โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อโดยขาดการพิจารณาด้วยปัญญา เนื้อหาบางส่วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าบทความ ขอสงวนสิทธิในการเผยแผ่ต่อ โปรดเคารพต่อสิทธิของเจ้าของบทความ

โง่แล้วง่าย

โง่แล้วง่าย

ระยะที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้สังเกตผลลัพธ์จากคนที่ผมได้แนะนำ ผมได้เขียนไว้ในบทความอันที่แล้วว่า มีเด็กอายุสิบเก้าที่เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ใช้เวลาห้าชั่วโมงจึงเข้าใจเรื่องของสติและทันความคิดขึ้นมาใช่ไหมครับ คราวนี้ผมจะเล่าเรื่องของเด็กอายุสิบหกคนหนึ่งให้ฟัง หมอนี่โดนรีไทน์ออกจากปีหนึ่งโรงเรียนพาณิชย์อะไรซักอย่าง เท่าที่ผมคุยกับเค้าชีวิตชินชากับการชกต่อยสูบบุหรี่เดินกร่าง ไม่รู้ชีวิตจะไปทางไหน เพราะติดเพื่อนไม่ชอบเรียน





ผมเข้าได้ดีกับคนเกือบทุกวัย ยกเว้นพวกเอาแต่โม้ธรรมะ พวกนี้ผมไม่เคยจะเข้าไปสุงสิงด้วย เมื่อรู้ว่าผมต้องสอนเด็กอายุสิบหกที่พ่อแม่บังคับเท่านั้นถึงจะเข้าวัด ผมจำต้องใช้เจ้าเด็กอายุสิบเก้าเป็นตัวนำ เพราะเค้าเป็นเด็กลักษณะคล้ายๆกัน ผมแกล้งถามเค้าว่า มาวัดทำไม เค้าพูดว่า “ผมอยากเปลี่ยนตัวเอง”



สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักชัดในช่วงที่ผ่านมาคือ การแนะนำการเจริญสติห้ามสอนผิดอย่างเด็ดขาด ผู้สอนต้องเข้าใจลำดับอารมณ์จริงๆ ต้องตรงจุดที่คนคนนั้นกำลังอยู่ และต้องติดตามผลของการปฏิบัติของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด มาถึงเจอกันพูดๆคุยๆแล้วแยกย้ายกลับบ้านไม่มีนะครับ พอฝึกแล้วไม่พัฒนาเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของผู้ฝึก บารมีไม่พอ ไม่ใช่สิ่งที่ผมทำ



ผมข้ามช่วงอินโทรนะครับ ผมบอกให้เจ้าหนุ่มนี่เคลื่อนมือช้าๆ ให้หยุดค้างชัดๆ ผ่านไปวันแรกทำบ้างไม่ทำบ้าง แค่ตามเวลาที่วัดกำหนดเท่านั้น เดินไปโน่นนี่ คุยนั่นคุยนี่กับใครไปเรื่อย ประมาณวันที่สามเริ่มง่วงนอน บ่นว่าซัดกาแฟเท่าไหร่ก็ไม่หายง่วง ง่วงตลอดเวลา ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นอยู่ซักสองวัน ผมบอกว่าให้ปล่อยให้ง่วง อย่าห้าม อย่าต้านความง่วง ยิ่งง่วงมากเท่าไหร่ให้เคลื่อนมือช้าลงมากขึ้นเท่านั้น (เค้าทำหน้างงคงนึกทำไมมันขัดกับคนอื่นขนาดนี้) ห้ามนอนอย่างเด็ดขาด วันต่อมาก่อนทำวัตรเย็น เค้าเดินมาหาผมถามว่าจะแก้ความง่วงยังไงดี ครั้งนี้จะนั่งอัดติดต่อสองชั่วโมงให้ได้ ที่ผ่านมาแพ้ตลอด จะเอาความง่วงให้ขาด(พูดแบบนักเลง) ผมทรมานมาก พี่ครับเป็นไปได้ไหมที่จะเอาชนะมันให้ขาดได้ภายในสองชั่วโมง ผมบอกว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกขอให้เจ๋งจริงเถอะ แม้จะโดนซัดลงไปกองที่พื้นแต่นักเลงจริงจะไม่ยอมแพ้ งั้นขอผมไปอัดซักมวนก่อนเพิ่มพลัง และค่ำวันนั้นหมอนี่ก็ตั้งใจ ผ่านไปสองชั่วโมงเค้าถามผมว่าทำไมวันนี้นั่งสร้างจังหวะได้โดยไม่ง่วงเลยล่ะ ถ้าเป็นงี้วันเสาร์ผมจะยังไม่กลับบ้านจะอยู่ฝึกต่อ แต่ผมรู้ว่าเช้าวันต่อมาหมอนี่จะกลับมาง่วงอีก เป็นไปตามคาด ง่วงอีกแล้ว ซึ่งตัวเค้าเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม สุดท้ายวันเสาร์ก็กลับบ้าน



