โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

บ้า

บ้า
ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่า มีประสบการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในเวลาใกล้กัน

ผมจะค่อยๆเล่าตามลำดับเหตุการณ์เท่าที่จะนึกออกนะครับ หลังจากสงกรานต์กลับไปพักที่วัด ก็มีอาการคันตามแขน มีผื่นมีตุ่มขึ้น ตอนแรกคิดว่าแพ้หนอนบุ้ง ทิ้งไว้สี่วันจึงไปคลีนิคแถวๆวัด หมอบอกเป็นโรคหิดให้ออกจากวัดด่วน ก่อนที่จะไปติดคนอื่น สันนิษฐานว่าคนที่เข้าพักช่วงเทศกาลสงกรานต์ใช้ห้องนี้ แล้วเอาของส่วนตัวที่ผมทิ้งไว้ในห้องไปใช้ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกสนุกกับการทำลายข้าวของวัด ด้วยการเผาผ้าห่ม หมอน เบาะรองนั่ง เสื้อผ้า แล้วลวกพื้นผนังห้องด้วยน้ำเดือด ผมหวังไว้นิดๆแต่ไม่ได้ทำคือ เผากุฏิฆ่าเชื้อหิด



กลับไปอาศัยที่บ้านทายาที่หมอให้ ทำไมยิ่งทาผื่นยิ่งขึ้น จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง หมอวินิจฉัยว่า ไม่ได้เป็นหิด แต่เป็นสิว ผมจึงสงสัยว่าจริงๆผมเป็นอะไรกันแน่ จึงไปสถาบันโรคผิวหนังอีก หมอยืนยันว่า จริงๆแล้วแพ้ยาทาหิด และไม่ใช่โรคติดต่อ ส่วนเป็นหิดหรือไม่หมอไม่ทราบเพราะไม่มีอาการให้เห็น

หลังจากกลับมาวัดความบันเทิงที่ไม่คาดก็เริ่ม จากการที่คุณทานตะวัน ไปเก็บตัวฝึกที่วัดหนึ่งทางภาคอีสานอยู่สองเดือน เอาวิธียกช้าที่แนะนำเธอครั้งก่อนที่เจอกันไปใช้ ปรากฏว่ารู้สึกตัวตื่นเบาสบายขึ้นมา แต่ที่นั่นพระห้ามยกช้า สุดท้ายมีปัญหาคือจะทดลองยกช้าๆแต่ทำไม่ได้ พระบอกว่าเจอจิตมันหลอกเอา จึงตัดสินใจจากมา ตั้งใจว่าที่ไหนก็ได้แต่ไม่เอาวัด เพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีที่ไหนยอมให้ยกมือยืดยาดแบบนี้ มันเพ่ง แต่ผมก็ยังบอกว่าให้ฝึกที่วัดนี่ล่ะ ไม่ต้องกังวลข้าวปลาอาหาร และมีสองสามีภรรยารวมทั้งผมยกช้าอยู่แล้ว ตอนนั้นคนยกช้าในวัดมีสี่คน

ต่อมาสมาชิกคนที่ห้าก็มา ผมพึ่งรู้ทีหลังว่าบินตรงมาจากภูเก็ต เพราะไปลองยกช้าตามคำแนะนำของคุณทานตะวัน แล้วเกิดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาประมาณสามชั่วโมงติดต่อกัน หลังจากนั้นก็ไปไม่ถูกไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อ ผมเคยบอกคุณทานตะวันว่าอย่าไปพาใครมาหาผมอีก สุดท้ายยัยนี่ก็ทำจนได้ ไม่ต้องพูดอะไรกันมากสมาชิกคนนี้เป็นอีกคนที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เข้าใจธรรม หลังจากมาฝึกด้วยสองวันแรกง่วงจัด วันที่สามช่วงเย็นเริ่มมีอาการ วันที่สี่เกิดตื่นรู้อาการรูปนามขึ้นมา คำพูดที่เค้าบอกผมคือ เต็มแมกซ์

