โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

The Grandmaster Key

...




คำสอนที่ผมได้ฟังเสมอคือ จิตใจ ความคิดของคนเราเป็นสิ่งที่ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ จงยอมรับความจริงข้อนี้แล้วปล่อยวางซะ แต่สิ่งที่มันเกิดกับผม คือ ความสามารถบังคับจิตใจและความคิดของตนเองได้ ผมเข้าใจเทคนิคการทำงานของมัน เมื่อผมทำได้ในขณะที่คนเกือบทั้งโลกบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมควรจะมีชีวิตอยู่ด้วยการเที่ยวโพทะนาถึงความจริงข้อนี้ หรือผมควรใช้ชีวิตเงียบๆดื่มด่ำกับความสามารถที่น้อยคนเป็นกัน มีคนจำนวนน้อยที่เข้ามาถึงจุดนี้ คนพวกนี้จึงถูกมองว่า โคตรโม้ สอนอะไรบ้าบอเลอะเทอะ



หลวงพ่อเทียนกล่าวว่า “รู้ธรรมแล้วไปอยู่คนเดียวก็ดีแต่มันไม่ถูกต้อง” ผมเคยเชื่อถือคำพูดนี้และพยายามถ่ายทอดเท่าที่จะทำได้ตามปัญญาที่พอมี ในความเป็นจริงสิ่งที่ผมได้พบโดยเฉพาะในช่วงหลังคือ ยิ่งมาได้ไกลเท่าไหร่ จะยิ่งมีคนไม่รู้ว่าผมพูดอะไรมากขึ้นเท่านั้น เมื่อผมพูดเรื่องท้องฟ้าเค้ามักตีความว่าผมกำลังชี้ให้ดูเมฆ และโดยมากผมมักจะไม่โต้แย้ง เพราะผมรู้ว่ามันจะไปจบลงตรงการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโง่และเพิ่มความสับสนให้เค้า ผมเองจึงเริ่มหวั่นไหวกับคำพูดของหลวงพ่อเทียน เนื่องจากผมเองไม่ได้ใส่จีวรและไม่คิดจะไปหามาใส่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่พระคนส่วนใหญ่ไม่ฟังหรอกว่าคุณพูดอะไร พวกเค้าจะรีบวิ่งเข้าหาคุณและเริ่มสอนว่าจะต้องทำยังไงเกี่ยวกับการปฏิบัติซะมากกว่า แต่พออยู่ต่อหน้าพระพวกเค้าจะมือไม้อ่อน ค่ะๆครับๆไปตามเรื่อง หรือต่อให้คุณทำตัวสับปะรังเคแต่มีจีวรหุ้มอยู่พวกเค้าถึงกับลางานมาเพื่อฟังคุณพูด

อย่างที่คุณๆอ่านบล็อกนี้บางคนชอบ แต่ความชอบนั้นมาไม่ถึงความตั้งใจที่ผมพยายามถ่ายทอดบางอย่างไว้ ซึ่งความตั้งใจนี้มิได้ยิ่งใหญ่ขนาดจะสร้างมรดกให้คนรุ่นต่อไป หรือปรับปรุงระบบสัทธรรมอะไรทำนองนั้น เพียงแต่ถ้าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับคุณคุณทั้งหลาย คุณจะเอาตัวรอดจากทุกข์ได้อย่างมั่นใจ และคุณจะได้เข้าใจในสิ่งที่น้อยคนจะรู้ คุณจะรู้ว่ามันเยี่ยมแต่ความยอดเยี่ยมมีเพียงคุณเท่านั้นที่สัมผัสได้ พูดออกมาก็ไม่ได้ มันฟังดูเหมือนเป็นโลกที่เหงาทีเดียว ที่ผมต้องมาเขียนบล็อกนี่จริงๆแล้ว ผมอาจจะต้องการสร้างเพื่อนที่คุยกันรู้เรื่องก็ได้


สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้อาจเรียกโดยสมมตได้ว่าเป็นความจริงขั้นที่สูงแล้วเรียกแอดวานซ์คงได้มั้ง และมีน้อยคนที่จะเข้ามาเข้าใจธรรมระดับนี้ ผมไม่ได้หลงตัวเองว่าเก่งจะพูดของที่คนไม่ค่อยรู้นะครับ แต่ด้วยการที่ถ่อมตัวนี่เอง ผมจึงนึกได้ว่า คนประเภทนี้มันต้องยังมีอีก ไม่ใช่ว่ามีเราเพียงคนเดียวซะเมื่อไหร่ที่มาได้ การที่ผมตัดสินใจเขียนออกมาเพราะผมกำลังยืนบนทางแยกว่า ผมควรจะไปอยู่เงียบๆเพราะสอนไปก็เสียเวลา หรือควรจะถ่ายทอดให้คนที่พอจะมาได้รับรู้ไว้บ้างว่า สิ่งที่คนทั่วไปบอกว่า ทำไมได้ ขี้โม้ บ้าบอ คนที่เค้าทำได้เค้าทำมันยังไง

