สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เห็นด้วยเลยคือ การเหมารวมว่าการปฏิบัติทุกอย่างจะไปเจอกันในท้ายที่สุด และคำเปรียบเปรยที่ได้ยินบ่อยที่สุดอันหนึ่งคือ การขึ้นสู่ยอดเขาไม่ว่าจะขึ้นมาจากทางไหนมันจะไปเจอกันที่ยอดเขาได้ทั้งนั้น คนที่พูดอย่างนั้นเพราะภูเขาในความคิดเค้าเป็นอะไรประมาณภาพนี้
ในความเป็นจริงภูเขามันตั้งเดี่ยวๆเป็นลูก มียอดแหลมอันเดี่ยวเด่ๆขึ้นไปเหมือนภาพข้างบนหรือเปล่า ในทัศนะของผม ธรรม ไม่ใช่ของกระจอกที่จะเอาไปเทียบได้กับภูเขาเพียงลูกเดียว แต่มันเป็นลักษณะการรวมกันของเขาหลายๆลูก มันมียอดเขาสูงไม่รู้กี่อัน บางอันมองจากข้างล่างมันดูสูงพอพอกัน แต่พอขึ้นไปยืนอยู่ตรงนั้นจริง มันสูงไม่เท่ากัน
ปัญหาที่ผมสังเกตได้ทุกวันนี้คือ ผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ทั้งหลายยืนอยู่บนยอดเขาคนละยอด และในมุมมองของศิษย์แต่ละคนมองว่ายอดเขาอันนั้นๆสูงที่สุดแล้ว ผู้ที่อยู่บนยอดหรือพูดง่ายๆว่าบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย หากไม่หลงตนจนเกินไปนั้น จะต้องมองออกว่าพวกเค้าไม่ได้อยู่บนยอดเดียวกัน และหากมีปัญญาเพียงพอย่อมต้องมองออกอีกด้วยว่า ยังมียอดเขาอื่นที่สูงกว่ายอดที่ตนอยู่ พวกคุณไปลองขึ้นเขาดูก็ได้เมื่อคุณอยู่บนยอดเขาซักอันที่มันไม่สูงที่สุด คุณจะรู้ว่ายอดเขาที่คุณเหยียบอยู่นั้นยังไม่ใช่ที่สุด แต่ส่วนใหญ่คนที่ยืนบนยอดมักลงจากยอดเขาไม่ได้ เพราะทิฐิและแววตาของบรรดาลูกศิษย์ของตนนั่นเองที่ขวางไว้
คุณมองภาพด้านบนนี้แล้วพิสูจน์ให้ประจักษ์ตามคำกล่าวได้ไหมว่า ท้ายที่สุดมันจะมาเจอกันที่ยอด คุณลองปล่อยคน 10 คน ที่ตีนเขาแต่ละด้าน ใครในพวกคุณมั่นใจบ้างว่า ท้ายที่สุดทั้งสิบคนต่างคนต่างปีนด้วยวิธีของตน จะมาเจอกันที่ตำแหน่งเดียวกันบนยอดสูงสุด มันเริ่มตั้งแต่เลือกยอดที่จะขึ้นแล้ว ไหนจะเส้นทางที่ใช้ มันไม่ใช่ว่าเดินขึ้นไปที่ยอดซักอัน พอรู้ว่าไม่ใช่อันที่สูงสุดก็เดินลงเพื่อไปยอดอื่นแบบนั้น ถ้าคุณเลือกยอดผิดคุณไม่เพียงเสียเวลาแต่ยังเสี่ยงตายผิดที่อีกด้วย เพราะการขึ้นเขาแต่ละยอดใช้เวลาเป็นปีๆ