ในช่วงนั้นมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผมคนหนึ่งซึ่งผมสังเกตเค้าอยู่หลายวัน บอกว่าอยู่วัดมาเจ็ดวัน นี่มาครั้งที่สี่แล้ว ยังไม่ค่อยเข้าใจ เอาแต่บ่นว่าเค้าสมาธิสั้น ไม่นิ่ง นั่งนานๆไม่ค่อยได้ วันที่เค้าจะกลับผมแนะนำให้ยกมือช้าๆรู้สึกลงไปในเนื้อ ทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจ คิ้วขมวดชนกันบอกเครียด หาไม่เจอรู้สึกอะไรลงไปในเนื้อ ทำไปทำมา เกิดจับทางได้ รู้สึกตัวเป็นขึ้นมา ผมท้าให้อยู่ต่ออีกสองวัน เค้าอยู่ฝึกตามนั้น และนั่งฝึกได้นานๆติดกันหลายชั่วโมง บอกว่ารู้สึกตื่นตัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สมาชิกยกช้ากลายเป็นหก

สองวันต่อมาพี่ปูมาเพิ่มอีก ไม่ต้องสงสัยสมาชิกกลายเป็นเจ็ด ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นจังหวะแจ็คพล็อตเพราะมาในช่วงที่ปัญหาได้ทีที่จะปะทุ

พวกคุณอาจรู้สึกว่าน่าสนุก แต่เบื้องหลังเหตุการณ์พวกนี้คือ พระไม่พอใจอย่างมาก เพราะเตือนเท่าไหร่ก็ไม่มีใครฟัง ว่าอย่าไปทำช้าๆอย่างนั้นมันเพ่ง และมีพวกหกเจ็ดคนนี้เท่านั้น ที่ฝึกตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน พระหนักใจที่ต้องคอยตอบคำถามผู้มาฝึกใหม่ว่า ตกลงยกมือยังไงกันแน่ พระสอนให้ยกไม่ช้าไม่เร็ว(แต่เทียบกับพวกผมมันกลายเป็นเร็ว) แต่ทำไมคนฝึกส่วนใหญ่ที่เห็นประจำในศาลาเคลื่อนมือเป็นหอยทากแบบนั้นล่ะ

เรื่องเริ่มลุกลาม เมื่อพระเริ่มจับสังเกตได้ว่า ตัวแสบนี่เองคอยสอนให้คนอื่นยกช้าๆ เป้าหมายจึงพุ่งมาที่ผม จากนั้นเทศน์เช้ากลางวันเย็น ผมและกลุ่มเพื่อนถูกด่าโดยไม่เอ่ยชื่อติดๆกันเป็นอาทิตย์ เปิดเทปหลวงพ่อเทียนว่าโดยอ้อม ไล่ตั้งแต่ ติดอารมณ์ เป็นวิปัสสนู เก่งไม่จริงแล้วสอน ติดสมถะ และสุดท้ายวิปลาส สมาชิกบางคนเริ่มสงสัยตัวเอง นี่ตกลงชั้นเพ่งอยู่หรือนี่ ทำไมไม่อึดอัด รู้สึกตัวชัดเจน รับรู้ทุกอย่างรอบตัว ความคิดคิดไม่ได้หยุด แบบนี้เพ่งหรือ

เมื่อเหตุการณ์เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เราจึงประชุมกัน ทุกคนไม่มีใครฟังพระเนื่องจากเห็นผลปรากฏชัดเจนในเวลาอันสั้น บางคนเจอผมยกมือไหว้แล้วไหว้อีกอยู่นั้น ซึ่งสารภาพตรงๆว่าผมอึดอัดที่ต้องคอยรับไหว้ พระเริ่มสังเกตสิ่งเหล่านี้แล้วพูดทำนองว่าเก่งนักให้ไปตั้งสำนักสอนกันเองซะเลย อยู่ที่นี่ต้องยกแบบที่นี่ บางคนในวัดพอรู้เรื่องราวความขัดแย้งที่เริ่มก่อตัว แนะว่าอยู่ต่อหน้าพระให้ยกเร็วๆ จะได้เข้ากับกลุ่มหมู่คณะเค้าได้ แต่ไม่มีใครเอาด้วยเพราะมันไม่รู้สึกตัว ยกแบบนั้นก็จะมีสภาพแบบพระ ผลคือสภาพกระด้างกระเดื่อง ไม่เข้าหาพระ พระไม่พูดด้วย ยกมือไหว้แล้วพระเมินไม่มองหน้า พยายามเดินเลี่ยงพระเพราะไม่อยากมีปัญหา แต่กลายเป็นว่า พระมองว่ากลัวถูกตักเตือน คนติดอารมณ์มันมีสภาพแบบนี้ล่ะดูเป็นตัวอย่างไว้ทุกคน