ช่วงที่ผ่านมาผมไปฝึกที่วัดมาครับ เป็นการฝึกที่ผมเรียกด้วยสำนวนส่วนตัวว่า อัดจนสลบ ผมได้เข้าใจเรื่อง สวรรค์-นรก การตกนรกการขึ้นสวรรค์ เข้าใจจริงๆเลยนะครับ ผมได้ทราบว่า สวรรค์นรก ในทางพุทธศาสนา ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจกันทุกวันนี้ ไม่ใช่การเกิดมาชาตินี้เพื่อใช้กรรมชาติที่แล้วอะไรแบบนั้น หรือเราฝึกหนักขนาดนี้เพื่อที่จะไม่ต้องไปตกนรกหรือไปเกิดชาติหน้าจะขึ้นโสดาบันได้ง่ายอะไรอย่างนั้น

นรกสวรรค์ก็คือ จิตใจ คนที่วนเวียนสับเปลี่ยนไปมาเป็น วัฏจักร หรือเรียกให้เท่ๆว่า ปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง คำโบราณถึงว่า สวรรค์ในอกนรกในใจ สำนวนนี้เป็นของจริงไม่ใช่การเปรียบเทียบ เมื่อเวลาผ่านมาเป็นพันปี ความหมายของมันกลับเพี้ยนไปเป็นเรื่อง ชาตินี้ชาติหน้าผสมโรงกันเข้ากลายเป็นเรื่องวิญญาณหลอกหลอนผู้คนแต่งแต้ม ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวผีเลยทั้งที่เมื่อก่อนกลัวมาก ขอให้มันมีจริงทีเถอะผมจะขอบคุณมาก เมื่อผมเข้าใจสวรรค์นรกผีสางเทวดาตามความเชื่อที่ปลูกฝังมาแต่เด็กล้วนแห้งตายสนิท ผมไม่มีความสงสัยและหวาดกลัวต่อของพวกนี้อีกเลย

รู้แบบนี้แล้วมันเป็นธรรมขั้นสูงตรงไหน คนที่เข้าใจเรื่องสวรรค์นรกจริง ว่ามันคือ จิตใจ จะบังคับจิตใจตนเองได้ครับ พอจิตใจคุณตกนรก คุณจะสามารถทำให้มันพลิกกลับมาเป็นสวรรค์ได้มันทำกันได้จริงๆ (อ่านมาถึงตรงนี้อาจารย์บางคนบอกอย่าไปทำ คำว่าทำ ผมหมายถึงรู้กลไกและใช้กลไกนั้นได้) ขอให้รู้กลไกการทำงานของมันเท่านั้น หัวใจของการพลิก ลบเป็นบวก หรือ บวกเป็นลบ อยู่ที่อาการตื่นขึ้นของความรู้สึกตัว ใช่ครับคนประเภทนี้บังคับการตื่นขึ้นของความรู้สึกตัวได้ ทำไมถึงทำได้เพราะมันเจอมานับครั้งไม่ถ้วนจนจับจังหวะได้ครับ

ตอนที่ผมเข้าใจเรื่องนี้ จิตใจพลิกไปมาแบบเห็นกันจะจะ จากมืดเป็นสว่าง จากหนักเป็นเบา ความรู้มันเลยไปย้อนความเข้าใจในระยะรูปนาม มันเข้าใจแบบฝังลงไปในแกนกลางสมองเลยว่า “ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบาป” คำพูดนี้คือคำกล่าวของคนที่รู้กลไกของกุศลและอกุศลในคนอย่างแท้จริง ทำบุญแล้วขึ้นสวรรค์เป็นอย่างนี้เอง ทำบาปแล้วตกนรกเป็นอย่างนี้นี่ จิตใจคนเปลี่ยนสภาพเป็นนรกสวรรค์เพราะ ระดับของความรู้สึกตัวนี่เอง