ผมไม่ทราบว่าพวกคุณเคยเดินเขากันจริงๆหรือไม่ ตอนที่ผมอยู่ต่างประเทศผมเดินบ่อยๆกับเพื่อน สิ่งที่ผมพบจากความเป็นจริงคือ เมื่อผมอยู่ในเส้นทางเดินเขา ผมไม่สามารถเห็นยอดเขาได้เลย ผมเห็นแต่ต้นไม้ ท้องฟ้า สัตว์ป่า พื้นด้านล่าง เก้าอี้ให้นั่งพัก จุดชมวิว ที่สักการะเยซุส ยอดเขาอยู่ทางไหนกัน ถ้าไม่มีถนนคงเดินปีนป่ายสะเปะสะปะแน่ วิธีที่คุณใช้ฝึกนั้นทำให้คุณมั่นใจหรือเปล่าว่า ทางที่คุณเดินมันทอดตัวไปที่ยอดได้จริง คุณเห็นเป็นทางเดินไปชัดๆแบบมั่นใจว่าต้องถึงแน่ๆหรือเปล่า ถ้าคุณยังไม่เห็นเป็นทางที่มั่นใจอย่างนี้ เรื่องวิปัสสนาไม่ต้องมาพูดหรอก
ผมมองว่าปัญหาของแนวทางการสอนอันเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า สายยุบหนอ สายเคลื่อนไหว สายอานา สายดูจิต หรือสุดแท้แต่เรียกตามชื่ออาจารย์มีมานานแล้ว และด้วยความคลุมเครือต่อผลของมันว่าแท้จริงแล้ววิธีแต่ละแบบมันนำไปสู่อะไร จึงเกิดอุบายเพื่อประนีประนอมขึ้นมาว่า จงฝึกตามแต่จริต ถูกจริตอันไหนให้ฝึกอันนั้น
และนี่คือต้นกำเนิดของการทะเลาะวิวาทของบรรดาศิษย์แต่ละสายในทุกวันนี้ ซึ่งพิสูจน์ได้ตามเว็บไซด์ธรรมะที่เปิดให้สนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นทั่วๆไป เพราะผู้ที่ทำท่าทีว่าเป็นผู้รู้ของแต่ละสายทั้งหลายเห็นไม่ตรงกันและนำไปสู่การทะเลาะหมางใจกันเอง และทางออกที่เหมือนจะเป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวก็คือ จับมันไปเทียบกับตำราซะก็สิ้นเรื่อง ตำราว่าไว้ตามคำสอนศาสดาเด๊ะๆ เถียงกันทำไม
ปัญหาระลอกสองก็ตามมาคือ ตีความไม่ตรงกันหรือหยิบคนละบรรทัดมาเถียงกัน ใครหลักฐานแน่นกว่าคนนั้นเชื่อถือได้ แต่หากมองย้อนกลับลงไปที่ตัวคน ที่ดูเหมือนจะเชื่อถือได้ ทำไมเค้าถึงมีนิสัยแย่ล่ะ ทำไมทำไม่ได้อย่างที่สอนคนอื่นล่ะ อ่านแต่ตำราหรือเปล่า เก่งแต่ท่องหรือเปล่า ใบลานเปล่าละมั้ง
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อว่า ธรรม เป็นเรื่องของการประนีประนอม มันเป็นเรื่องของความจริง มันเป็นอย่างที่มันเป็น สมัยก่อนมีบางคนบอกว่าโลกนี้กลม คนส่วนใหญ่บอกว่าไม่หรอกมันแบน มันใช้การประนีประนอมได้หรือไม่ว่า งั้นก็ให้มันกลมๆแบนๆผสมกันดีมั๊ยเจอคนละครึ่งทางเราจะได้อยู่กันอย่างสันติ สอนคนรุ่นต่อไปว่าโลกเรามันก็กลมๆแบนๆแบบนี้ล่ะ มีแต่คนโง่เง่าถูกหลอกง่ายๆเท่านั้นล่ะ ที่จะยอมรับข้อตกลงเพี้ยนๆนี้โดยไม่พิสูจน์อะไรเลย