ผลสรุปซึ่งผมเป็นคนขอให้ทุกคนทำตาม คือ ขอให้แยกย้ายกันไปฝึกที่ต่างๆซักเดือนได้ไหม เพื่อลดความรุนแรง แต่บางคนบอกว่าทำไมไม่ชนกับพระไปเลย เพราะวิธีนี้มันใช้ได้ผลจริง ผมขอว่า ที่นี่มีบุญคุณกับผมมากทั้งเรื่องข้าวปลา อาหาร น้ำไฟ ผมใช้ไม่เคยเดือดร้อนขาดแคลน อีกทั้งมันยังสร้างความแตกแยกให้กับคนที่ฝึกในสายเดียวกัน คนที่เข้ามาใหม่จะต้องมองอย่างแน่นอนว่า คนฝึกสายนี้ในวัดยังตีกันเอง วิธีแบบนี้ต้องไม่ได้เรื่องแน่ๆ คนในวัดถึงมีสภาพแบบนี้ มันจะเสียหายไปถึงหลวงพ่อเทียนด้วย และผมเป็นห่วงพวกเค้ามากกว่า แทนที่จะเอาเวลามาพัฒนาตนเอง กลับต้องใช้มันไปกับการต่อสู้บ้าๆบอๆที่รู้ผลแพ้ชนะอยู่แล้ว ผมไม่สนการแข่งขันที่ชนะคู่ต่อสู้แต่แพ้ใจตัวเอง ผมสนจะอัดกันด้วยพัฒนนาการของความรู้สึกตัว ไม่ใช่อัดกันด้วยไมโครโฟน

เมื่อเป็นแบบนี้บางคนกลับไปวัดทางอีสานเพื่อขอต่อเก็บอารมณ์เจ็ดวัน เนื่องจากกำลังตื่นรูปนาม ผมตั้งใจไปบ้านที่ต่างจังหวัดเก็บตัวฝึกเดี่ยวซักระยะ แต่บางคนไม่เห็นด้วยเพราะแต่ละคนกำลังคึกคะนอง ใครบางคนจึงขออาสาเปิดบ้านตัวเองเป็นที่พักหลับนอน แล้วขับรถไปฝึกด้วยกันที่ไหนซักแห่ง อัดกันให้หนักกว่าฝึกที่วัด

มีคนเรียกผมหลายครั้งว่ากัลยาณมิตร ซึ่งผมแค่ฟังแต่ไม่ค่อยซึมซับเท่าไหร่ เพราะผมลุยคนเดียวมาตลอด แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจ เพราะคนพวกนี้เป็นคนแบบเดียวกับผม พวกเค้าตั้งใจฝึกจริง ทิ้งบ้านทิ้งความสบายทิ้งงานเหมือนผม เป็นรอบหลายๆปีที่คำบางคำที่หายไปจากใจผมได้หวนกลับมา.....สหาย

หลังจากออกจากวัด ซึ่งต่อมาผมเริ่มเข้าใจปัญหาความขัดแย้งหมักหมมในวัดที่มีมาก เกินกว่าที่ผมจะไปนั่งใส่ใจ ทั้งปัญหาพระทำตัวไม่เหมาะสม เรื่องสีกา เรื่องคนในวัดที่ไม่ถูกกัน ชีวิตในวัดผมพอรู้เรื่องเหล่านี้บ้างแต่ไม่ลึก ผมไม่เคยเอาเวลาไปนั่งพิจารณาความเป็นไปของโลกพวกนี้ เชิญตีกันไปตามสบายตราบใดที่ไม่มายุ่งกับการฝึกของผม วันวันผมฝึกอย่างเดียวไม่ค่อยสนใจใคร แต่ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อพวกฝึกเอาะๆแอะๆ แล้วพยายามจะเอาของอ้อๆแอ้ๆนั่นมายัดเยียดให้ผมทำตาม