ก่อนกลับหมอนี่ถือหนังสือมาเล่มนึงบอกว่า พี่อธิบายปฏิจจสมุปบาทให้ฟังหน่อยครับ ผมเปิดมาแล้วไม่เข้าใจแผนภาพพวกนี้ (หมอนี่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะจบซักเล่มเค้าว่างั้น) ผมบอกเค้าว่า เรื่องนี้ถ้าไปถามคนอื่นจะได้คำตอบแตกต่างกัน ผมอธิบายได้เท่าที่ผมเข้าใจเท่านั้นจะเอาไหม อวิชชาก็เหมือนกับชีวิตที่ผ่านมาของเราที่ไม่รู้สึกตัวนั่นล่ะ มันจะเป็นวงวิ่งจากตัวหนึ่งไปตัวหนึ่ง ลูกศรชี้ส่งเหตุไปให้ตัวต่อๆไป ถ้าไม่รู้สึกตัว ก็อยากเล่นเกม เสร็จแล้วก็เบื่อ เบื่อก็หิว อิ่มก็โทรศัพท์นัดเพื่อน แล้วออกไปเที่ยว แล้วก็สูบบุหรี่ แล้วส่งผลไปจนถึงเรียนห่วยๆ แล้วโดนรีไทน์ เมื่อวานตอนที่เรารู้สึกตัวแล้วไม่ง่วง เราอยากดูดบุหรี่ไหมล่ะ(เค้าบอกว่าไม่) ผมจึงบอกต่อว่า วิชชาคือ การรู้สึกตัวนั่นล่ะ ถ้ารู้สึกตัวเสมอลูกศรทั้งหมดจะเดินย้อนทาง เมื่อตัวหนึ่งเกิดอีกตัวจะเกิดไม่ได้ มันเป็นของตรงข้ามกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ ถ้าอยากเปลี่ยนตัวเองจริง ต้องเริ่มที่ความรู้สึกตัว อย่างอื่นไม่ต้องทำ ดูเค้าพยักหน้าเป็นครั้งๆคงเข้าใจ(มั้ง) สิ่งที่สังเกตได้ชัดสุดจากหมอนี่คือ เค้ากลายเป็นคนนั่งหลังตรงเวลาฝึก