ไม่ว่าเราจะตัดสินอย่างไรในฐานะมนุษย์ ดาวเคราะห์ที่เราอาศัยอยู่นี่ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันไม่สนหรอกว่ามนุษย์ตกลงกันไว้ว่าจะให้มันแบนหรือกลม การเข้าถึงสัจธรรมก็แบบเดียวกัน มันจึงจำเป็นต้องมีผู้รู้จริงเอาไว้สอนเอาไว้ชี้ทาง ไม่อย่างนั้นตถาคตจะมีประโยชน์อะไร ถ้าปฏิบัติแบบไหนก็ได้ตามแต่จริต สุดท้ายมันก็ต้องบรรลุธรรมเหมือนกันหมดทุกคนมิถูกหรือ ความเป็นจริงมันก็สะท้อนอยู่แล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดในทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมแท้ต้องรู้อย่างเดียวกัน ทำไมอาจารย์ต่างๆสอนไม่เหมือนกันล่ะ เหตุผลง่ายๆก็คือ พวกเค้ารู้ไม่เท่ากัน รู้ไปคนละเรื่อง และสอนได้เท่าที่รู้ เรื่องเพี้ยนๆต่อมาก็คือ คำสอนที่ต่างกันนั้นถูกสโคปใหญ่บังคับไว้ว่า มันคือธรรมะของพระพุทธเจ้าคนเดียวกัน
ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่เล็งยอดเขาที่หลวงพ่อเทียนเหยียบอยู่ ผมยังไม่เคยได้ยินคำสอนไหนของเค้า ที่ประนีประนอมเข้าหลอมรวมเป็นคำสอนกับอาจารย์คนอื่นๆเลย
เค้าสอนให้ลืมตาฝึก ไม่เคยได้ยินว่า หลับมั่งลืมมั่งก็ได้แล้วแต่ถนัด
เค้าสอนให้เคลื่อนไหว ไม่เคยได้ยินว่า เคลื่อนมั่งนิ่งมั่งก็ได้แล้วแต่ถนัด
เค้าสอนให้รู้สึกตัว ไม่เคยได้ยินว่า ถ้าไม่ก้าวหน้าให้ใช้ อานาปานสติช่วย หรือให้ใช้ยุบหนอพองหนอเข้าช่วย
เค้าสอนให้รู้สึกตัว ไม่เคยได้ยินว่า ให้ฝึกฐานกายก่อนแล้วขยับไปเวทนาแล้วขยับไปจิตแล้วขยับไปธรรม
เค้าสอนให้รู้สึกตัว ไม่เคยได้ยินว่า กายเป็นเพียงฐานให้รู้จักจิต ถ้าเห็นจิตแล้วข้ามกายไปดูจิตอย่างเดียวก็ได้
เค้าสอนให้เท่าทันความคิด ไม่เคยได้ยินว่า ถ้าฟุ้งซ่านให้ใช้ดูลมพุทโธให้สงบระยะหนึ่งก่อน เมื่อสงบแล้วจึงค่อยมาฝึกรู้สึกตัว
เค้าสอนให้ออกจากความคิด ไม่เคยได้ยินว่า ให้ใช้ความคิดพิจารณาธรรมะ เปิดตำราเทียบเคียงความถูกต้อง
เค้าสอนให้เจริญสติอยู่ทุกขณะ ไม่เคยได้ยินว่า ง่วงเหนื่อยมากให้หยุดพัก เอาทำสบายๆเป็นเกณฑ์
สิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยได้ยินจากคำสอนที่ผมฟังจากเทปมาเป็นร้อยๆรอบ แต่กลับได้ยินมาตลอดจากลูกศิษย์ที่อ้างว่าฝึกตามแนวทางของท่าน ผมอาจจะฟังไม่ถูกต้องเองก็เป็นได้ แต่จากที่ผมสังเกตการสอนของหลวงพ่อเทียน เค้าไม่ใช่ลักษณะของการประนีประนอมหรือพยายามจะรวมสายที่แตกแยกเป็นหนึ่ง ธรรมที่ท่านสอน สอนเพียงสิ่งที่ท่านเข้าใจจากตัวเองที่ได้พิสูจน์แล้วเท่านั้น ไม่มีการอ้างอิงเอาวิธีสายอื่นๆมาช่วยต่อยอดอะไรทั้งนั้น วิธีที่เค้าสอนมันไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยตัวมันเอง
