ถ้าพวกคุณได้ศึกษาคำสอนของหลวงพ่อเทียน คุณจะพบว่า มีคำหนึ่งที่ฟังดูเรียบง่าย คำคำนั้นคือคำว่า ปรกติ หรือศีล คือ ความปรกติ หรือคำกล่าวว่า ศีลนั้นรักษาคนมิใช่ว่าคนรักษาศีล คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่สื่อตัวสภาวธรรม มิใช่คำสอนที่สื่อถึงข้อวัติปฏิบัติ
คำสอนที่เราได้ยินกันมาคือ การรักษาศีลทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยลักษณะของการใช้คำพูดอธิบายแบบนี้ มันทำให้คนเราเข้าใจไปว่า เราต้องทำอะไรบางอย่างลงไปเพื่อรักษาอะไรบางอย่างไว้ ศีลตัวที่รักษาคนนี้คือ ศีลปรมัตถ์ ไม่ใช่ศีลข้อปฏิบัติที่ต้องมานั่งทำตาม เมื่อศีลตัวนี้ปรากฏขึ้นแก่ญาณปัญญาของใครก็ตาม บุคคลนั้นจะรู้วิธีดำรงตน ไม่ให้ไหลไปตามการแปรเปลี่ยนของจิตใจ ศีลปรมัตถ์ตัวนี้จึงทำหน้าที่รักษาผู้ที่เข้าถึงมัน ให้พ้นไปจากจิตใจของตัวเค้าเอง จึงกล่าวว่า ศีลนั้นรักษาคน
จากทางที่ผมได้ผ่านมา ผมเริ่มเข้าใจคำว่า “ปรกติ” เมื่อเข้าถึงจุดครึ่งทาง ผมมั่นใจเลยว่าใครก็ตามที่มาประสบกับตัวนี้ จิตใจจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมแน่เพราะความเชื่อที่ว่าทุกอย่างนั้นตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์จะถูกทำให้สั่นคลอน และประตูแห่งวิปัสสนาจะเปิดออกให้ การเข้าใจเรื่อง ศีลปรมัตถ์ มันคือการได้รับรู้ว่า ตัวปรกติคือ ตัวที่ไม่แปรเปลี่ยนตามกฎแห่งความไม่เที่ยง ตามความเข้าใจของผม ระดับโสดาบันที่บัญญัติขึ้นตามตำรายังไม่เป็นวิปัสสนาเต็มที่ มันจะเริ่มกันจริงๆตอนระยะสกิทาคามี
พวกคุณเตรียมใจเอาไว้ได้การเปลี่ยนระดับแต่ละครั้งจะทำลายทัศนคติความเข้าใจที่เคยมีอยู่ในขั้นก่อนๆ พวกคุณจะได้สัมผัสการเปลี่ยนสภาพจากโง่ไปเป็นฉลาด ใครบางคนในพวกคุณอาจจะสังเกตว่า ทำไมในบล็อกนี้ผมพูดถึง ศีลปรมัตถ์ บ่อยมาก นั่นเพราะว่านี่คือจุดสำคัญที่จะทำให้คุณเดินต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์คอยกระหนาบอีก สำหรับผมสกิทาคามีหมายถึงบุคคลผู้รู้ทางไป
ตราบใดที่คุณมั่นคงเชื่อมั่นในศีลปรมัตถ์แม้มันยังไม่แข็งเต็มที่ มันจะค่อยๆพาคุณผ่านปัญหาทุกตัวเป็นขั้นเป็นตอนไปได้ทุกปัญหา และในขณะเดียวกันนั้นเองตัวมันจะพัฒนาสะสมความแข็งแกร่งเหมือนแมวที่ค่อยๆปราดเปรียวขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมไม่ค่อยเน้นอารมณ์ระยะรูปนาม เพราะผู้ที่เข้าสัมผัสกับอารมณ์รูปนามในสายหลวงพ่อเทียนนั้นมีมาก แต่ผู้ที่มาถึงจุดครึ่งทางมีน้อย และบล็อกนี้ก็พุ่งความสนใจไปในคนกลุ่มน้อยอยู่แล้ว หากพวกคุณเป็นคนประเภทมุ่งหวังช่วยคนส่วนใหญ่ข้ามมหาสมุทรเลิกอ่านไปเลยก็ได้ครับ จากสิ่งที่ผมพบเห็นมานั้น บุคคลที่มีความตั้งใจอย่างนั้นในขณะที่ตัวเองยังรู้ไม่จบสิ้นจริง ท้ายที่สุดจะจมลงไปพร้อมกับบรรดาคนที่ตัวคิดจะช่วยนั่นเอง
ผมจะทิ้งกุญแจเอาไว้ตรงนี้ซักดอกนะครับ อยู่ที่ว่าพวกคุณจะเก็บมันไปด้วยได้หรือไม่ --- คนส่วนใหญ่ไปไม่ได้ไกลเกินกว่าอารมณ์รูปนาม นั่นเพราะว่า พวกเค้าติดอยู่กับเรื่องของจิต ---