สองวันต่อมาหมอนี่กลับมาอีกโดยที่ไม่ได้ถูกใครบังคับ แล้วบอกว่า ผมโคตรกลัวที่จะต้องกลับไปง่วงแบบนั้นอีกเพราะงั้นผมต้องมาฝึก จะเอาชนะให้ได้ หายไปไม่เกินชั่วโมง เดินมาหาผมแล้วบอกว่า เค้าไม่อยากเรียนแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรอยากแต่จะมาวัดและฝึก หายไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเดินมาบอกว่า เป็นอะไรไม่รู้ครับ ไม่ง่วงเลยรู้สึกมือแขนชัดไปหมด มันตื่นและรู้สึกคึกมาก ผมบอกว่าวันนี้ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องกวาดใบไม้ ให้เก็บตัวฝึกอย่างเดียวในห้องไม่ต้องออกมา แต่เค้าทนไม่ได้ ผมอยากกวาดใบไม้มันคึกมากครับ ผมทนไม่ไหว ผมจึงต้องเริ่มเตือนแล้วว่า อย่าอยู่กับตัวนี้ให้กลับไปที่เหตุว่า เราทำอะไรมามันถึงได้ตื่นแบบนี้ ถ้าไปอยู่กับตัวนี้มันจะค่อยๆเสื่อมแล้วจะกลับไปง่วงอีกนะ เค้าก็ดูจะเชื่อฟังดี



ค่ำวันนั้นเดินมาบอกอีกแล้วว่า ยกมือแล้วเหมือนมือจะขาด มือเหมือนหายไปไม่รู้สึกว่ามีมืออยู่เลย ฝึกรู้แค่ที่มือทำไมมันเบาแบบนี้ ถ้าผมรู้สึกทั้งตัวจะลอยได้ไหม ต่อมาเดินมาบอกอีกทีว่า ทำไมยกมือมันไปรู้สึกที่ขาชัดล่ะ ตัวผมจะหายไปไหม มันเบาไปหมด ถ้าฝึกแล้วลอยหายไปเลยล่ะ ชักกลัวแล้วนะเนี่ย ความคิดผมคิดแบบไม่ยอมหยุด ไม่รู้มันคิดอะไรของมันคิดแล้วก็ลืมรู้แต่ว่ามันคิดไม่หยุด ตอนนอนกลางคืนนอนแล้วพลิกไปมารู้สึกตัว หลับๆตื่นๆ แต่ตื่นนอนแล้วมันไม่เพลียนะครับ



ทุกครั้งผมบอกหมอนี่เพียงว่า ให้แนบแน่นตั้งใจอยู่กับความรู้สึกของกายให้ชัดเอาไว้



เช้าวันต่อมา เค้าเดินมาแล้วบอกว่า พี่ครับชีวิตนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย (นี่คือคำพูดของเด็กอายุสิบหก ที่ไม่เคยรู้ว่าธรรมะคืออะไร ไม่เคยศึกษา ไม่รู้ศัพท์เทคนิคต่างๆ และถูกบังคับให้เข้าวัด) พ่อแม่ไม่ใช่ของผม ไม่ใช่พี่ชายผม มันไม่เกี่ยวกับพระ อายุไม่เกี่ยวอะไรด้วยกับการฝึก มันยึดถือกันไปเอง ไม่เห็นจะต้องบวชเลย ผมรู้ทันทีว่าเค้าเข้าใจเรื่องของสมมตแล้ว จากนั้นผมถามคำถามเค้าหลายอย่างเพื่อวัดความเข้าใจ และช่วยจัดระบบในระยะนี้ให้ชัดเจนขึ้น



เค้าถามว่า เมื่อไหร่ผมจะเลิกรู้สึกตัวซักที ไม่ใช่มันไม่ดีนะครับพี่ มันตื่นตลอด แต่ผมยังไม่คุ้นเคยกับมัน มันรู้สึกตัวอยู่ตลอดเลย เหมือนที่มันยืนอยู่นี่ไม่ใช่ตัวผม เมื่อก่อนผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า พ่อแม่พยายามลากผมมาวัดทำไม ตอนนี้ผมอยากฝึกอย่างเดียวเลย



สุดท้ายผมบอกเค้าว่า จะเรียกผมว่าพี่หรือเรียกชื่อเฉยๆผมไม่สนตามใจ แต่ห้ามเรียกว่าอาจารย์ เพราะความเดือดร้อนต้องตามมาแน่ อีกอย่างคือ ผมไม่ต้องการสร้างกลุ่มลูกศิษย์ แต่จะสร้างเพื่อน



