำลังจะคิดเรื่องอะไร (นี่คือลักษณะที่ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เห็นจิตในจิต)

    - รู้สึกตัวผ่านสภาวะปรมัตถ์ของความคิด โดย “คิดย้อนรู้” ว่า เมื่อกี้คิดเรื่องอะไร ปัญหาที่ใหญ่มากของการปฏิบัตจะเริ่มจากตรงนี้ เพราะมันเป็น “ราก” ของการเข้ากระทำ ท่านจะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เริ่มหาทางออก เริ่มประมวลความรู้ในหัวสมองที่ท่านเคยรู้มา และเริ่มหาทางออกให้กับตัวเองอย่างไร้ทิศทาง และมันมักจะไปจบลงที่การกระทำบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง แต่มันเป็นการ “คิดและเชื่อและเดา” ว่าปัญหาเหล่านั้นควรจะต้องถูกแก้อย่างนั้นอย่างนี้

    มันเป็นเรื่องจริง ที่หัวเราะไม่ออก เพราะธรรมชาตของคนมันเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่ท่านยังไม่ประสบพบเห็นว่า วิธีแก้ปัญหา ที่ดีกว่า สุขุมลุ่มลึกกว่า นั้นเป็นอย่างไร ท่านจะไม่เข้าใจ และมองมันเป็นเรื่องไม่จริง นั่นเพราะในสมองของท่านยังไม่เคยรู้จักกับปัญญาชนิดนี้

    ......................................................................................................................


    เมื่อท่านเข้ารู้ สภาวะปรมัตถ์ของ “ทุกสิ่ง”

    ข้าพเจ้าไม่สามารถกล่าวตรงจุดนี้ได้ชัดเจนนัก เพราะ ข้าพเจ้าอยู่เพียงตรงนี้ ยังไม่ผ่านจากมัน การเขียนจึงอาจสร้างความคลาดคลื่อนจากสัจธรรมได้ แต่จะกล่าวเพียงเท่าที่เข้าใจ ขอท่านอ่านอย่างระมัดระวังให้จงหนัก

    การรู้สถาวะปรมัตถ์ของ “ทุกสิ่ง” หมายถึง การรู้ทั้งหมด ของ กาย เวทนา จิต รวมกันทั้งหมด (ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า คือ การเห็นธรรมในธรรม) ซึ่งมันตะลุมบอนกันอยู่ มันเกิดพร้อมกัน และมันไม่ได้แยกจากกันแม้แต่น้อย มันเป็นสภาวะที่ ภาษา และ ความคิด เข้าไปจับไม่ได้เลย ไม่มีการบอกตัวเองว่ากำลังเป็นอะไร ไม่มีการบอกตัวเองว่า กำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร ไม่มีการบอกตัวเองว่า กำลังรู้อะไร มันบริสุทธิซะจน ไม่มีอะไรจะกล่าวออกมาได้ แม้แต่การอธิบายของข้าพเจ้าถึงมันนี่ ก็เป็นเพียงการไปทำอะไรให้มันยุ่งยาก สกปรกขึ้นมาเสียเปล่าๆ

    การเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต การละชั่วทำดี การทำทาน การทำจิตใจให้ผ่องใส ถือศีลกินเจ สมาธิ วิปัสนา ความรู้ทั้งหมดทั้งมวล ทุกอย่างกำลังกลายเป็นเหมือนของเล่นหลอกเด็ก เอาไว้ให้เด็กเลิกงอแงร้องไห้ เพราะว่าทุกอย่าง มันเป็นตัวของมันเองตั้งแต่วินาทีแรก ที่อะไรซักอย่างกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาแล้ว มันเป็นอยู่อย่างนั้น ดำรงอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่อให้ใครซักคน ที่ถูกขนานนามว่า “ไอ้ชั่วเลวทราม มหาโจร” สิ่งนี้ ก็จะยังคงสงบนิ่ง เปล่งความเป็นตัวของมันเองอย่างบริสุทธ อยู่ในตัวของคนคนนั้นอยู่อย่างเช่นนั้น ตราบใดที่คนคนนั้นยังมีชีวิต คนคนนั้นจะมีมันอยู่เสมอ เพียงแต่เค้าจะไม่สามารถนำมันออกมาใช้ได้
    จากคุณ : koknam   - [ 21 ส.ค. 49 05:31:06 ]
 
 

       ความคิดเห็นที่ 1 

      ข้าพเจ้าชักจะโม้มากไปแล้ว สิ่งที่จะบอกท่านก็คือว่า เมื่อท่านเข้าสัมผัสกับสภาวะปรมัตถ์ “ทุกสิ่ง” เช่นนี้ จงระวังให้ดี เพราะท่านจะติดมันอีก