สิ่งที่ผมพบอย่างหนึ่งในระยะนี้คือ ผมมองเห็นความไม่ปรกติของตัวเอง ความไม่ปรกตินี้ไม่ใช่อาการวิกลจริตแบบคนบ้า แต่เป็นอาการทางปรมัตถ์ทุกตัวที่มีการเคลื่อนไหวสลับสับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นความง่วง ความคิด ความแก่เฒ่า ความรู้ ความเมื่อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลักษณะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปและเราไม่สามารถบังคับบัญชาได้นี่เองคือ ความผิดปรกติของชีวิต บางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองชักจะเพี้ยนมากขึ้นทุกที เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่บอกว่า อาการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปพวกนี้คือเรื่องปรกติของชีวิต ผมกลับมองเห็นตรงกันข้าม ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งโดยที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ตามครรลองของมัน จะมีเพียงสิ่งเดียวที่สงบนิ่งและไร้การเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวใดใด สิ่งนั้นคือ ตัวศีลปรมัตถ์ และศีลปรมัตถ์ที่ว่านี้ “ไม่ใช่ตัวเห็น” แต่ตัวเห็นจำเป็นที่ต้องมีเพื่อเข้าไปเห็นตัวความไม่แปรผันอันนี้ มันต้องทำงานคู่กัน
ถ้าคุณมีแต่ตัวเห็นอย่างเดียว คุณจะเห็นอาการโน่นนี่นั่นไม่รู้จักจบสิ้น และจะติดอยู่ที่ระดับหนึ่งในสี่ของเส้นทางเท่านั้น แต่หากว่าคุณเห็นเจ้าสิ่งนี้อยู่เสมอ คุณจะเริ่มหลุดพ้นไปจากการครอบงำของจิตใจคุณเอง สิ่งนี้บังคับบัญชาได้ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งรวมตัวกันจากการฝึกมาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง มันเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่มนุษย์สามารถบังคับใช้ได้อย่างแท้จริง สิ่งนี้บริสุทธิ์โดยตัวของมันเองจึงเรียกว่า ศีล สิ่งนี้เที่ยงด้วยกำลังของความตั้งใจจึงเรียกว่า สมาธิ สิ่งนี้ทำให้สิ่งอื่นทั้งหมดนอกจากตัวมันต้องทลายลงจึงเรียกว่า ปัญญา
ถ้าคุณมีดวงตาคุณจะมองเห็น คุณจะบังคับให้มันมองไม่เห็นไม่ได้ คุณบังคับไม่ให้มันไม่เสื่อมสภาพไม่ได้ เมื่อคุณมีหูคุณบังคับให้มันไม่ได้ยินไม่ได้ ในชีวิตนี้เราควบคุมบังคับอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ความคิดของตัวคุณเอง ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ มนุษย์บังคับได้ และความสามารถนี้ทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายขุม อีกทั้งยังทำให้มนุษย์เหนือมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย คำว่า “พระ” จึงถูกใช้เป็นสมมตเพื่อเรียกคนพวกนี้ พวกเค้าสามารถบังคับบัญชาการเข้าไปรู้ไปเห็นสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกตัว
ปัญญา ทางพุทธศาสนาตามที่ผมเข้าใจ ไม่ใช่ปัญญาในการพิจารณาสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เช่นการพิจารณาว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมะข้อนี้ใครๆก็รู้ รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงแล้วมันยังไง ทำไมมันยังทุกข์อยู่กันเล่า ถ้าเงินคุณหายไปซักสี่ห้าแสนแบบที่ไม่น่าจะเป็น คุณจะใช้ธรรมะอันว่าด้วยความไม่เที่ยงพลิกใจให้กลับมาร่าเริงเบิกบานได้หรือไม่ ถ้าเมื่อใจหดหู่ก็รู้ว่าใจหดหู่มันเป็นธรรมชาติแบบหนึ่งของจิต จงยอมรับความเป็นจริงข้อนี้เสียซิแล้วเธอจะสามารถบรรลุธรรมได้ นั่นหมายความจิตใจของพระพุทธเจ้าอันพัฒนาไปจนถึงขีดสุดนั้นยังมีความหดหู่เกิดขึ้นได้อีกอย่างนั้นหรือถึงได้มีคำสอนแบบนี้ออกมา ผมมั่นใจว่าธรรมอันเป็นที่สุดที่พระพุทธเจ้าค้นพบไม่ใช่ “การปลงตก”
ปัญญา ก็คือ ตัวความรู้สึกตัวที่ฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว คำกล่านี้ดูเหมือนเป็นคำกล่าวที่ดูอุปโลกน์พูดเองเออเองงี่เง่าสิ้นดีในสายตาของบรรดานักทฤษฎีทั้งหลาย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนี่มันอะไร ผมปฏิเสธความจริงที่ปรากฏขึ้นนี่ไม่ได้ เมื่อไหร่ที่เกิดความทุกข์ใจอ่อนล้า ความรู้สึกตัวจะเข้าไปเยียวยาหรือถึงกับตัดสิ่งนั่นออก เมื่อไหร่ก็ตามที่ความคิดของคุณยอมรับอย่างไร้เงื่อนไขแล้วว่า ปัญญาไม่ใช่อะไรเลยซักอย่างที่ออกมาในรูปของการคิด แต่ปัญญาที่แท้จริงของมนุษยชาติอยู่ที่ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวนั่นล่ะคือตัวปัญญาที่แท้แห่งอริยสัจ เมื่อเกิดความผิดปรกติขึ้นในจิตใจ ความรู้สึกตัวจะเข้าจู่โจมทันทีโดยไม่ต้องอาศัยการคิด กลไกตัวนี้จะทำงานแก้ไขความผิดปรกติโดยตัวของมันเอง ผมไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ตั้งใจให้มันรู้สึกตัวเท่านั้นเอง เมื่อเกิดความผิดปรกติความคิดจะรู้ตัวโดยตัวมันเองว่า ตัวมันไม่สามารถช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้ ต้องปล่อยให้ความรู้สึกตัวเค้าออกโรงแทนต่างหาก
การที่ใครซักคนจะเข้าสู่ความปรกติได้ คนคนนั้นจะต้อง สำเนียกถึงความผิดปรกติของตนก่อนว่า ความผิดปรกติคืออะไร มันทำงานอย่างไร กลไกของมันจะหยุดลงได้เพราะสาเหตุใด หากไม่เข้าใจเรื่องความไม่ปรกติ ย่อมไม่มีทางรู้จักความปรกติ ไม่ใช่ว่านั่งฝึกอยู่ดีดีจิตยกตัวเข้าสู่ญาณนั้นทะลุญาณนี้แล้วบรรลุอริยะขั้นนั้นขั้นนี้ ของพวกนี้มาด้วยปัญญาความเข้าใจต่อตัวเองล้วนๆ ไม่มีการเกิดมาเองแบบบังเอิญ สิ่งทั้งปวงเกิดแต่เหตุผมเห็นด้วยอย่างไร้ข้อโต้แย้ง แต่ไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายที่ว่า คนเราจะบรรลุธรรมได้เพราะเห็นว่า ไม่มีอะไรสักอย่างเป็นตัวเรา โน่นไม่ใช่เรา นี่ไม่ใช่เรา นั่นยังจมอยู่ในความคิดที่กำลังบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรามิใช่หรือ ถ้าคุณไม่ติดอยู่กับความคิด มันจะไม่มีเราโดยตัวของมันเองโดยไม่ต้องมานั่งบอกตัวเองว่า มันไม่ใช่เรา มันไม่มีเรา ผมเข้าใจอย่างนั้นนะครับ