ถ้าพวกคุณรู้เรื่องลำดับอารมณ์คุณต้องรู้แน่ว่าอาการพวกนี้คืออะไร การเจริญสตินั้นคุณฝึกแล้วคุณต้องเป็น มันไม่ใช่การโม้เรื่องที่รู้ เราพูดกันเรื่องสิ่งที่เป็น ส่วนคนที่เป็นครูนั้น ต้องคอยประคองไม่ให้หลุดนอกทาง เวลาที่คนใหม่ๆเดินมาถึงตรงนี้ ปรกติแล้วพวกเค้าจะต้องผ่านความง่วงอย่างหนักมาก่อน พอมันมาเจอความสบายแล้วธรรมชาติของคน มันจะวิ่งจับความเบาสบายตื่นรู้นี่ทันที มันลืมเหตุครับ พอลืมเหตุ อาการตื่นนี้จะทรงตัวอยู่ประมาณสองถึงสามวันแล้วแต่บุคคล จากนั้นจิตใจจะค่อยๆเอนกลับสู่ความหดหู่เศร้าหมอง และไม่สามารถหรือไม่เข้าใจว่าจะกลับไปตื่นอย่างนั้นอีกได้อย่างไร



ในระหว่างที่เรื่องราวเหล่านี้ดำเนินไป พวกเราบางคนในวัดเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆเพราะมันพิสูจน์แล้วว่า รู้สึกตัวมากกว่า ซึ่งเป็นที่จับตามองและไม่สบอารมณ์ของใครบางคน พระบางคนบอกเจ้าหนุ่มนี่ว่า อย่าไปเคลื่อนช้าๆอย่างนั้นมันเพ่ง ไม่เป็นธรรมชาติของการรู้ มันเข้าไปอย่างนั้นมันไปติดนะ ให้ยกเป็นธรรมชาติสบายๆแบบนี้ น้องผมซึ่งบวชเป็นพระตามประเพณีมาขอฝึกอยู่ที่วัดเดียวกันห้าวันในช่วงนี้เพราะที่วัดเดิมเอาแต่ฝึกอยู่ในห้องจนเจ้าอาวาสที่นั้นหาว่าวันวันเอาแต่นอน พอมาที่นี่ก็โดนเหน็บอีก เพราะยกช้าๆหยุดค้างนานๆบนที่ของพระ จีวรอะไรไม่ต้องพูดห่มไม่ค่อยจะถนัดอัดมันในชุดอังสะก็พอ พระบอกไม่อยากเตือนแล้วพูดเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อเลย ตัวพี่มันยังยกช้าๆติดความรู้สึกตัวที่มันเพ่งอยู่นั่น



ช่วงนี้ผมฟังคำพูดที่ตั้งใจพูดเพื่อให้ผมได้ยินเข้าหูอยู่หลายครั้งว่า ยกช้าๆอย่างนั้น พอใครมันไปติด มันแก้ยากมากแล้ว มันเข้าไปในความสงบ พูดไปก็ไม่เชื่อ ต้องยกไปเรื่อยๆต่างหาก รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ให้รู้ว่าไม่รู้ ตัวรู้เค้ารู้เองนะ ไม่ต้องไปทำอะไรมัน เราทำไปเรื่อยๆไม่มุ่งหวังอะไร



ตอนนั้นเจ้าเด็กสิบหกขวบนี่ยังอยู่ในช่วงง่วงอยู่ เดินมาบอกผม ตัวคนเตือนเองยังนั่งคอพับอยู่เลย ผมลองยกเร็วๆเบาๆแบบนั้นแล้วแม่งไม่เห็นรู้ห่าอะไร ไม่อยากฟังแม่งโม้มาก ผมเลยลุกหนีมา พระบางคนขี้เกียจมาก ตื่นมาแล้วก็แดกแม่งจะบวชมาทำห่าอะไร