      ข้าพเจ้ามาเข้าใจช่วงหลังว่า มันต้องอาศัย “การรู้ล้วนๆ” เท่านั้น กลับไปอยู่กับการ รู้กายเวทนา จิต เท่านั้น ให้เพียงรู้อะไรก็ตามที่มันเกิด รู้แบบไม่แบ่งแยก ไม่เข้ายึด ไม่เข้าจับ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ให้มัน “รู้” เท่านั้น

      ข้าพเจ้าทดลองอยู่กับสิ่งนี้ ส่วนท่านใดที่ตามข้าพเจ้ามา ขอให้ท่านเข้าใจว่า สิ่งนี้มันสนุกเกินกว่าการผจญภัยในเว็บโป๊ มันสงบกว่าการนั่งนิ่งๆแบบคนตาย มันรู้จริงเกินกว่าความสามารถของสมองจะไปถึง มันเชื่อมั่นเกินกว่าสิ่งใดๆที่ท่านเคยยึดเคยเชื่อ


      ซึ่งทั้งหมดอาจจะเป็นมายาของข้าพเจ้าเองก็ได้ จงอย่าเชื่อข้าพเจ้า จงอย่าเชื่อตัวเอง จงอย่าเชื่อคำภีร์ จงอย่าเชื่อครูบาอาจารย์ จงอย่าเชื่อสิ่งใดใดทั้งหมด ที่แนะนำไม่ให้ท่านเชื่อไม่ใช่เพราะข้าพเจ้ารังเกียจตำรา รังเกียจครูบาอาจารย์ แต่ข้าพเจ้าจะเตือนให้ท่านระวังความคิดของตัวท่านเอง ต่อสิ่งเหล่านั้นต่างหาก มันจะคิดตีความเอาเอง ตามที่มันเห็นชอบ
      ข้าพเจ้่ามั่นใจมากว่า นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบันและต่อไปในอนาคต ไม่เคยมีใครเข้าถึง “ความเป็น” ด้วยการอ่านเอาจากตำรา และพวกท่าน ณ ที่นี้ก็กำลังพิสูจน์ให้ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้น

      ท่านจงมองให้ชัด ถึงความเป็นจริงที่มันกำลังเกิดต่อหน้าต่อตาท่านในขณะนี้

      ......................................................................................................................

      จากคุณ : koknam   - [ 21 ส.ค. 49 05:31:45 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 2 

      ทำ หรือ ไม่ทำ


      ในขณะที่ท่านกำลังเผชิญหน้าหน้ากับสภาวะอะไรซักอย่าง ที่ท่านยังไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้วิธี ว่าท่านจะจัดการอย่างไร กับสิ่งที่ท่านประสบอยู่ในขณะนั้นอย่างไรดี เมื่อท่านเริ่มใช้ความคิดเข้าแก้ปัญหา ปัญหาที่ง่าย จะกลายเป็นยุ่งยากในทันที เพราะคนเราไม่สามารถคิดถึงอะไรที่ ยังไม่เคยรู้จักได้ มันทำได้แค่  “เดามั่วซั่วเอาเอง”

      การเดามั่วซั่วเป็นอย่างไร

      -- อาจารย์คนนั่นกล่าวไว้อย่างนั้น
      -- มันเขียนไว้ในตำราอย่างนี้นี่นา
      -- มันต้องเป็นอย่างนี้นี่ล่ะ จะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง


      เมื่อท่านเริ่มรู้ว่า ท่านกำลังจ้องกำลังเพ่งบางอย่าง ท่านก็เริ่มกลับลำ โดยธรรมชาตของการ อยากหนีไปจากบางอย่างของคน ท่านจะเริ่มพยายามหันกลับ มาทำตัวท่าน ให้มันไม่เพ่งไม่จ้อง พอทำไปซักระยะ ท่านก็เริ่มบอกตัวเองว่า นี่เรากำลังยึดการไม่เพ่งไม่จ้องอยู่นี่ จากนั้นท่านก็จะเริ่มมองหาสภาวะ ที่เป็นกลางๆ ระหว่างเพ่งกับไม่เพ่ง จากนั้นกระบวนการสุดแสนไร้เดียงสาของนักปฏิบัตจะเกิดตรงนี้ ท่านจะ “สร้าง” สภาวะที่ท่านเข้าใจเอาเองว่า มันเป็นกลางๆขึ้นมา แล้วพยายามไปนั่งอยู่ตรงนั้น