พอผมบังคับความตื่นได้ ผมพยายามดันมันไปให้สุด ให้มันตื่นที่สุด เพราะตอนนั้นผมคิดว่า มันถึงที่สุดกันตรงการตื่นนี่ล่ะมั้ง แต่ผมพบว่าแม้มันจะตื่นที่สุดแล้ว มันยังคิดเรื่องชั่วได้ สภาพจิตใจร่างกายผมตื่นจนถึงขีดจำกัดในตอนนั้น แต่ผมสังเกตว่า ผมยังมีความคิดที่ไม่ดี หรือเป็นความคิดในทางชั่วโผล่ออกมาได้อยู่ ตอนนั้นจิตใจไม่แปรเปลี่ยนตามความคิดแล้วนะครับ มันแยกจากกันเพราะความรู้สึกตัวที่ตื่นตลอดไปกั้นการทำงานของมันเอาไว้

ผมจึงได้รู้ว่า การตื่นยังไม่ใช่ การไปถึงที่สุด มันตัดวงจรการทำชั่วด้วยการกระทำและการทำชั่วด้วยวาจาลงได้ แต่ตัดการทำความชั่วด้วยความคิดยังไม่ได้ และผมไม่ยอมที่จะปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเจอสิ่งที่ดีงามที่สุดของมนุษย์ และมันเป็นความลับที่กุมกลไกทั้งหมดของชีวิตมนุษย์ สิ่งนี้เป็นเหมือน Grandmaster key กุญแจเพียงดอกเดียวที่สามารถไขประตูเข้าออกได้ทุกบาน ตอนนั้นผมใจผมอิ่มเอิบมากทั้งๆที่ร่างกายเพลียจัด เพราะผมพบกุญแจดอกนั้นแล้ว ซึ่งกุญแจดอกนี้จะสามารถไขประตูแห่ง กายวาจาและใจออกได้ ถ้าความคิดยังชั่วได้อยู่ มันเป็นเพียง master key มันยังไม่ใช่ดอกที่ไขได้ทุกบานและประตูนั้นดันเป็นบานที่อยู่ลึกสุด



ผมเริ่มสงสัยว่าแล้วคนเราจะไปคุมความคิดได้ยังไง พระพุทธเจ้าไปเจออะไรเข้าเนี่ย ความดีงามมันถึงเกิดได้กระทั้งที่ความคิด พวกคุณเคยอ่านทฤษฎีของชาวตะวันตกไหมครับมีช่วงนึงที่บูมมาก คือ การคิดด้านบวก พวกเค้าบอกว่า ถ้าคิดบวกชีวิตจะดีจิตใจจะดีและส่งผลต่อชีวิตโดยรวมของเจ้าตัวและสิ่งรอบข้างเรื่องนี้มันเป็นความจริงซึ่งพิสูจน์ได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณนี้ ไม่ใช่การไปควบคุมที่ความคิดให้มันคิดด้านบวกเหมือนหลักการทางตะวันตก ผมพูดแบบไม่เกรงใจคนตะวันตกกันเลยนะครับ มันไปได้ไกลกว่านั้นหลายขั้น

การทำให้สมองคิดแต่ด้านบวกนั้นทำได้จริง แต่ต้องรู้กลไกของมัน

ตั้งแต่ผมฝึกมายังไม่เคยได้ยินอาจารย์คนไหนบอกว่าให้ควบคุมความคิดเลย มีแต่บอกว่า คิดดีคิดชั่วให้ปล่อยมันความคิดเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้ ผมมันพวกหัวรั้นไม่ฟังใครเป็นนิสัยอยู่แล้ว ผมได้แต่ฟังแต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก หลังจากที่ผมเข้าใจเรื่องระดับจิตใจยกระดับโยกย้ายนรกสวรรค์ ผมก็ยังงงกับเรื่องทำยังไงให้มันคิดแต่เรื่องดีงามได้ตลอดนะ ผมสงสัยอยู่ประมาณหนึ่งวัน ระหว่างนั้นก็ได้แต่ประคองการรู้สึกตัวที่ตื่นอยู่อย่างนั้น แต่มันคาใจอยู่ตลอด