ผมจะสรุปปัญหาคร่าวๆว่า ทุกวันนี้ปัญหาในวัด กลายเป็นเรื่อง คนที่พยายามจะยึดเอาวัดเป็นที่กินที่อาศัย ฟรีๆไปจนตาย ทั้งพระและโยมไม่มีใครอยากย้ายไปไหนเพราะ มันมีทุกอย่างฟรี แต่ด้วยความเปิดของมัน คนโน้นคนนี้มาอยู่ แนะนำไปแนะนำมา กลายเป็นสุดท้ายมีกลุ่มเล็กน้อย กลุ่มคนเก่าคอยสกรีนคนเข้ามาอยู่ใหม่ คุณต้องเข้ากับคนเก่าได้คุณถึงได้อยู่ มันไม่ได้วัดว่าคุณเดิมพันชีวิตของคุณทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติหรือเปล่า และพวกเค้าไม่ได้กระหน่ำฝึกอย่างที่สถานที่นี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ของมัน ผมหมดหวังตั้งแต่สองอาทิตย์แรกที่ผมดร็อปเรียนมา กำเงินทั้งหมดที่มีเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน แต่มาเจอสภาพพวกขี้เกียจฝึกแต่เที่ยวสอนคนอื่น ผมช็อค ผมอยู่ต่างประเทศยังฝึกหนักมากกว่าพวกเค้าที่อยู่ในวัดเสียอีก นอกจากพระเพียงสองคนผมไม่เคยปริปากกับใครเรื่องการปฏิบัติ ผมไม่เข้าหาพระ และนี่เป็นเหตุผลที่พวกเค้าไม่ค่อยยุ่งกับผม นานๆก็แย็บขึ้นมาทีว่า ไงรู้รูปนามหรือยัง

จริงๆแล้วเรื่องยกมือช้าเร็วไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ ถ้าพระไม่สามารถกุมความศรัทธาของญาติโยมไว้ได้ พระจะตายหมด ปัญหาอยู่ที่ว่าวัดนี้เป็นวัดปฏิบัติ พวกคุณต้องเข้าใจว่า พระที่เราเรียกว่าสายปฏิบัติ ไม่มีการนั่งท่องตำรา ไม่เน้นสวดมนต์ ไม่สนพิธีกรรม ถ้าไม่ฝึกไม่ปฏิบัติธรรม มันก็แค่สถานที่ที่พวกขี้เกียจตัวเป็นขน อพยพมารวมตัวอยู่ด้วยกันเท่านั้น ถ้าคุณอยากรู้ความหมายของคำว่า กินอยู่อย่างสูง นั่งนอนอย่างสูงแต่มุ่งหวังการกระทำอย่างต่ำเป็นอย่างไร ผมขอแนะให้คุณลองไปใช้ชีวิตในวัดซักเดือนสองเดือนดูครับ

คนส่วนใหญ่มาที่นี่เพื่อแสวงหาหนทางการปฏิบัติ เมื่อก่อนพระแนะนำให้ทำอะไรก็ทำไป ทำไปนะโยม รู้ก็รู้ไม่รู้ก็รู้ว่าไม่รู้ ทำสบายๆแบบอาตมานี่ อยู่กับธรรมชาติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่มันมีการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน มันเห็นผลอย่างรวดเร็ว อีกทั้งวิธีที่ใช้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต่างจากคำสอนพระในวัดอย่างมาก ในฐานะผู้แสวงหาการพ้นทุกข์สำหรับคนที่ผมแนะนำ พวกเค้าไม่สนหรอกว่าท่าทางมันจะประหลาดแค่ไหนหากมันได้ผล แต่มุมมองของพระไม่ใช่ ไม่ทำตามครูบาอาจารย์จะมาวัดทำไม ถ้าวิธีที่พระสอนไม่ได้ผล พระจะต่างอะไรกับป้าๆลุงๆที่มาวัดเพื่อหากลุ่มพล่ามธรรมะวันอาทิตย์