      พอทำไปซักระยะ ท่านจะรู้สึกว่า ท่านเข้าไปเพ่ง เข้าไปยึดตัวกลางๆนี่อีกแล้ว (ข้าพเจ้าพูดสำหรับพวกไหวตัวได้เร็วนะ) จากตรงนี้ความชุลมุมวุ่นวายในจิตใจ ต่อการหาทางออกให้กับปัญหาลักษณะนี้จะเกิดขึ้น ท่านจะไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับมันดีกันแน่ ท่านจะขัดแย้งในใจ เพราะอย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ยังไงกันแน่นะ ว้าวุ่นเสียแล้ว ......... เลิกดีกว่า


      ปัญหานี้เริ่มมาจาก

      1 ท่านไม่รู้ว่า ความรู้สึกตัวแท้ๆเป็นอย่างไร ท่านจึงเพ่งเพื่อให้มันรู้สึก
      2 ท่านไม่รู้ว่า ท่านกำลังคาดหวังสภาวะบางอย่างอยู่ลึกๆ
      3 ท่านไม่รู้ถึง ความคิดแรกที่มันเกิด ท่านตามมันไม่ทัน มันก็สำแดงเดช


      เมื่อท่านกำลังมีความทุกข์ รู้สึกทุกข์จังเลย ท่านก็จะพยายามจะหนีมัน ไม่เอามัน ในขณะที่ท่านพยายามหนีมันด้วยวิธี 84000 วิธีที่ท่านรู้จักนั่นเอง ท่านกลับมองไม่ออกว่า ท่านได้ติดเข้ากับ “ความอยาก” เสียแล้ว  “ความอยากออกจากทุกข์” เพราะท่านไปเข้าใจว่า มันเป็นทุกข์

      เมื่อท่านไม่เข้าใจว่า ทุกข์คืออะไร ทุกข์จะเป็นทุกข์สำหรับท่าน แต่สำหรับคนที่เข้าใจทุกข์ ทุกข์หมายถึงทองคำ

      เมื่อท่านกำลังมีความสุข พอท่านเริ่มไหวตัวทันว่า กำลังดื่มด่ำมากไปเสียแล้ว ท่านก็จะพยายามจะออกจากความสุขอีก ความอยากซ้อนความอยากไปเรื่อยๆอีกแล้ว


      ความพอดีอยู่ตรงไหนกัน ? โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ยังไงกันแน่นะ ?


      ถ้าท่านผ่านสิ่งเหล่านั้นมา แล้วมองย้อนกลับไป ท่านจะเห็นชัดถึงความอ่อนหัด ของความคิดมนุษย์ เพราะมันคิดเอาเอง มันสร้างตัวมันเองขึ้นมา ดาบของมันก็คือ อารมณ์ที่ตามมันมานั่นไง ถ้าท่านรู้ไม่ทัน มันก็แทงท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า

      เมื่อไหร่ที่จิตใจท่าน มองทุกอย่างเป็นสิ่งเดียวกัน ไร้ซึ่งการแบ่งแยกระหว่าง ทุกข์กับสุข ไร้ซึ่งความต่างระหว่างใช่กับไม่ใช่ ไร้ข้อสงสัยระหว่างดีกับด้อย แต่สัมผัสทุกสภาวะที่เกิดขึ้นมาอย่างธรรมดา ไม่ผลักไส ท่านจะเข้าใจปัญหาลักษณะข้างต้นชนิดแทงทะลุ

      วิธีของมันทำอย่างไร ..................

      “จงตามความคิดของท่านให้ทัน และถอยฉากออกมาให้เร็ว”

      จะตามความคิดทันได้อย่างไร     “มันก็ต้องฝึกอยู่เสมอนะสิ”

      สำหรับบางคนสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแนวคิดเชิงปรัชญา บางคนมองว่าเป็นเรื่องเหนื่อบ่ากว่าแรง บางคนไม่เข้าใจ นั่นเพราะเค้าเหล่านั้นยังตกอยู่ภายใต้ความคิดของตัวเค้าเอง


      แต่สำหรับบางคน มันเป็นเหมือนขนม ที่จะหยิบกินเมื่อไหร่ก็ได้

      ......................................................................................................................