เมื่อความรู้สึกตัวได้ตื่นขึ้น สิ่งที่คุณจะสังเกตได้ ถ้าคุณมีสายตาที่เฉียบคมเพียงพอ นั่นคือ ความคิดจะทำงานแบบสายโซ่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดอันว่าด้วยธรรมขั้นสูงขนาดไหนก็ตามจะไม่สามารถดำเนินไปได้ ความรู้สึกตัวจะตัดความคิดออก การบ่นพึมพำในหัวเสียงพากษ์วิจารณ์ในก้อนกะโหลก เมื่อมันตื่นขึ้นในแต่ละส่วนของอวัยวะ มันจะไม่มีคำพูดออกมาในหัวเลยว่า คุณได้ก้าวเข้าสู่สภาวะแห่งอริยะอะไรแบบนั้น คุณเพียงจะรู้ด้วยความรู้สึกตัวว่า ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม บางสิ่งที่เคยทำงานมาตลอดเริ่มทำงานติดขัดหรือการทำงานของมันไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินกลับไปเป็นอย่างเดิมไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
ผมไม่ค่อยได้เขียนอัพเดทบล็อก แต่เท่าที่สังเกตดูพบว่ายังมีคนคอยเข้ามาเยี่ยมชมอยู่เรื่อยๆ มันแสดงให้เห็นว่ามันยังต้องมีคนที่เพี้ยนคล้ายๆผมอยู่อีก ผมขอขอบคุณนะครับที่เสียเวลาอันมีค่ามาอ่านสิ่งที่ผมเขียน ครั้งนี้ผมพอมีเวลาพักหลังจากไปช่วยงานกฐินที่วัดซึ่งเหนื่อยมากทีเดียว ผมจะขอเล่าถึงปัญหาที่ผมพบในช่วงที่ผ่านมานะครับ มันไม่ใช่เรื่องประสบการณ์การปฏิบัติตรงๆของผม แต่เป็นปัญหาที่ผมสังเกตเอา
เรื่องที่หนึ่ง ความห่างชั้น
ปัญหาสุดแสบที่สร้างความเวียนหัวให้กับผู้เรียนโดยเฉพาะผู้เริ่มต้นอันหนึ่ง นั่นคือความสามารถของผู้สอนแต่ละคนอยู่ในจุดที่ไม่เท่ากัน ก่อนที่จะเริ่มผมขอถามว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์นั้น พวกคุณคิดว่าเค้าลงรอยกันหรือไม่ ถ้าคำตอบของคุณคือ พวกนี้ไม่ขัดแย้งกัน เพราะเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว นั่นคือคำตอบที่คุณอนุมานเอาตามตำรา หากว่าคุณคลุกคลีและมองคนอื่นออกจริงๆ ระดับทั้งสี่นั้นขัดแย้งกันครับ พวกเค้าสอนไม่เหมือนกัน ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น นั่นเพราะระดับปัญญาของคนสอนอยู่ในระดับที่ไม่เท่ากัน ปัญญาในการเลื่อนระดับขั้นนั้น เป็นความรู้ชนิดหักดิบ มันต้องล้างของเก่าออกก่อนมันถึงจะผ่านได้ ผมไม่ทราบว่าพวกคุณจะเข้าใจตัวอย่างที่ผมจะยกขึ้นนี้ได้ไหม
โสดาบัน เป็นเหมือน นักสร้างบ้าน พวกเค้าฉลาดเฉลียวในทุกแง่ทุกมุมของการสร้างบ้าน ไม่มีคำตอบไหนเกี่ยวกับบ้านที่พวกเค้าตอบไม่ได้ เมื่อเค้าสอนใครเค้าจึงสอน วิธีสร้างบ้าน อธิบายองค์ประกอบของบ้าน และพร้อมท้าแข่งลงประลองการสร้าง
สกิทาคามี เป็นเหมือน นักสร้างเรือยอร์ช พวกเค้าเข้าใจการสร้างบ้านเป็นอย่างดี ถึงเวลาที่เค้าต้องนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้สร้างบ้านลงไปในเรือ โสดาบันไม่เคยได้ยินว่ามีบ้านที่สามารถล่องลอยไปในท้องทะเลได้ เรื่องเหลวไหลแบบไหนกัน มันไม่ใช่ที่พักอาศัยที่ติดตายอีกต่อไป แต่มันเคลื่อนไปได้บนผิวน้ำ เมื่อสกิทาคามีจะสอนโสดาบัน โสดาบันจะไม่รู้จักว่าเรือคืออะไร เค้ายึดติดอยู่กับการสร้างบ้าน พวกเค้าไม่สนใจการอ่านกระแสน้ำและทิศทางลม