ผมพูดได้เลยว่าผมทำพระเสียหน้า เพราะเค้าสอนแต่ดันไม่มีคนทำตาม พวกเค้ารู้ดีว่าปล่อยไปอย่างนี้จะต้องเกิดปัญหา จากที่พระไม่ถูกกันเองภายในกลายเป็นสามัคคีกันขึ้นมา กดดันพวกเราอย่างหนักด้วยวิธีป่าวประกาศว่า เป็นพวกปฏิบัติผิด เพ่ง ติดสมถะ เข้าไปในความสงบ และผมตัวแสบที่สุดกำลังติดอารมณ์ แก้ไม่เป็นไม่เคยเข้าหาครูบาอาจารย์ ถ้ามันเพ่งจริงผมยอมเพ่งดีกว่านั่งคอพับแบบพระ

ช่วงนั้นคนที่มาวัดใหม่จะเดือดร้อน พวกเค้าไม่รู้อะไรแค่มาพักวันสองวันแล้วกลับ แต่พระจะขึ้นเทศน์ด่าแบบไม่เอ่ยชื่อผมอยู่ตลอด ซึ่งผู้มาพักจะรู้สึกเครียดเพราะไม่เข้าใจว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในวัด เมื่อผมออกมาจากวัดผมไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นอีก เพราะเมื่อฟังจากพี่ๆในวัดปัญหาอื่นๆที่หมักหมมมานานค่อยๆปะทุขึ้นพร้อมๆกัน

และนี่คือเหตุผลที่ผมควรจะตอบทุกคนไปในครั้งเดียวกันว่า ทำไมผมไม่เคยคิดจะบวช เพราะตลอดเวลาผมเห็นสัมผัสแต่ของแบบนี้ มันอาจจะเป็นแค่ที่วัดนี้วัดเดียว และผมอยากจะให้เป็นอย่างนั้น เมื่อผมได้คุยกับบางคนเค้าบอกว่า พระที่อื่นงดงามกว่านี้มาก ฝึกอย่างหนักจริงจัง ผมพูดตรงๆว่าผมนึกภาพไม่ออกว่าสภาพพระที่ฝึกชนิดอัดจนสลบเป็นอย่างไร ผมไม่เคยเห็น แต่ถ้ามันมีผมจะขอบคุณโลกใบนี้มากขึ้น

การที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟังเพราะว่า หนึ่ง เรื่องเดิมพันที่ว่า จะออกจากวัดถ้าทำไม่ได้คงต้องตัดออกไป เพราะถูกไล่ออกมาก่อนจะครบกำหนด แต่เรื่องลบบล็อกทิ้งไม่มีปัญหา

สอง มีคนหลายคนเขียนมาหาผมว่าช่วยสอนที ขอให้พวกคุณเข้าใจไว้ด้วยว่า บรรดาพระในสายหลวงพ่อเทียนส่วนใหญ่ พวกเค้าบอกว่า วิธีที่ผมใช้นั้นผิด เพ่ง สมถะ ติดสงบ ติดอารมณ์ เป็นวิปัสสนู เพราะฉะนั้นพวกคุณจงวินิจฉัยให้ดี ว่าคนแบบนี้หรือที่คุณอยากจะให้เป็นครูของคุณ

ขอให้พวกคุณหยุดขอให้ผมสอนได้ไหมครับ เพราะทุกวันนี้ผมและเพื่อนๆฝึกกันวันละเก้าถึงสิบเอ็ดชั่วโมง ซึ่งตึงมือมากทั้งฝึกตัวเองและฝึกคนอื่นแบบเกาะติด ผมได้เรียนรู้ว่าการเป็นครูคนไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ง่ายจริงๆ สภาวะคุณกับนักเรียนของคุณต้องห่างชั้นกันมากถึงจะเอากันอยู่ คุณต้องรู้จักการแก้อารมณ์ คุณต้องรู้จักใช้คำพูด ซึ่งแน่นอนว่าของพวกนี้ผมยังไม่คล่อง คุณต้องสังเกตพวกเค้าอยู่ตลอด ไม่งั้นนักเรียนคุณดับแน่ ผมอยู่วัดมา ผมรู้ว่าการสอนของพระมีจุดอ่อนมากแค่ไหน ทำไมผมถูกไล่ออกยังมีคนตามมาอีก เพราะคนพวกนี้ต้องการคนจี้สภาวะ พวกเค้าต้องการคำตอบที่ฟันธงแบบเคลียร์ม้วนเดียว ไม่ใช่ดีแต่สอนของที่ตัวเองไม่ได้เป็นแล้วทิ้งๆขว้างๆ ซึ่งการลงตัวต่อตัวแบบนี้ ผมรับได้ไม่กี่คนครับ