ผมไม่สนว่าใครถูกหรือผิด เจ้าเด็กคนก่อนใช้เวลาห้าชั่วโมง เจ้าเด็กนี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ พัฒนาการพวกนี้กระโดดไปไกลกว่าคนที่ฝึกมาเป็นเดือนเสียอีก คนส่วนใหญ่เอาแต่สอน แต่มันใช้กับของจริงๆไม่ได้ ผมไม่เชื่อหรอกว่าธรรมคือสิ่งเนิ่นช้า ที่มันเนิ่นช้าเพราะคนสอนไม่รู้วิธีจริง เที่ยวสอนเรื่อยเปื่อย คนเชื่อก็เชื่อไปเรื่อยเปื่อย ใครสอนไม่เหมือนตัวเองนี่เป็นมิจฉาทิฐิไปหมด ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ดี ใครต้องการความถูกต้องชาวบ้านชื่นชมลงรอยเดียวกับทุกคนได้หมดไปหาได้ที่อื่น ไม่ต้องมาสนคนหยิ่งยโสอย่างผม นอกจากคุณไม่สนผมแล้วผมยังไม่สนคุณพอกันอีกด้วย



ผมถามเจ้าเด็กนั้นว่าแน่ใจหรือสิ่งที่เราฝึกเกิดขึ้นกับเรานั้นถูกต้อง เค้าบอกว่า แน่ใจ ผมจึงบอกต่อว่าห้ามไปชวนใครมาหาอีก เพราะถ้าพวกเราทำผิดมันจะจำกัดความผิดพังพินาศกันอยู่ในคนไม่กี่คนไม่มีใครเดือดร้อนด้วย เค้าหัวเราะ เราไม่ได้ผูกพันกันเพราะ คุณซื้อข้าวต้มมัดซื้อขนมปังมาให้ผม เราผูกพันกันเพราะผลของการปฏิบัติ มันได้ผลจริง และไม่เนิ่นช้าด้วย



คุณพ่อตั้งข้อสงสัยว่าทำไมคนที่มาหาแก มีแต่ปัญหาเรื่องถูกไล่ออกมั่ง เรียนไม่รอดมั่งเนี่ย ปรกติเห็นคนเก่งๆเค้ามีลูกศิษย์เค้าต้องได้ลูกศิษย์เป็นคนมีความรู้จบนั่นได้วุฒินี่ไม่ใช่หรือ แต่ผมไม่แปลกใจเพราะตัวผมเองก็เรียนไม่จบเหมือนกัน ไม่ต้องมาถามผมเลย คำถามประเภทจะเรียนอะไรดี ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผมแนะนำทุกคนเหมือนกันหมด ลาออกซะเรียนไปเสียเวลา เอาเวลามาฝึกให้หมดเวลาที่เหลือค่อยเอาไปเรียน



ผมไม่สนว่าคุณมาจากมหาวิทยาลัยไหน เรียนเก่งแค่ไหน คณะไหน ทวีปอะไร หรือคุณทำงานองค์กรบริษัทอะไร สายตาผมเหม่อลอยที่ต้องนั่งทนฟังสรรพคุณพวกนี้ ผมสนแค่ว่า คุณต้องการเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ คุณใจถึงแค่ไหน เวลาที่ความง่วงอัดคุณจนหลังชนฝา แววตาคุณยังสู้อยู่หรือเปล่า คุณเอาแต่พล่ามเหตุผลโน่นนี่มากไหม เท่าที่ผมสังเกตได้จากคนทั้งหมดเจ็ดคนที่ผมได้มีโอกาสสอนแบบเข้าถึงตัว ยิ่งโง่ยิ่งดี ยิ่งเร็ว สำหรับพวกรู้มาก อริยสัจคืออย่างนั้น สติปัฏฐานว่าไว้อย่างงี้ ตถาคตพูดกับคนนั้นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ถ้าผ่านตัวเองไม่ได้ไม่ต้องมาพล่ามมาก ผมไม่สนหรอกว่าคุณรู้อะไร ผมสนแต่ว่าคุณเป็นหรือเปล่า