จากการที่ผมได้สนทนากับคนหลายคนที่ฝึกสายเดียวกันหรือต่างสาย ความจริงที่ผมพบก็คือ ผมเข้าใจไม่เหมือนพวกเค้า พวกเค้าเข้าใจไม่เหมือนผม พวกเราประสบและพบเจอความเข้าใจคนละอย่าง ใครๆก็ว่าของตัวเองถูก เพราะฉะนั้นถ้าคุณเห็นว่าสิ่งที่ผมเขียนเป็นเรื่องเหลวไหลและห่างไกลจากการไปพ้นจากทุกข์ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเสียเวลาอ่าน ผมพูดตรงๆเลยนะผมไม่ง้อเลยครับ ในเมื่อผมเองก็ทำอย่างเดียวกัน ผมไม่เสียเวลาอ่านอะไรที่ผมเห็นว่าห่างไกลจากการรู้จักตัวเอง และสิ่งที่ผมใช้เลือกว่าคำสอนไหนผิดหรือถูกคือ ลงมือพิสูจน์และสังเกตตัวผู้สอนว่าทำได้อย่างที่สอนหรือเปล่า พวกที่เก่งพูดคือ ตัวเลือกแรกที่ผมจะตัดออกบัญชีรายชื่อ ผมจับตาดูพวกเก่งทำก่อน
สำหรับคนที่ฝึกแล้วเข้าใจไปคนละแบบกับผม พวกเค้าจะไปประสบพบเห็นอะไรนั้นผมไม่ทราบและผมไม่กระหายอยากรู้แม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อเราได้เผชิญหน้ากันเราจะรู้ได้เองว่า เราเข้าใจไม่เหมือนกัน คุณไม่มีทางที่จะมาตรงจุดผม และผมจะไม่มีวันหวนไปเจอคุณ เหมือนมันเลือกเทือกเดียวกันแต่เล็งคนละยอดเขานั่นเอง
ผมจะเขียนอะไรต่ออีกซักนิดเพราะเนื้อหามันใกล้กัน และระหว่างนี้ผมอาจจะไม่มีเวลาอัพเดทบทความ พวกคุณไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาเข้ามาเยี่ยมในช่วงนี้ ผมไม่ได้ปลื้มนักหรอกที่ตัวเลขคนเข้าชมบล็อกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมเพียงใช้มันเช็คว่า ยังมีคนที่กลับมาอ่านอยู่เท่านั้น จะให้บอกกี่ครั้งก็ได้ผมไม่สนคนอ่าน ผมสนคนทำ
ความเหมือนกัน เจอเหมือนกัน ปีนเขายอดเดียวกันนี้ ผมขอนำเรื่องของคุณพ่อผมมาเล่าให้ฟัง
ผมไม่ค่อยสอนอะไรคุณพ่อผมมากนัก ผมมักจะถามเค้าเพียงแค่ว่า รู้สึกตัวไหม รู้สึกชัดไหม เค้ามักตอบว่า รู้สิ ยกมือมันก็ต้องรู้อยู่แล้ว ต่อมาเค้าคงสงสัยว่า รู้สึกตัวแล้วจะให้รู้สึกอะไรอีก ทำไมผมถามซ้ำๆอยู่แค่คำถามเดียวมาเป็นปีปี ถ้ามันพอจะก้าวหน้ามันต้องถามคำถามอื่นบ้างซิ