ผมต้องค่อยๆทะยอยเขียนเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา
ต่อไปเป็นเรื่องสภาวะธรรมที่ผ่านมาในช่วงนี้ครับ

ช่วงที่พักรักษาตัวตอนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นโรคหิด ในระหว่างฝึกความรู้สึกจะตื่นและรู้สึกแปลกๆตรงที่มันแข็ง แน่น เหมือนร่างกายข้างในเป็นไม้ พอกลับมาฝึกที่วัด เกิดความเข้าใจเรื่อง วิชา และ อวิชา ขึ้นเอง เคยเข้าใจว่า วิชาแปลว่ารู้ อวิชาแปลว่าไม่รู้ แต่ความเข้าใจที่เกิดกับผมไม่ใช่แบบนั้นเลย ทั้งคู่คือแปลว่ารู้เหมือนกัน เพียงแต่ลักษณะการรู้ของมันต่างกันราวฟ้าดิน มีของอันหนึ่งวางไว้หน้ากระจกเงา วิชาคือการรับรู้โดยการสัมผัสไปที่สิ่งนั้นตรงๆ แต่อวิชาเป็นการรับรู้ด้วยการมองเข้าไปในกระจกเงาแล้วรู้ว่ามันคืออะไร มันรู้ทั้งคู่ แต่ต่างกันมาก และใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นพระโยมฝึกมาอย่างหนักแค่ไหนก็ตาม สภาวะการรับรู้สิ่งใดใด จะเป็นการรู้แบบอวิชาเกือบทั้งสิ้น ผมกำลังก้าวเข้าไปสู่ความเข้าใจอะไร ผมบอกไม่ถูกเลย ผมเข้าใจจอะไรไม่เหมือนชาวบ้านอีกแล้ว อวิชาไม่ใช่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร สภาพที่คนเราไม่รู้สึกตัวนั่นล่ะอวิชา

ฝึกไปฝึกมา ดันไปเข้าใจเรื่องที่หลวงพ่อเทียนพูดว่า ก่อนตายสามถึงห้านาทีทุกคนจะต้องเข้ามาเจอตัวนี้ ไม่งั้นมันจะตายไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเลย ผมรู้ของพวกนี้ขึ้นมาได้ยังไง คนเราก่อนตายมันต้องทิ้งรูป ทิ้งเวทนา ทิ้งสัญญา ทิ้งสังขาร ทิ้งวิญญาณ หากอุปทานยังยึดตัวใดตัวหนึ่งอยู่แม้เพียงตัวเดียว คนคนนั้นจะไม่สามารถสิ้นใจได้ มันเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด ในคำสอนที่ว่า จิตสุดท้ายก่อนตายคิดเรื่องอะไรจะเป็นตัวตัวสินภพชาติอันต่อไป คนเรามันคิดไม่ได้ตอนจะหมดลมหายใจ เพราะถ้ามันยังคิดอยู่ คนคนนั้นไม่สามารถตายได้ อริยบุคคลระดับนี้จึงมีชีวิตคาบเกี่ยวกับความตายตลอด เพราะถ้าตัวนี้ดับเค้าจะตายทันที แต่เพราะมันเข้าถึงตัวสุดท้ายด้วยปัญญานี่เอง สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่จึงสามารถพัฒนาขึ้นให้แข็งแกร่งมากด้วยการเจริญยิ่งขึ้นไป หากแต่คนที่ไม่ได้เจริญปัญญามาถึงจุดนี้ พวกเค้าจะเข้าถึงสภาวะนี้เช่นกัน เพียงแต่พวกเค้าจะไม่เข้าใจมัน คนหนึ่งตั้งใจเข้าถึงสิ่งนี้ อีกคนหนึ่งถูกบังคับด้วยความตายให้เข้าไปเจอ