ผมบอกพวกเค้าทุกคนว่าให้เคลื่อนไหวช้าๆ มีจังหวะหยุดที่ชัดเจน และรู้สึกความรู้สึกที่อยู่ลงไปในระดับเนื้อไม่ใช่ระดับผิว เหมือนกันหมด ไม่มีการกระจายความเป็นไปได้ สอนห้าคนเอาให้ได้สองก็เก่งแล้วธรรมะเป็นของลึกซึ้ง ถ้าผมสอนเจ็ดคน ทั้งเจ็ดคนต้องมาได้หมด ถ้ามาไม่ได้ความผิดจะตกอยู่ที่ผม คนนี้จริตแบบนี้ทำเร็ว คนนี้จริตแบบนี้ให้ช้า ไม่มีครับ เรื่องจริตอะไรไม่ต้องมาพูด สัจธรรมคือสิ่งที่ใช้ได้กับคนทุกคน



คนสอนนั้นรับภาระหนักครับ ผมเห็นมามากจากการอยู่วัด ฝึกมาสิบปีแล้ว ยังไม่เข้าใจรูปนาม คุณพูดอะไรออกมา หลวงพ่อเทียนขอสามปีจบภารกิจ มันต้องมีจุดผิดพลาด ถ้าคุณไม่ได้ทำผิด มันต้องผิดที่ตัวคนสอน ถ้าคุณยังไม่แน่จริงอย่าสอนคนอื่นครับ สิบปีมันไม่ใช่เวลาน้อยๆนะครับ ที่คุณจะหลอกใครซักคนให้เชื่อความรู้ครึ่งๆกลางๆของคุณ



ผมเป็นคนหนึ่งที่บอกว่าไม่สอน แต่ยังแพ้ความตั้งใจของคนจะเรียน ผมยังต้องคิดหนัก เลือกเฉพาะคนที่ผมช่วยได้จริง ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมมีเด็กหลายคนไปฝึกค้างคืนอยู่ที่วัด บางคนตั้งใจจนผมชื่นชม แต่ผมไม่เข้าหาเค้า ไม่ได้เสนอตัวเพื่อแนะนำว่าควรทำแบบนี้แบบนั้นนะ เพราะจากประสบการณ์ การสอนจะได้ผลต่อเมื่อ คนคนนั้นกำลังประสบปัญหาอยู่ แล้วต้องการคำตอบจริงๆ ธรรมไม่ใช่เรื่องบันเทิงถ้าคุณไม่แน่จริงต่อให้คุณมีคนสอนคุณก็มาไม่ได้ มันไม่เกี่ยวกับความฉลาดด้วย มันเกี่ยวกับวิธีที่ถูก และต่อเนื่องในความถูกนั้น ถ้าพวกคุณมีคนสอน(ที่รู้จริง)จงโง่เข้าไว้





ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปครับ

Posted by koknam at 08:42 Labels: 42 โง่แล้วง่าย

5 comments:

kaoim .... เรื่องเล่าเก้าอิม said...

อนุโมทนาด้วยค่ะ และขอบคุณมากๆ สำหรับการเล่าเรื่องนี้

เพราะมันสามารถพิสูจน์ได้ถึงสิ่งที่เก้าปฏิบัติ



ขอบคุณคุณก๊อกน้ำมากค่ะ



ขอให้วันนี้และวันต่อๆไปของท่านจงสวยงามเช่นกันค่ะ



3 Apr 2011 22:55:00

koknam said...