ผมเริ่มด้วยการให้เค้า ตอบว่าความรู้สึกตัวที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แม้ว่าเราจะไม่เคลื่อนเราก็รู้สึก เค้าบอกว่า ที่มัน ชาๆ ใช่ไหม ( ซึ่งคำพูดนี้ไปตรงกับคำพูดของน้องชายของผมอีกคนที่ผมแนะอยู่ เค้าจะพูดเลยว่า ความรู้สึกที่มันชาๆเฉยๆนี่ใช่ไหม สองคนนี้จับตัวเดียวกันได้แต่เค้าทั้งคู่ไม่มั่นใจว่ามันจะนำไปสู่อะไร ผมจึงบอกว่า ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเรียกว่า ชาๆ หรือเฉยๆ เพราะบางคนอาจจะไม่พูดออกมาแบบนี้ ให้จับสังเกตความรู้สึกตัวที่ไม่ว่า จะเคลื่อนหรือหยุด ความรู้สึกตัวนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นน้องผมติดอารมณ์ง่วง ผมแอบเห็นนั่งคอพับอยู่ในกุฏ ตอนนั่งในศาลาก็เห็นวูบๆ ผมรู้ว่าถึงจุดที่ต้องเข้าแล้ว ผมบอกเค้าว่า ให้ทำช้าๆแบบนี้แบบนี้นะ สองชั่วโมงผ่านไปบอกว่า หายง่วงแล้ว จากนั้นก็ฝึกแบบแทบจะไม่หยุดอีกเลย เค้าถามผมว่ารู้ได้ยังไงว่า ความรู้สึกตัวอันนี้นั้นมีอยู่ เรื่องง่ายๆก็สังเกตเอานะซิผมว่าอย่างนั้น )
กลับมาที่คุณพ่อผมนะครับ เค้าค่อยๆเริ่มฝึกใหม่ เหมือนกับจะหาว่า ไอ้ความรู้สึกตัวที่ผมถามซ้ำซากอยู่นั่น มันใช่ตัวเดียวกับที่เค้ากำลังรู้สึกรึเปล่า เค้าเริ่มเอะใจจึงเริ่มวางเวลาฝึกเป็นระบบ ใช้เวลาก่อนนอนสองถึงสามชั่วโมง ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ เค้าโทรหาผม บอกว่า รู้สึกตัวดีมาก มันชัดเจนมาก พ่อว่าแต่ก่อนพ่อยังรู้สึกตัวไม่จริงนะ ตอนนี้เลยเคลื่อนไหวซ้ำไปซ้ำมา ทีละจังหวะซ้ำๆอยู่อย่างนั้น อย่างพลิกมือนี่พลิกอยู่อย่างเดียวนี่ล่ะยี่สิบครั้ง แล้วค่อยยกมือขึ้นอีกยี่สิบครั้ง เอาให้มันรู้สึกจริงๆไปเลย มันถูกไหมแบบนี้ ผมไม่ได้ตอบอะไรมาก นอกจากบอกให้ทำอย่างนั้นล่ะต่อไป แต่ผมรู้ทันทีสัญญาณแรกมาแล้ว
วันต่อมาเค้าโทรหาอีกบอกว่า ตอนนี้เค้าเคลื่อนไหวช้ามากๆ คนอื่นเห็นต้องรำคาญแน่ ที่ต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้มันรู้สึกชัดจริงๆ พ่อว่าพ่อยังอ่อนเลยคิดได้ว่า น่าจะกลับมาเคลื่อนไหวให้มันช้าๆหน่อย เราจะได้จับความรู้สึกตัวได้ชัดๆ เรายังไม่เก่งน่าจะเอาฐานให้แน่นก่อน ผมคิดในใจสัญญาณที่สองออกมาแล้ว เค้าเล่าต่อว่า แต่ก่อนที่เราว่าเรารู้สึกตัวนั่นมันรู้สึกก็จริง แต่เป็นความรู้สึกตัวระดับผิวสัมผัส ยกมือไปมามันก็แค่วูบๆ จะมารู้สึกแค่ตอนหยุด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่นะ มันรู้เข้าไปยันข้างในเนื้อเลย จะเคลื่อนจะหยุดก็รู้สึกแบบนี้ พอมาจับจุดนี้เข้าใจเลยว่า ทำไมถามซ้ำๆอยู่ได้ว่า รู้สึกชัดไหม เข้าใจเลยว่าความรู้สึกตัวที่เรารู้สึกเมื่อก่อน กับความรู้สึกอันนี้มันเป็นคนละตัวกัน