ไม่สนใจตำแหน่งของดวงดาว ยิ่งโสดาบันพูดกับสกิทาคามีจะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากขึ้นทุกที ซึ่งโดยธรรมชาติโสดาบันจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นด้วยกำลังของวิปัสสนูและกลไกป้องกันตัวเอง โสดาบันจึงเริ่มหาคนที่ยอมรับตัวเองนั่นก็คือการสร้างเหล่าลูกศิษย์ของตนขึ้นมาเพื่อยอมรับตน โสดาบันนั้นติดทิฐิ ทิฐินี่มาจากไหน มันมาจากอำนาจของวิปัสสนู เมื่อเริ่มถ่ายทอดความรู้การสร้างบ้านให้คนอื่น มีลูกศิษย์ล้อมหน้าหลัง มันก็ยากแล้วที่จะลงจากแท่น ปัญหาของโสดาบันที่ผมเห็นมีอย่างเดียวคือ หยุดพัฒนาตนเองเพราะมัวไปสอนคนอื่น
อนาคามี เป็นเหมือน นักสร้างเครื่องบินส่วนตัว สกิทาคามีไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า มีบ้านที่บินได้ หมอนี่พล่ามอะไร ลักษณะของสกิทาคามีไม่ใช่พวกมีทิฐิรุนแรงแบบโสดาบัน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าอนาคามีพูดถึงอะไร และอนาคามีนั้นมีน้อยนานนานจะเจอซักที สกิทาคามีนั้นติดในการฝึก เป็นพวกหมดเวลาวันวันไปกับการฝึก และเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในอะไรเลยในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ประสบ เอาประสบการณ์ของตนเป็นใหญ่ หัวแข็ง สกิทาคามีนั้นไม่ค่อยฟังคำเตือน และหลงอยู่กับปัญหาทางปรมัตถ์ต่างๆ พวกเค้าไม่เข้าใจเมื่ออนาคามีพยายามอธิบายเรื่องของปีกและเครื่องยนต์ จนกว่าเค้าจะได้ประจักษ์ด้วยตนเองว่า มีบางอย่างที่อยู่เหนือกว่า เรือของตน คนระดับนี้จะไม่ค่อยอยากสอนใคร เพราะจะรู้ตัวเองว่า ตัวเองยังเอาตัวรอดได้ไม่ดีพอ
ปัญหาอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรงที่ทั้งหมดนั้นสอนคนจากประสบการณ์ตัวเอง และคนพวกนี้ไม่เชื่ออะไรเลยนอกจากสิ่งที่ตนได้พิสูจน์แล้ว มันขัดแย้งกันเพราะประสบการณ์ตามกันไม่ทัน เมื่อตามไม่ทันมันจึงไม่เชื่อ คำกล่าวที่ว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ผมเห็นด้วยอย่างมาก เพียงแต่พวกคุณจะมองออกไหมว่าใครเป็นกัลยาณมิตรและพร้อมจะเชื่อเค้าหรือไม่ ในสายหลวงพ่อเทียนมีปัญหาพวกนี้เกิดขึ้นเยอะมาก ผมรู้สึกว่าบรรดาศิษย์ของหลวงพ่อเทียนแต่ละคนเป็นพวก unique มีลักษณะเฉพาะในด้านความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก
เรื่องที่สอง ติดอารมณ์
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในแวดวงการฝึก คำพูดหนึ่งที่คุณอาจจะได้ยินมาบ้างคือคำว่า “ติดอารมณ์” กับ “ได้อารมณ์”
การได้อารมณ์หมายถึง ฝึกแล้วจับความรู้สึกตัวได้ เมื่อฝึกแล้วได้อารมณ์จะขยันฝึก ฝึกทั้งวัน ฝึกบ่อยๆโดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้น ที่สังเกตได้ชัดมากคือ พวกที่จิตใจเปลี่ยนยกระดับในแต่ละขั้น