สวัสดีครับคุณ kaoim ขอบคุณเช่นกันครับที่เสียเวลาอ่าน



ช่วงนี้ผมอยู่ที่วัด มีเรื่องอลเวงเกิดขึ้นนิดหน่อย แล้วจะเล่าต่อเนื่องเกี่ยวกับเจ้าเด็กนี่ให้ฟังทีหลังนะครับ



7 Apr 2011 22:16:00

koknam said...

หลังจากที่เด็กคนนี้เริ่มเข้าใจเรื่องสมมต สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าต้องเกิดขึ้นกับเค้าแน่นอน เพราะตัวผมเองก็เคยเป็นมาก่อน หรือคนอื่นๆที่ผมรู้จักก็ต้องเป็น ในกรณีที่เป็นฆราวาสแล้วเดินมาถึงระยะนี้ นั่นก็คือ การแอนตี้พระสงฆ์



พอเข้าใจเรื่องพวกนี้มันจะหมดความเคารพในตัวพระ มันไม่อยากยกมือไหว้พระ มันกระด้างกระเดื่อง หาเรื่องด่าพระ โดยเฉพาะเมื่อถูกแวดล้อมด้วยพระที่เป็นตัวอย่างไม่ดีเช่น ขี้เกียจฝึก สอนในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น พอมันเริ่มตื่นความสามารถหนึ่งมันจะมีมาเองครับ คือเริ่มมองคนเป็น พอเริ่มมองคนออก มันจะหมดศรัทธาในตัวคนคนนั้นทันที อันนี้มันจะเป็นอารมณ์อยู่ช่วงนึงคือ โคตรเกลียดพระ หรือจะบอกเป็นนัยๆได้ว่า กูแน่กว่าพระ



ด้วยความที่เจ้าเด็กนี่ไม่เคยเข้าวัดอยู่แล้ว พอมาติดอารมณ์ตัวนี้ บอกว่าเห็นพระแล้วผมอยากเดินเข้าไปตบครับ ไม่รู้เป็นอะไรโคตรเกลียด เห็นไม่ได้เลยอึดอัดมากครับ อยากท้าทายมาก มันก็เลยมีปัญหาเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นในวัด คือ ต่างฝ่ายต่างมีกลุ่มของตน อีกฝ่ายบอกว่า ต้องยกมือให้เป็นธรรมชาติ ยกช้าๆแบบนั้นมันไม่เป็นตัวเอง มันเพ่ง อีกฝ่ายก็ว่ายกช้าๆแล้วรู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาขนาดนี้ รู้เลยว่าพัฒนาขึ้นทุกวัน



ด้วยความที่วัดเป็นสถานที่ที่รวมกันของงานแบบสาธารณะ มันยังต้องทำงานร่วมกัน เจ้าเด็กนี่ขับรถไปส่งพระ แล้วทิ้งพระให้เดินแบกของกลับเองเพราะสื่อสารกันไม่เข้าใจ หรือพระใช้ให้ทำโน่นทำนี่แล้วปฏิเสธไม่ทำแบบกระด้างๆ มันเลยกลายเป็นเรื่องปีกกล้าขาแข็งไม่เคารพครูบาอาจารย์ ถ้ายกช้าๆแล้วได้ผลดีจริงทำไมมีอาการลองของนิสัยเสียขึ้นอย่างนี้ล่ะ



เมื่อครั้งที่ผมติดอารมณ์ตัวนี้ ผมเรียกพระว่าพี่แล้วตามด้วยชื่อ ผมไม่ยกมือไหว้พระเลย ผมเรียกพระ คุยกับพระเหมือนเพื่อน ต่อมาเมื่ออารมณ์ตัวนี้คลายลง เพราะการสิ้นจบของระบบความเข้าใจสมมตมาถึงที่สุด นั่นก็คือ ผู้ที่เข้าใจสมมต จะเคารพสมมตด้วยท่าทางภายนอก แต่ใจของผู้นั้นจะอยู่เหนือสมมตเสมอ คนพวกนี้พร้อมจะพลิกตามสถานการณ์เสมอว่า เมื่อไหร่ต้องแสดงออกซึ่งความเคารพออกมา และเมื่อไหร่จะสลัดทิ้งการยึดถือนี้ทิ้ง มันโอนอ่อนตามเหตุการณ์ได้