ตอนแรกมันรู้ที่มือขวาก่อนตอนช่วงที่กำลังจะวางลงบนเข่า ด้วยความที่เราเคลื่อนไหวช้าๆนี่ล่ะ เราถึงจับมันได้ พอเราจับมันได้ มันก็ลามไปที่แขน ไปที่ไหล่ ไล่ลงไปทั้งตัวก็ง่ายแล้ว ระหว่างฝึกหน้ามันเต้นวุบๆเหมือนตอนกินเหล้า ตอนนอนก็ตื่นบ่อยมากนึกว่าเช้าแล้ว คืนนึงตื่นขึ้นมาซักสี่รอบได้มั้ง ถ้าให้เปรียบเหมือนรูปพระพุทธเจ้าที่แปะอยู่ในห้องพระนั่นล่ะ ที่มีแสงออกมาจากตัว แต่พ่อไม่มีแสงออกมาจากตัวนะ ความรู้สึกตัวข้างในที่มันเกิดมันเป็นอย่างนั้น ( ผมแปลกใจมากเพราะนี่คือคำพูดเดียวกับที่ผมบอกตัวเองตอนที่ผมอยู่ตรงจุดนี้ ) ผมเลยบอกว่า มันเหมือนหลอดไฟที่สว่างอยู่ใช่ไหม เค้าบอกว่า อืม เป็นอย่างนั้นใช่เลย
ผมจึงบอกว่า เคล็ดในการผ่านจุดนั้น คือ รู้สึกตัวให้ชัดด้วยการเคลื่อนไหวช้าๆ ตัวนี้จะไปแก้ทั้งการปวดเมื่อยและความง่วง เค้าจึงถามว่า แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกเล่า ว่าให้ทำช้าๆ ผมจึงว่า เพราะคนเราจะจำมันได้ฝังใจไปจนตายกับอะไรก็ตามที่เรารู้ขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องมีคนบอกนะสิ
ผมเองก็เคยติดจุดนี้ แล้วก็เจอทางแก้แบบเดียวกันนี่ โดยไม่ต้องมีคนมาบอก ต่อไปเวลาเราจะสอนใคร เราจะมั่นใจ เพราะเราผ่านมาได้จริง และคนที่ผ่านมาก็จะใช้วิธีที่เหมือนกับเราด้วย ประการต่อมาถ้าเราผ่านได้ด้วยตัวเอง เราจะมีกำลังใจในการฝึกต่อไป เราจะรู้ว่าเราไปต่อได้
พอคนเราเห็นพัฒนาการตัวเอง ก็เลยฝึกต่อเองโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ แต่ถ้าถามว่าพ่อรู้อะไรมั่ง พ่อไม่รู้อะไรเลยนะ ก็เราบอกแค่ว่า ให้รู้สึกตัวอย่างเดียวแค่นั้นไม่ใช่เหรอ รูปนาม ขันธ์ห้า ไตรลักษณ์ ปรมัตถ์ อะไรพ่อไม่รู้หรอก พ่อไม่รู้คำศัพท์ พ่อจะเอาแค่รู้สึกตัวล้วนๆให้มันชัดๆนี่ล่ะ
ผมก็เลยบอกว่าเลื่อนระดับมาได้ขั้นนึง คนร้อยคนฝึกจะมาถึงจุดนี้ได้ 70-80 คน พ่อผมถามต่อว่าแล้วขั้นต่อไปล่ะ ผมเลยบอกว่าขั้นต่อไปอาจารย์ผมจากร้อยคนให้ 5 คน แต่ถ้าถามผมผมให้ 2 คน แล้วรู้ได้ไงว่าสิ่งที่พ่อพูดไม่ได้โกหก พ่ออาจจะไปเปิดเน็ตลอกเอาคำพูดจากใครมาตอบเราก็ได้ ไม่มีครูที่เก่งจริงคนไหนที่โดนศิษย์ตัวเองหลอกได้หรอกครับ ผมโม้ทับไปแบบนั้น ของแค่นี้มองออกง่ายมากว่าผ่านมาจริงหรือเปล่า การกระทำท่าทางมันฟ้อง มันไม่ใช่ความรู้ที่จะพล่ามอะไรออกมาก็ได้ แต่มันแสดงผ่านกิริยาท่าทาง เพราะนี่คือการเป็น
ขอให้วันนี้ของทุกคนสวยงามต่อไปครับ