ส่วนการติดอารมณ์หมายถึง การติดขัดในการฝึก ซึ่งจะมีหลากหลายรูปแบบ เช่น หน้าบึ้งทั้งวัน สายตามองขวาง อึดอัดจิตใจ ง่วงตลอดเวลา อาการเหล่านี้เจ้าตัวจะมองไม่ออก และไม่ทราบว่าตัวเองติดอารมณ์ หากแต่คนอื่นจะสังเกตเห็นได้ง่ายๆ สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พวกคุณควรจะรู้ไว้ การฝึกเจริญสติด้วยวิธีที่ผิด นั้นเป็นอันตราย
ในบล็อกนี้สิ่งหนึ่งที่คุณได้อ่านจะมีคำว่า อัดจนสลบ ให้เห็นบ่อยๆ คำคำนี้หมายความว่า เมื่อเจออุปสรรคใดใดก็ตามอันเป็นเหตุให้เกิดความท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่ว่าจะเป็นปวดเมื่อย ง่วงนอน ฟุ้งซ่าน อย่าได้ยอมถอยแพ้เลิกฝึก ขอพัก ผลัดไปฝึกคราวหน้า การอัดจนสลบหมายถึง อย่ายอมแพ้ความอ่อนแอของจิตใจตัวเอง
ตั้งใจอ่านนะครับ มันไม่ได้หมายความว่า ให้คุณทำอะไร หรือสร้างอะไรขึ้นมา เมื่อคุณนั่งแล้วเกิดปวดเมื่อยขา ไม่ใช่ว่า ให้คุณมุ่งเอาชนะความปวดเมื่อย นั่งเป็นหินไม่ขยับเขยื้อน นั่งฝึกจนกว่าความเจ็บปวดจะทำให้คุณสลบ หรือเมื่อคุณเท่าทันความคิดแล้วพยายามห้ามไม่ให้มันคิดเลย พยายามทำทุกวิธีเพื่อไม่ให้มันคิด อันนี้เข้าใจไม่ตรงแล้วนะครับ การฝึกเจริญสติถ้าไม่มีปัญญาควบคู่ด้วย คุณซวยแน่ ปัญญาที่ว่านี่มาจากไหน มันมาจากการที่คุณสังเกตเรียนรู้แล้วคุณเข้าใจในสิ่งที่คุณสังเกตนั้น มันไม่ได้มาจากการพยายามทำดัดแปลงให้เป็นไปตามความเข้าใจที่คิดขึ้นเอง มันเป็นเรื่องของการเอาชนะทางจิตใจ ไม่ใช่การเอาชนะร่างกาย
ในการฝึกด้วยวิธีของหลวงพ่อเทียนนั้น ถ้าคุณได้อ่านเรื่องลำดับอารมณ์วิปัสสนาซึ่งถูกบันทึกจากคำเทศนาไว้เป็นขั้นตอนชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณเข้าใจว่าผมพยายามจะสื่ออะไรในบทความนี้ ขอให้ไปศึกษาส่วนแรกสุด นั้นคือ อารมณ์รูปนาม หนึ่งในความเข้าใจที่จะเกิดขึ้นในช่วงของอารมณ์รูปนามคือ การเข้าใจระบบไตรลักษณ์แบบหมดสิ้น ซึ่งผมไม่ทราบว่าพวกคุณจะแปลกใจเหมือนผมหรือไม่ ที่การเข้าใจระบบไตรลักษณ์ชนิดหมดข้อสงสัยตามคำสอนของหลวงพ่อเทียน ทำไมมันเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งที่อยู่ขั้นต้นสุด ในขณะที่คำสอนของอาจารย์ท่านอื่นๆ การเข้าใจยอมรับศิโรราบต่อไตรลักษณ์กลับเป็นสิ่งท้ายสุด อันนำไปสู่การไม่ยึดติดต่อสิ่งใด และบรรลุธรรม มันคิดได้สองทางคือ หนึ่งหลวงพ่อเทียนท่านสอนผิด สองคำสอนที่มีอยู่เดิมสอนไปได้ไกลสุดแค่หนึ่งในสี่ของท่าน
เมื่อคุณเข้าใจเรื่องของไตรลักษณ์คุณจะทราบว่า สิ่งพวกนี้คุณไม่สามารถชนะมันได้เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติ เมื่อคุณนั่งหรือเดินนานๆ มันจะต้องเมื่อยนี่เป็นกฎไตรลักษณ์ เพราะมันติดอยู่กับร่างเนื้อ มันบังคับบัญชาไม่ให้มันไม่เมื่อยไม่ได้ และมันไม่เที่ยง ตรงที่คุณไม่สามารถบังคับให้มันเมื่อยหรือไม่เมื่อยตลอดชีวิตได้
บางคนที่ปฏิบัติผิดนั้นพวกเค้าหาทางเอาชนะสิ่งที่ติดอยู่กับกฏไตรลักษณ์ นั่นก็คือ พวกเค้าเมื่อยแต่ไม่ขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ พวกเค้าบังคับตัวเองไม่ให้มันคิด
ในการฝึกด้วยวิธีของหลวงพ่อเทียนมีปัญหาบางอย่างที่อันตรายมาก ปัญหานั้นคืออะไร มันคือการที่คุณฝึกผิดวิธี