วันต่อมาผมนั่งฝึกยกมือสร้างจังหวะสลับกับเดินจงกรมอยู่ นึกถึงประโยคที่บอกว่า “รู้ ตื่น เบิกบาน” รู้กับตื่นนี่ผมไม่มีอะไรจะสงสัยแล้ว แต่ไอ้ตัวเบิกบานนี่มันอะไร เค้าหมายถึงอะไร พอดีตาเหลือบไปเห็นพระเดินเข้ากุฏทั้งที่เป็นเวลาฝึก ผมนึกในใจหมอนี่เอาอีกแล้ว ขี้เกียจตัวเป็นขนยังมีหน้าเที่ยวสอนญาติโยมอย่าประมาทนะ โยมฝึกนะขยันนะคนเราจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้นะ ผมเห็นภาพนี้หลายครั้งและรู้ว่าไม่ได้เข้าไปฝึกในห้องแน่ เพราะมักได้ยินเสียงทีวีดังออกมาค่อยๆเสมอ แต่ตอนนั้นผมสะอึกตัวเองทันที ทำไมผมยังมีความคิดชั่วมุ่งร้ายจับผิดต่อคนอื่นแบบนี้ ผมจะแก้ไขตัวเองในจุดนี้อย่างไรดี ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองคิดร้ายกับคนอื่นอย่างนี้ไปเรื่อยๆแน่ มาเจอกันหน่อย

ตอนนั้นมันฉุกคิดได้ครับว่า ตอนที่เรากำลังด่าพระในใจความรู้สึกตัวเราตื่นอยู่ที่ระดับนี้ ถ้ามันตื่นมากกว่านี้ล่ะ ผมเลยทำให้มันตื่นขึ้นอีก ตอนนั้นผมบังคับการตื่นได้แล้วนะครับ ความคิดมันเปลี่ยนไปเลยครับ มันมาคิดเรื่องดีอยู่ๆมันก็โยกกลายเป็นความคิดด้านสร้างสรรค์ซะงั้น ตะกี้ยังด่าเหม่งนั่นในใจอยู่เลย ผมเริ่มจะจับจุดได้งั้นลองให้มันรู้สึกตัวยิ่งกว่านี้อีก ความคิดก็เปลี่ยนอีก คราวนี้มันแทบจะคิดอะไรไม่ได้เลย

แล้วผมก็จับเคล็ดได้ทันที สิ่งที่ควบคุมการคิดดีหรือชั่วของมนุษย์คือ ความรู้สึกตัว ถ้าเราเผลอในช่วงที่มีความรู้สึกดีจะมีแต่ความคิดที่ดีออกมา ถ้าเราเผลอในช่วงที่เรามีความรู้สึกตัวที่แย่ ความคิดที่โผล่ออกมาจะเลวร้ายต่ำทรามลงเรื่อยๆ ประเด็นจึงอยู่ที่อย่าสนใจที่ตัวความคิด ให้สนใจที่ความรู้สึกตัวอย่างเดียว นี่คือ Grandmaster key อย่างแท้จริง มันพาผมมาตั้งแต่ ศีลปรมัตถ์ ต้นกำเนิดของความคิด กลไกควบคุมนรกสวรรค์ ความสว่างและความมืดบอดแห่งจิต และมาถึงตรงนี้ผมไม่มีคำถามใดใดกับเรื่องของความคิดดีและชั่วอีกเลย

ผมมองออกแล้วว่า ทำไม หลวงพ่อเทียนกล่าวว่า ปล่อยให้มันคิด อย่าไปห้ามความคิด เพราะว่าเราต้องใช้เนื้อหาของความคิดเป็นตัวเช็คความรู้สึกตัว ท่านถึงเปรียบกับการเดินข้ามคลองที่มีไม้วางพาดไว้ จะล้มไปทางไหนก็มีไม้ค้ำไว้ตลอด ความรู้สึกตัวจึงสมดุลดีได้อยู่ตลอด

หลวงพ่อเทียนยังกล่าวต่อไปอีกว่า ให้มันทันความคิดเข้า ทันเข้า จนมันคิดอะไรขึ้นมาไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าเราไปคอยสนใจอยู่ที่ตัวความคิด แต่เรามาจับบังคับกลไกที่ความรู้สึกตัวนี่ มันจะไปบังคับความคิดเอง จึงไม่ต้องไปยุ่งกับความคิด เพียงใช้มันเป็นตัวเช็คว่า ความรู้สึกตัวเราดีแค่ไหน ถ้าความคิดคุณดี คุณกำลังมีความรู้สึกตัวที่ดี ถ้าความคิดคุณแย่ คุณกำลังมีความรู้สึกตัวที่แย่