วิปลาส นี่คือตัวที่ผมสงสัยมากที่สุดตัวนึงในคำสอนของหลวงพ่อเทียน ผมรู้ว่าวิปัสสนูเป็นยัง จินตญาณเป็นยังไง แต่วิปลาสนี่ไม่รู้เลย ไม่มีลายแทงเข็มทิศอะไรซักอย่างเดียวจากเทป หนังสือ ลูกศิษย์ของท่านที่ผมจะสามารถตีความได้ ว่าวิปลาสคืออะไรกันแน่ เมื่อตอนที่ผมติดอยู่กับอารมณ์ตัวนี้ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับความคิดทำงานรวนไปหมด เหมือนเครื่องจักรกำลังจะพัง ความคิดประเภท ผมกำลังทำอะไรอยู่ ฝึกแบบนี้ถูกหรือ ยกมือทำไม โผล่ออกมาไม่ได้หยุด มันเหมือนเรื่องราวความรู้ความเข้าใจธรรมที่ผมมีผิดพลาดทั้งหมด ความคิดคอยบอกว่ามันผิด มันผิดแน่ๆ เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว แต่ทำไมความรู้สึกตัวไม่เป็นอะไร ในจุดนั้นจะมีเพียงสิ่งเดียวที่บอกหรือยืนยันได้ว่า เราเดินมาถูกทางหรือไม่ จนผมเอะใจว่าทำไมเป็นแบบนี้ พอมันเข้าใจว่าเจ้านี่เองคือตัววิปลาส มันก็ดีใจขึ้นมาอีก เพราะรู้ขึ้นมาเองไม่ต้องมีคนบอก เก่งมากน่ะเนี่ย คราวนี้ไปติดตัวกำเริบดีใจนี่อีก โชคดีที่เจอมาบ่อยมากจนไหวตัวทัน แต่ในบรรดาอุปสรรคทั้งสามตัว วิปลาสเป็นตัวที่ยากที่สุด เพราะถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็น มันก็หลุดไม่ได้ ผมจะไม่บอกพวกคุณว่ามันคืออะไร แต่จะใบ้เอาไว้ให้ว่า เมื่อคุณเข้าถึงจุดนี้คุณจะเจอสภาวะเดิมแท้ของชีวิตคุณ อะไรที่เป็นตัวที่ทำให้คุณหลุดไปจากชีวิตแท้ๆของคุณ สิ่งนั้นคือวิปลาส มันเป็นบ้า พวกคุณไม่ต้องคิดตามครับ สิ่งที่พวกคุณคิดขึ้นมาจะผิดทั้งหมด

คนที่รู้จักวิปลาส เป็นเหมือนคนบ้าที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นบ้า ซึ่งคนที่รู้ตัวเองว่าเป็นบ้า เป็นบ้าหรือไม่ พวกคุณลองคิดดูเอาครับ แน่นอนว่าเป็น แต่เค้าจะเริ่มรักษาตัวเอง ต่างกับคนบ้าที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้า พวกนี้ไม่รักษาตัวเองและจะไม่ยอมให้ใครมารักษาด้วยเพราะเค้าคิดว่าเค้าไม่ได้บ้า การที่จะผ่านตัวนี้ได้เท่าที่ผมมองออกคือ การไม่ฟังว่าความคิดบอกอะไรกับคุณ

หลังจากถูกไล่ออกจากวัด ไปฝึกที่ไหนไม่ทราบจำชื่อไม่ได้ เกิดเข้าใจเรื่องความงามขึ้นมา อริยบุคคลไม่ได้ชอบผู้หญิงสวย ไม่สนรถสปอร์ต แต่พวกเค้าชื่นชมความจริง เมื่อพวกเค้าเจ็บขา นั่นคือความงาม มันเป็นความจริง เมื่อเค้ามองต้นไม้ทิวทัศน์ เค้าไม่สนองค์ประกอบศิลป์ แต่เค้าชื่นชมในภาพที่ตาเห็นจริงแค่นั้น เมื่อนั่งแล้วปวดเมื่อยมันเป็นความงามเพราะมันคือของจริง