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ฝึกด้วยวิธีอื่นมาก่อนเป็นเวลานาน แล้วมาฝึกด้วยวิธีของหลวงพ่อเทียน คุณจะต้องทิ้งของเก่าให้หมดแล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่เท่านั้น ผมไม่ได้พูดเล่น มีคนหลายคนที่ฝึกแล้วเกิดอาการผิดปรกติ เช่น กลายเป็นคนซึมเศร้า ตัวแข็ง ขยับตัวไม่ได้ ร้องไห้ซ้ำๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง ทำอริยาบทซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนที่อยู่ในโรงพยายาบาลบ้า ต้องกินยาช่วยระงับ ตอนนี้ผมทราบแล้วว่า ทำไม คนร้อยคนมีเพียงแค่สองคนที่จะเดินผ่านประตูศีลปรมัตถ์ได้ เพราะมันติดความรู้เก่า มันติดของเก่าที่ฝึกมาก่อน มันเอาของเก่ามาปนของใหม่
นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับคนที่จับการฝึกไม่ถูก อาการที่ผมเขียนข้างบนเป็นคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องรูปนามนะครับ คนที่เข้าใจเรื่องรูปนามแล้วปัญหาของการติดอารมณ์จะเป็นอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ ติดวิปัสสนู ขอให้คุณสังเกตว่า ความคิดของคุณ คิดซ้ำไปซ้ำมา อยู่กับธรรมที่รู้ขึ้นเองหรือไม่ คุณเริ่มมีอาการอยากสร้างสถานปฏิบัติธรรมหรือไม่ คุณพยายามหาช่องทางบรรยายธรรมเพื่อโปรดสัตว์หรือไม่ คุณเริ่มที่จะไม่ฝึกตัวเองเพราะเวลาของคุณวันวันหนึ่งหมดไปกับการค้นหาวิธี ค้นหาคำพูดเท่ๆสอนคนอื่นหรือไม่ คุณสามารถถกเถียงธรรมะได้ทุกข้อหรือไม่ สำเนียกตัวได้เลยครับ นี่ไม่ใช่การขู่ให้กลัว มันเป็นอาการของคนที่ติดวิปัสสนู บางคนติดอาการนี้เป็นสิบปี การแก้การติดอารมณ์นั้นเป็นของยาก ที่มันยากนั้นเพราะมันเป็นเรื่องของ ทิฐิ คน
คนที่ติดอารมณ์ประเภท สงบนิ่ง ไม่พูดไม่จา ทำอะไรซ้ำๆเหมือนคนเป็นโรคจิตนั้น เพราะ จิตตัดการรับรู้สภาพแวดล้อมภายนอก มันดิ่งอยู่ในความสงบ ใครไปพูดไปเตือนก็ไม่ฟัง เพราะมันดิ่งนิ่งสงบอยู่ในภวังค์ บางคนนั่งแล้วลุกขึ้นมาเองไม่ได้ จะนั่งแช่อยู่อย่างนั้นทั้งคืน ผมถึงกับต้องหิ้วปีกลากกลับไปที่ห้อง คนที่ติดอาการเหล่านี้ เท่าที่ผมถามจากผู้มีประสบการณ์นั้น ให้เลิกฝึกทันที ให้หยุดเดี๋ยวนั้นเลย เลิกไปเป็นอาทิตย์ เลิกไปเป็นเดือนๆ แต่คนพวกนี้มักไม่ยอม ว่างเมื่อไหร่จะเดินจงกรม นั่งสร้างจังหวะทันที เพราะมันติดอารมณ์ ต้องให้คนที่เค้าเคารพศรัทธามาเตือนเท่านั้น เค้าถึงจะฟังถึงจะเชื่อ
ส่วนคนที่ติดวิปัสสนู จะคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว ครูบาอาจารย์ตัวเองจากที่เคยสอนกันมา จะกลายเป็นกำแหงหาญ เพราะอำนาจของความรู้ที่ตื่นขึ้น จะบดบังธรรมะขั้นที่สูงขึ้นกว่านั้น มันเป็นอุปสรรค ตัวผมเองโชคดีที่ผ่านของพวกนี้มาได้ง่ายๆนั่นเพราะ ผมไม่เคยฝึกสายอื่นมาก่อน ตอนที่ผมติดวิปัสสนูผมก็อยู่ต่างประเทศไม่มีคนฟังผม ผมไม่มีโอกาสยกตัวเองตั้งตนขึ้นเป็นอาจารย์
เรื่องที่สาม ทัศนคติเพี้ยนๆ