      จากคุณ : koknam   - [ 21 ส.ค. 49 05:32:15 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 3 

      สำหรับคำถามเรื่อง การมีครูบาอาจารย์ จำเป็นหรือไม่  ในมุมมองของข้าพเจ้า สิ่งนั้นไม่จำเป็น มีไม่มีก็ได้ แต่สิ่งที่ท่านควรจะมี คือความตั้งใจทุ่มเทของท่าน เมื่อท่านมีสิ่งเหล่านี้ กัลยาณมิตรที่รู้จริง จะโคจรมาเจอท่านเอง ข้าพเจ้ามั่นใจว่า คนเหล่านี้มีจำนวนพอสมควร ถ้าท่านไม่ทราบว่าคนที่รู้จริงเป็นอย่างไร ให้ท่านลองสังเกตคนที่

      - พูดน้อยสอนน้อย ดิ่งลงจุดสำคัญ ไม่ใช้เวลาเปล่าประโยชน์
      - ชี้จุดเคลียร์ อ่านท่านทะลุ บอกวิธีทำ
      - แก้ปัญหาให้ท่านได้ขาดชัดเจน
      - ไม่ตอบปัญหาส่งเดชแบบขอไปที ไม่ทำอะไรมั่วๆไร้ความหมาย
      - ตั้งใจฟังปัญหาของท่าน
      - ไม่มีความคิด ความยึดว่า เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน
      - นอกนั้นเป็นนิสัยส่วนตัว และเทคนิคเฉพาะตัวของคนเหล่านั้น


      สำหรับความตั้งใจจะเป็นโสดาบันของท่าน ข้าพเจ้าบอกท่านได้เพียงว่า ท่านยังไม่เข้าใจ ว่า “โสดาบัน” จริงๆแล้วคืออะไร เมื่อไหร่ ที่ท่านรู้ความหมายของสมมตภาษาต่อสิ่งเหล่านี้ ท่านก็จะยืนอยู่เกิน โสดาบัน แล้ว และความกระหายต่อโสดาบันนั่นเอง ที่ขวางทางท่านเอาไว้

      ผู้ที่รู้วิธีจริงๆ การที่ทำให้ใครซักคนเป็น โสดาบัน ง่ายนิดเดียวเอง ออกมาจากมายาแบบเด็กๆเหล่านั้นให้เร็วเถิด มาตรงนี้นี่ ถ้าอยากฟัดกับมันให้สนุก มาตรงนี้นี่





      ขอวันนี้ของท่านสวยงามต่อไป

      จากคุณ : koknam   - [ 21 ส.ค. 49 05:32:37 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 4 

      ขอบคุณครับ   สาธุๆๆๆๆ

      จากคุณ : Mankei   - [ 21 ส.ค. 49 10:04:30 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 5 

      อนุโมทนาในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ครับ

      จากคุณ : จุ๊  - [ 21 ส.ค. 49 10:30:31 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 6 

      ขออนุโมทนา สาธุครับ

      จากคุณ : ทำเหตุ  - [ 21 ส.ค. 49 11:06:24 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 7 

      ขอบคุณครับ

      จากคุณ : สัพเพ สัตตา (BiX-WiZ)  - [ 21 ส.ค. 49 12:10:44 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 8 

      ขอบคุณมากครับ

      อ่านได้ทะลุปุโปร่ง จริงๆ เลยนะครับ

      เรื่อง "ง่ายที่สุดที่ไม่ต้องไปทำอะไรมัน" มันก็
      "ยากที่สุดที่จะต้องไปทำมันอย่างมากที่สุด" นี่ล่ะครับ

      จากคุณ : มัชฌิม  - [ 21 ส.ค. 49 18:30:08 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 9 

      ..อ่านธรรมที่ท่าน Koknam เขียนแล้วเบิกบานใจ..

      ..ผมยังรอที่จะอ่านกุศลธรรมจากท่านด้วยความรู้สึกยินดีอย่างยิ่งอยู่เสมอ..

      ..และด้วยความรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งต่อสิ่งที่ท่านเอื้อเฟื้อให้..

      จากคุณ : JohnMar   - [ 22 ส.ค. 49 09:04:33 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 10 

      เหมือนท่านรู้เลยนะครับว่าผมเป็นอย่างไร ทะลุทะลวงหมดเลย

      ขอบคุณสำหรับเวลาที่แบ่งปันประโยชน์มาให้ครับ ขอบคุณครับ

      จากคุณ : KAMSUK  - [ 22 ส.ค. 49 15:41:09 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 11 

      สาธุครับ

      จากคุณ : อินทราธิราช  - [ 23 ส.ค. 49 11:43:54 ]
       
       
       ความคิดเห็นที่ 12 

      พ่ออยู่ทางนี้ก็ติดตามตลอดนะ.......สาธุ

      รักลูกเสมอ

                                    พ่อหมูเมืองเอกแก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 21:13:51

      จากคุณ : koknam   - [ 23 ส.ค. 49 20:57:30 ]