มันเป็นลำดับของกลไกธรรมชาติครับ

-ถ้าความรู้สึกตัวคุณดีมากคุณจะคิดอะไรออกมาแทบไม่ได้เลย
-ถ้าพลัดมาจากขั้นนั้นความรู้สึกตัวดีรองลงมา จะมีแต่ความคิดในด้านบวกทั้งสิ้น (ในตอนนี้คุณจะสามารถบังคับให้มันคิดชั่วได้ แต่ต้องตั้งใจมากๆ และความคิดด้านชั่วจะไปไม่ได้ครับ) ตรงนี้จิตใจจะสว่างโปร่งเบาตลอด คุณจะรู้ว่าสวรรค์คืออะไร
-ถ้าพลัดลงมาเหลือความรู้สึกตัวดีธรรมดา จะมีความคิดดีชั่วสลับกันไปมา และธรรมชาติมันจะค่อยๆเอียงลงไปในทางต่ำเสมอ ตรงนี้จะคุมความชั่วทางกายและวาจาได้ แต่ความชั่วทางความคิดยังคุมไม่ได้
-ถ้าไม่รู้สึกตัวเลยจะ ตกนรกมืดไปทั้ง กายวาจาใจ ทำอะไรจะมีความเดือดร้อนตามมาภายหลังเสมอ สิ่งดีดีที่เกิดกับคนพวกนี้มักใช้คำว่า โชค ดวง เฮง

แต่การฝึกระดับนี้ต้องเลยเรื่อง อารมณ์ มาแล้วนะครับ ไม่ใช่ว่า อารมณ์ดีแสดงว่าความรู้สึกตัวดีนะครับ มันเป็นคนละส่วนกันแล้ว เรากำลังว่ากันด้วยเรื่องความรู้สึกตัวล้วนๆเพรียวๆ คนที่มาถึงระดับนี้ เข้าสู่ระยะปัญญา ไม่ใช่ระดับสมาธิอีก แต่สมาธิและศีลรวมกันอยู่ในปัญญานั่นเอง หลวงพ่อเทียนถึงกล่าวว่า คนมีปัญญานั้นจะดูความคิด คำว่าดูความคิดไม่ใช่ดูกันตื้นๆนะครับ แต่มันต้องเข้าใจกันแบบทุกแง่มุม

ตอนที่ผมเข้าใจเรื่องนี้ ผมเลยเข้าใจว่า ทำไมคนที่ค้นพบของพวกนี้จึงเป็นได้ถึงศาสดา แล้วทำไมคำสอนของเค้าอยู่ยาวมาถึงสองพันปีและจะอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน แม้คนเข้าถึงจะน้อย แต่สิ่งนี้เป็นความจริงไม่ผิดเพี้ยน ผู้เดินตามกันมาจะพบเหมือนกันในทุกยุคสมัย ของมันลึกซึ้งมากเสียจนต้องใช้สมมตว่ายอดคน มันเกินกว่าความนึกคิดแบบสามัญตรรกะ มันทำได้ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ มันฉีกหน้าและทำลายทุกทฤษฎีของมนุษย์ที่ว่าด้วยข้อจำกัดต่างๆ

ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่เรียกตนว่าชาวพุทธ แม้คนที่ทำตนเสมอว่าเป็นผู้รู้ธรรม ยังจับอยู่ตรงกระพี้มันเป็นอย่างนั้นจริง ผู้ที่ตั้งใจขึ้นมาหน่อยก็ติดอยู่กับการสอนคนอื่น ผมไม่ทราบว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนผมไหม ยิ่งคุณมาไกลเท่าไหร่คุณจะยิ่งไม่อยากสอนใคร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะคุณจะตรึงใจดีว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ใครซักคนจะมานั่งฝึกอย่างหนักเพื่อขัดใจตัวเองตั้งแต่การกระทำไปยันความคิด การพูดธรรมะให้คนอื่นฟังไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก เทียบไม่ได้กับการที่เจ้าตัวเข้ามาประสบเอง


ย่อหน้าสุดท้ายนี้ ผมขอทิ้งไว้สั้นๆตามความเห็นส่วนตัวว่า การบังคับให้ความคิด คิดด้านบวกอย่างเดียวนั้นทำได้จริง เพียงแต่มันไม่สามารถเป็นไปได้ตลอดชีวิต ทางมันถึงต้องเดินต่อไปจนสุด เมื่อมันมาอยู่บวกธรรมชาติจะปรับสมดุลให้มันวนกลับไปลบ วนเวียนอย่างนั้น สัจธรรมที่สูงยิ่งกว่าที่ผมพอจะอ่านออกอย่างเลือนรางคือ แทรกลงไปตรงกลางหรือไปพ้นจากการคิดทั้งด้านบวกและด้านลบ ออกจากวงจรที่หมุนเป็นวง คราวนี้ได้หมดจดกันจริงๆแน่





ขอให้วันนี้ของทุกท่านสวยงามต่อไปครับ