- เพื่อนผมมาจากเมืองจีน ผมพาเค้าเที่ยวในกรุงเทพ เค้าบอกว่า ผมเป็นพวกหนีความจริง เอาแต่มีชิวิตอยู่กับการฝึกในวัด ชีวิตคนจริงๆมันต้องแบบนี้นี่ มาเดินจตุจักรกับชั้น พาชั้นไปดินเนอร์ เจอผู้คนมากๆแบบนี้ ถึงเป็นการฝึกที่แท้จริง ผมได้แต่หัวเราะแต่ส่ายหัวในใจ เพราะของจริงที่ยัยนี่ว่า แสดงออกตลอดเวลาว่า ตัวเค้าเองเดือดร้อนในทุกที่ที่ตัวเองไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในความเห็นของเค้าคือเค้าถามว่า ชุดปฏิบัติสีขาวที่คนเค้าใส่ๆกันอยู่นี่ใครเป็นคนออกแบบกัน ชั้นดูแล้วเหมือนคนที่มีปัญหาทางระบบประสาทในโรงพยาบาลบ้ามากเลยนะ
พวกเค้าไปรวมตัวกันที่วัด เดินกลับไปกลับมา นั่งสร้างจังหวะ แล้วชำเลืองมองคนนั้นคนนี้ที บางคนหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำอะไรซ้ำๆเหมือนคนบ้าที่โรงพยาบาลไม่มีผิด ชั้นไม่มีปัญหาหรอกนะกับอาการพวกนั้น แต่ชั้นรับไม่ได้กับชุดสีขาวดีไซด์สำหรับคนไข้นั่น ชั้นจะฝึกแต่ไม่มีวันใส่ไอ้ชุดทุเรศๆนี่เด็ดขาด ผมฟังแล้วขำมากเพราะไม่เคยมองเห็นแง่มุมแบบนี้มาก่อนเพราะผมเองไม่เคยใส่ชุดฝึกซักที
- ตอนผมยังเด็กผมถูกสอนว่า ขยันๆนะสร้างเนื้อสร้างตัวเก็บเงินเก็บทอง ทำหรือเรียนในสิ่งที่เรารักนะ แต่งงานกับคนดีดี พอโตมาศึกษาธรรมะกลับบอกว่า ให้สละทิ้งหมด มันไม่ตลกไปหน่อยหรือ ทำไมไม่สอนให้มันสละทิ้งหมดตั้งแต่เด็กไปเลยล่ะ คนเรามันดิ้นรนเก็บเงินเก็บทองเหนื่อยยากลำบาก พอมีวันนึงบอกว่าสละทิ้งซะของนอกกาย มันจะทำกันได้ง่ายๆหรือ คนเราสร้างภาระขึ้นเองและสุดท้ายติดในภาระนั้น
เรื่องที่สี่ หญิงชาย
ผมมักจะได้ยินผู้หญิงกล่าวว่า ชาติหน้าขอเกิดเป็นผู้ชาย เพราะด้วยลักษณะทางกายภาพสะดวกมากกว่าในการปฏิบัติ ไม่ต้องมีประจำเดือน ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งผมจะเสนอแง่คิดอะไรให้พิจารณานะครับ
มีคำกล่าวว่าผู้ชายคิดเรื่อง sex เฉลี่ยห้านาทีต่อครั้ง ในความเห็นของผมสัญชาตญาณในการลากผู้หญิงขึ้นเตียงที่ธรรมชาติสร้างมามันถี่กว่านั้น การที่ผู้ชายซักคนตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องชนะสิ่งนี้ให้ได้ คุณผู้หญิงทั้งหลายรู้ไหมครับว่า ทุกทุกห้านาทีพวกเราต้องเจอเข้ากับอะไร การปล่อยอารมณ์ไปกับการมองทรวดทรงผู้หญิงเป็นของสนุกและกระปรี้กระเป่าครึกครื้น แต่เมื่อเราตั้งใจว่าจะต้องอยู่เหนือมัน มันชักจะเริ่มไม่สนุกแล้ว เมื่อผมเกิดอาการอยากผมดูหนังโป๊เป็นสิบๆเรื่องจนปวดไปหมด หลายครั้งผมคิดว่าผมอาจจะตายเพราะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเข้าสักวันก็ได้ เพราะนี่เป็นเวลาแปดเดือนแล้วที่ผมไม่ช่วยตัวเองเลย เอาเป็นว่าเรามีภาระที่สูสีกันนะครับ คุณตั้งใจจะผ่านมันจริงหรือเปล่า เลิกบ่นเรื่องอุปสรรค มาคุยกันว่าคุณผ่านมันยังไง คงจะน่าสนใจและมีประโยชน์กับคนที่เดินตามคุณมาดีกว่ารึเปล่าครับ
จากบทความนี้พวกคุณทิ้งระยะเวลาไปนานๆจากบล็อกนี้ได้เลยครับ
ผมจะไม่เข้ามาอัพเดทบทความซักพัก
ขอให้วันนี้ของทุกคนสวยงามต่อไปครับ