ใครหลายๆคนในกลุ่มบอกว่าหลังจากถูกพระประเคนด่าทุกวัน ฝึกไม่ได้เลยเก็บมาคิดตลอดช่วงเช้า แล้วผมล่ะ ผมสังเกตตัวเอง ผมตัวปัญหาแท้ๆ ทำไมผมไม่กังวลอะไรเลย ผมไม่สนด้วยว่าวัดจะพังพินาศ เจ้าอาวาสจะตาย หรือพระจะใกล้ชิดสีกาเกินจำเป็น หลังจากถูกไล่ออกจากวัด ผมรู้สึกว่าปัญหาแบบนี้กระจอกมาก มันเป็นเรื่องเล็กที่ผมแทบไม่เคยเก็บเอามาคิด ไม่มีคืนไหนที่ก่อนนอนผมเอามือก่ายหน้าผากบอกตัวเองว่า ไม่น่าทำเลย ผมไม่รู้สึกว่านี่คือปัญหา ปัญหาที่ผมมีแค่สองอย่างคือ หนึ่งผมสงสัยว่าเชือกขาดคืออะไร สองผมจะช่วยเหล่าคนที่ผมแนะได้เร็วที่สุดด้วยวิธีไหน นั่นคือปัญหาใหญ่ของผม เรื่องพระ เรื่องยกช้ายกเร็วอะไรนี่ ผมไม่เห็นอยู่ในสายตา ผมโชคดีที่ได้เจอปัญหาแบบนี้ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดมากคือ การฝึกที่ผ่านมามันได้ผล ผมไม่ทุกข์กับปัญหาที่เกิด

ต่อมาเมื่อความรู้สึกกายแนบแน่นลงไปมากๆ ผมพบว่า ที่ผ่านมาผมเข้าใจอะไรผิดบางอย่างเรื่องการบรรลุธรรม มันเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างที่ผมคาดว่ามันจะเป็น การบรรลุธรรมไม่ใช่การบรรลุที่จิต จิตสว่างจ้าไร้ขอบเขต โลกธาตุสั่นสะเทือน เมตตากรุณาแผ่ไพศาลอะไรแบบนั้น ใครบรรลุยังไง ผมไม่ทราบแต่ผมมั่นใจว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเจอ



ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ
Posted by koknam at 00:07 Labels: 44 บ้า
5 comments:
พี่ปู said...
กลับมาบ้านเจอปัญหาทางโลกที่รอสะสางและตัดสินใจค่ะ จริง ๆ ใจส่วนลึกถ้าไม่ห่วงอีกสองห่วง จะดีใจและรีบกลับเมืองไทยไปฝึกกับคุณก็อกน้ำ ถือว่าเอาวิกฤติเป็นโอกาส แต่อะไรไม่แน่นอน อาจได้พบกับคุณก็อกน้ำก่อนสิ้นปีนะคะ

ดีใจที่ได้พบกันค่ะ

บุญรักษาค่ะ
พี่ปู
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

14 Jun 2011 04:01:00
mon369 said...
ขอฝากคำพูดของนักเขียนชาวบราซิล Paulo Coelho ให้เป็นกำลังใจค่ะ

When someone makes a decision, he is really diving into a strong current that will carry him to places he had never dreamed of when he first made the decision.

15 Jun 2011 06:48:00
ดอกไม้ said...
อ่านแล้วอึ้งกับพฤติกรรมของพระค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้ฝึกให้สำเร็จจนเชือก

ขาด แล้วมาสอนพวกที่มุ่งดับทุกข์อย่างจริงจัง กำลังรอเรียนอยู่ค่ะ

17 Jun 2011 11:39:00
Anonymous said...
เมื่อประตูหนึ่งปิด อีกประตูหนึ่งก็จะเปิด

http://www.youtube.com/watch?v=ouqCTBDCrbU

17 Jun 2011 21:48:00
Anonymous said...
อย่าเชื่อผมมากครับ
พระก็มีมุมมองของเค้า ผมเก็เขียนขึ้นจากมุมของผม
ไปฟังจากพระอาจจะไม่เป็นอย่างที่อ่านเอานี่ก็ได้

koknam

17 Jun 2011 22:27:00

Post a Comment
รู้สึกตัวซะหน่อย แล้วค่อยๆเขียน