น้องชายผมตอนที่บวชเป็นพระพูดเลยว่า เมื่อก่อนเห็นพระแล้วกระดากใจที่จะไหว้ เพราะทำตัวไม่คู่ควรเลยกับการไปขอข้าวชาวบ้านมากิน ฝึกก็ไม่ฝึก แต่พอผมมาฝึกห้าวันที่นี่แล้วไม่รู้เป็นอะไร ความคิดมันเปลี่ยนไปนะ ขนาดผู้ใหญ่ข้างนอกนั่นเรายังยกมือไหว้เลย ถึงพระพวกนี้จะขี้เกียจแต่เค้าก็เป็นผู้ใหญ่คนนึง ทำไมเราถึงจะไม่ไหว้ล่ะ เป็นอันรู้ว่าพัฒนาตัวเองไปอีกขั้นแล้ว





การเข้าใจสมมตตามประสบการณ์ที่ผมผ่านมามีสองขั้น (อันนี้ว่ากันเรื่องสมมตภายนอกอย่างเดียวนะครับ ไม่เกี่ยวกับระดับปรมัตถ์) คือขั้นหลุดจากการยึดถือสมมต และขั้นต่อมาคือเคารพสมมต ผมมั่นใจว่ากรณีที่เป็นฆราวาสอาการเหม็นขี้หน้าพระต้องเกิดแน่ พี่ชายของเจ้าเด็กนี่ที่ตามมาฝึกอีกคน ยังไม่เข้าใจเรื่องสมมตแต่มีอาการไม่ศรัทธาพระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พูดออกมาเองเลยว่า พ่อผมเปิดเทปหลวงพ่อเทียนฟังที่บ้านทุกวันบ่อยมากจนผมจำได้ ทั้งที่ผมไม่เคยสนใจ แต่พอมาฝึกที่วัดไม่เห็นพระจะสอนแบบนั้นเลย หลวงพ่อเทียนสอนให้รู้สึกตัวไม่ใช่หรือครับ ทำไมพระสอนให้รู้สึกสบายๆ ผมพึ่งจะมาเข้าใจที่นี่ล่ะ พ่อผมแม่ผมน้องผมพูดกันอยู่นั่นเรื่องรู้สึกตัว ผมคิดว่าผมเข้าใจแต่มันไม่ใช่ ไอ้ที่ว่ารู้สึกตัวเนี่ยมันรู้สึกอย่างนี้เอง มันไม่ใช่รู้สึกสบายๆนะครับ



ผมไม่รู้ว่าผมติดสุขหรือไม่ แต่ผมรู้สึกดีที่เห็นพัฒนาการของคนที่ก้าวข้ามตัวเองไปได้เรื่อยๆ แต่ผมอาจจะยังมีประสบการณ์ในการแนะนำคนน้อยอยู่ ผมยังไม่เห็นใครที่ไม่ฝึกแล้วก้าวข้ามตัวเองได้เลย



10 Apr 2011 01:12:00

stroboframe said...

เห็น Expiration ข้างบนหน้านี้แล้วสะดุ้ง ตัวเลขที่ถอยหลังน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากจะบอกความเป็นคนจริงของคุณแล้ว ยังฟ้องความไม่ตั้งใจฝึกของผมเองด้วย



อายครับ ...



10 Apr 2011 18:55:00

ดอกไม้ said...

เป็นกำลังใจให้ค่ะ



14 Apr 2011 09:40:00



Post a Comment

รู้สึกตัวซะหน่อย แล้วค่อยๆเขียน